ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 791

บทที่ 791 จัดการเหตุต้นผลกรรมเสร็จสิ้น (1)

แสงเปล่งประกายบนผิวกายสวี่ผิงเฟิง หลังจากกะพริบไม่กี่ครั้ง ก็ทะลุผ่านทะเลที่มืดมนไร้แสง จนมองเห็นหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ที่ก้นทะเล

บนตัวเขาสวมชุดคลุมที่บางราวกับปีกจักจั่น มันห่อหุ้มสวี่ผิงเฟิงราวกับเยื่อเหนียวๆ ชั้นหนึ่ง ทำให้จิตเดิมเกือบจะสลายไป โหรอาภรณ์ขาวสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันแรงดันน้ำที่น่ากลัวก็ถูกต้านทานไว้ด้านนอก

อาภรณ์ป้องวารี!

สิ่งที่โหรไม่ขาดแคลนคืออาวุธเวทมนตร์ สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ ไม่เคยขาดตกบกพร่องใดๆ

ต่อให้จะขาดตกบกพร่อง ก็จะใช้ตำลึงเงินหลอมอาวุธขึ้นมา

ก้นทะเลอันมืดมิด คลื่นน้ำกำลังกระเพื่อม หุบเขารอยแยกขนาดใหญ่เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่อ้าปากกว้าง รอให้ปลาที่หลงทางมาติดแหด้วยตนเอง

สวี่ผิงเฟิงกางฝ่ามือออก เขามองดูแสงโชติช่วงที่เกล็ดสีขาวสะอาดเปล่งประกายออกมา จากการชี้นำของเกล็ดทำให้รู้ว่า ‘ไป๋ตี้’ อยู่ด้านล่าง

มีกลิ่นอายของ ‘ไป๋ตี้’ ติดอยู่บนเกล็ด นี่คือการสื่อสารขั้นพื้นฐานที่สามารถติดต่อกับไป๋ตี้ในระยะพันลี้ได้

สวี่ผิงเฟิงแหงนมองด้านบน เขาสัมผัสได้ว่ามีเซียนครองพิภพกับชายมุทะลุดุดันขั้นหนึ่ง จ้องมองตนเองผ่านผืนทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา แต่หวาดกลัวสัตว์ประหลาดในหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ตรงก้นทะเล จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามลงน้ำ

“ข้าไม่มีวันเข้าตาจนเด็ดขาด”

สวี่ผิงเฟิงพูดกับตัวเองเบาๆ ประโยคหนึ่งท่ามกลางแสงบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มเขาหยิบไข่มุกราตรีที่เปล่งแสงสีขาวสว่างไสวออกมาเม็ดหนึ่ง และเข้าไปในหุบเขารอยแยกขนาดใหญ่ตรงก้นทะเล

แสงสีขาวตกลงไปอย่างรวดเร็ว และถูกความมืดมิดไร้ขอบเขตกลืนกินจนมิด

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เท้าของสวี่ผิงเฟิงเหยียบโดนดินเลน ในที่สุดเขาก็มาถึงก้นบึ้งของหุบเขารอยแยกก้นทะเล

หลังจากชูไข่มุกราตรีเดินไปชั่วขณะหนึ่ง โครงร่างขนาดใหญ่ที่ดูเลือนรางก็ปรากฏขึ้นตรงขอบของแสงที่สว่างไสว

เดินหน้าไปอีกร้อยกว่าก้าว สวี่ผิงเฟิงก็มองเห็นส่วนหนึ่งของสัตว์ประหลาดอย่างชัดเจน

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาในตอนนี้ คือใบหน้าที่ดูคล้ายใบหน้ามนุษย์ แต่ดูหยาบและอัปลักษณ์กว่า มีเขายาวที่โค้งเล็กน้อยอยู่บนหัวหกเขา หัวของมันสูงพอๆ กับกำแพงเมืองของเมืองหลวง

หากรวมกับเขาโค้งงอทั้งหกแล้วก็สูงกว่ากำแพงเมืองสองเท่า

เขาโค้งยาวทั้งหกถูกปกคลุมด้วยลวดลายมหัศจรรย์ที่มีมาแต่กำเนิด ด้วยคุณสมบัติของสวี่ผิงเฟิงในตอนนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีกฎมหามรรควิถีแฝงอยู่

หากสามารถเข้าใจลวดลายเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ก็สามารถพัฒนาเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งและทรงพลังได้

แต่เขาหลับตาลงทันที ลวดลายเหล่านั้นย่อมมีค่าแน่นอน แต่อันตรายเกินไป เหมือนกับกระแสน้ำวนที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เกือบจะกลืนกินจิตเดิมที่อ่อนแอของเขา

‘แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งมาก…’ แม้ว่าสัตว์ประหลาดตรงหน้าจะหลับสนิท แต่สวี่ผิงเฟิงยังคงประเมินการคร่าวๆ ได้ว่า มันแข็งแกร่งกว่าไป๋ตี้มาก

“เจ้ามาแล้ว”

เสียงที่ดูทรงพลังและเลื่อนลอยดังเข้ามาในสมองของสวี่ผิงเฟิงโดยตรง

“สวี่ชีอันโจมตีเจียหลัวซู่จนร่นถอย พวกเราแพ้แล้ว” สวี่ผิงเฟิงพิจารณา ‘ใบหน้ามนุษย์’ อย่างละเอียดถี่ถ้วนและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“นี่คือร่างเดิมของเจ้าหรือ”

“ก็แค่ร่างที่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ปีนั้นปรมาจารย์เต๋าขับไล่พวกเราออกจากแผ่นดินจิ่วโจว ข้าเคยแลกมือกับเขา เกือบจะถูกสังหาร จนถึงตอนนี้บาดแผลยังไม่หายดีเลย”

เสียงของฮวงดังขึ้นอีกครั้ง

สวี่ผิงเฟิงไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เขากล่าวขึ้นมา

“ต้าฟ่งไม่ล่มสลาย ท่านโหราจารย์ก็จะไม่ตาย เป้าหมายของเจ้าที่จะขัดเกลาผู้พิทักษ์ประตูนั้นยากที่จะเป็นจริงได้ แผนในตอนนี้คือหลบคมมีดของเขา รอคอยสวี่ชีอันสิ้นอายุขัยในร้อยปีให้หลัง พวกเราก็สามารถพลิกแผ่นดินโค่นล้มต้าฟ่งได้ในทีเดียว”

ขณะนี้เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังออกจากเขาแกะโค้งๆ เขาหนึ่งของ ‘ฮวง’

“ท่านอาจารย์โหราจารย์ ท่านภาคภูมิใจมากใช่หรือไม่” สวี่ผิงเฟิงปลุกเร้าจิตเดิมและส่งกระแสจิต

“สวี่ชีอันที่ท่านประคับประคองมา เลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่งสำเร็จ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งไม่กี่คนในแผ่นดินจิ่วโจว และข้าที่เป็นผู้ขัดเกลาโชคชะตาของที่ราบกลาง จำเป็นต้องยุติแผนการเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าลง”

ท่านโหราจารย์ส่งกระแสจิตมาด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบ ซึ่งใช้วิธีการส่งกระแสจิตมาเช่นกัน

“เว่ยเยวียนฟื้นชีพแล้วล่ะสิ”

สวี่เผิงเฟิงนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

ท่านโหราจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ความเย่อหยิ่งและอวดดีคือจุดอ่อนสำคัญของเจ้า เจ้าก้าวเข้าสู่โหรขั้นสองตั้งแต่อายุยังน้อย โอ้อวดว่าตนเองฉลาด ทำราวกับไม่มีวีรบุรุษในใต้หล้า ตอนนี้ถูกลูกชายแท้ๆ ของตนเองบีบจนถึงทางตัน ลำบากยากแค้นเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ”

คำพูดของท่านโหราจารย์ราวกับดาบที่แทงเข้าไปในอกสวี่ผิงเฟิง ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน ใบหน้าบิดเบี้ยว

“เจ้าอยากจะหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งหรือ เจ้าไม่ตาย สวี่ชีอันกับลั่วอวี้เหิงจะไปหรือ” ท่านโหราจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ด้วยความเคียดแค้นที่สวี่ชีอันมีต่อเจ้า เจ้าหนีไม่พ้นหรอก ต่อให้จะมี ‘ฮวง’ ปกป้องเจ้าอยู่ เขาก็จะไม่เลิกรากับพวกเจ้า”

ฮวงจมดิ่งอยู่ในความหลับใหล

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วงามเล็กน้อย

“อย่าได้ประมาท เจ้าเคยบอกว่าร่างเดิมของไป๋ตี้คือ ‘ฮวง’ แต่เหตุใดมันถึงหุ้มผิวหนังของไป๋ตี้กลับจิ่วโจว หากร่างจริงของมันเยื้องกรายมาถึง พวกเราไม่อาจเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้โดยสิ้นเชิง”

สวี่ชีอันลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“หมายความว่าเกิดปัญหากับร่างเดิม หรือไม่ก็ไม่สะดวกกลับมาจิ่วโจว หากเป็นประการแรกยังดี พวกเราสามารถลองสังหาร ‘ฮวง’ ได้ หากเป็นประการหลังละก็ สถานการณ์คงค่อนข้างยุ่งยากแล้ว ลองหยั่งเชิงดูก่อน” สวี่ชีอันกล่าว

ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง “อืม” จากนั้น ‘ร่างวารี’ สีดำมืดก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะ มันดำดิ่งลงในมหาสมุทรและว่ายเป็นวงกลมภายใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองอย่างรวดเร็ว

กระแสน้ำวนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบเมตรปรากฏขึ้นบนผิวทะเล พริบตาเดียวก็ขยายไปเป็นห้าสิบเมตร หางที่แหลมคมของกระแสน้ำวนราวกับคมมีดที่บิดและแทงลงสู่ก้นทะเล

และขณะนี้ กระแสน้ำวนที่ ‘ร่างวารี’ ก่อกวนขึ้นมาก็ขยายออกไปถึงร้อยเมตร ดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่มาก

ลั่วอวี้เหิงที่มีสถานะเป็นเซียนครองพิภพ การต่อสู้ในน้ำไม่ด้อยไปกว่าทายาทเทพมารธาตุวารีใดๆ เลย แม้กายเนื้อร่างนั้นของไป๋ตี้จะยังอยู่ ลั่วอวี้เหิงก็ไม่กลัวที่จะต่อสู้กับมันทางน้ำ

ลั่วอวี้เหิงเห็นเช่นนี้ก็ยกกระบี่เหล็กในมือขึ้น ผิวกระบี่สีหิมะระเบิดปราณกระบี่ปะทุขึ้นฟ้า ตามติดมาด้วยเปลวไฟร้อนแรงลุกไหม้ตามผิวกระบี่

มือที่ถือกระบี่ของนางมีกระแสอากาศหมุนวนอยู่ มันหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง