ส่งข้อความไปแล้ว
แต่รออยู่นานก็ไม่มีคนตอบรับ และไม่มีใครตะโกนว่า ‘สุดยอด’ ด้วย สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะ รออยู่นานถึงได้แน่ใจแล้วว่าคนพวกนี้ออฟไลน์ไปแล้ว
ไร้มารยาทเกินไปแล้ว…ออฟไลน์โดยไม่บอกกันสักคำหรือ เจ้าพวกเพื่อนชาวเน็ตไร้คุณภาพ เขาส่อเสียดอยู่ในใจ
เขาเก็บกระจกหยกเรียบร้อยแล้วก็ลงกลอนประตู หลังจากสวี่ชีอันเป่าเทียนดับก็ขึ้นไปนอนบนเตียง ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน
พรรคฟ้าดินเป็นองค์กรที่ค่อนข้างหละหลวม สมาชิกติดต่อกันแต่ก็ยังระแวดระวังซึ่งกันและกัน
เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ ขนาดที่ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่คนในราชวงศ์ต้าฟ่งเลยก็ได้ ดังนั้นจะระแวดระวังกันก็เป็นเรื่องปกติ
ข้อดีในปัจจุบันที่มองเห็นได้ก็คือการแบ่งปันข้อมูล
นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก
นี่มันไม่ใช่แค่ช่องทางพูดคุยแล้ว พูดคุยออนไลน์ทำได้ดี และในอนาคตอาจจะมีโอกาสเป็นโหมดออฟไลน์ก็ได้
หมายเลขสองอยู่ที่อวิ๋นโจว ไกลเกินไป สถานะและตัวตนน่าจะไม่ต่ำต้อย ไม่อย่างนั้นจะตรวจสอบทะเบียนสำมะโนครัวของอำเภอต่างๆ ได้อย่างไร
หมายเลขหนึ่งก็อยู่ในเมืองหลวง เป็นคนที่มีตำแหน่งมีสถานะอย่างแท้จริง แข็งแกร่งยิ่งกว่าของหนีภาษีอย่างข้าอีก และเป็นผู้ที่ข้าควรจะระวังไว้มากที่สุด
หมายเลขหก…ก่อนหน้านี้เขาเตือนข้าว่าอย่าตอบกลับหมายเลขเก้า และเคยบอกว่าเขาก็อยู่ในเมืองหลวงด้วย
หมายเลขหนึ่งและหมายเลขหกเป็นผู้ที่ต่อไปข้าจะต้องใส่ใจ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ห่างกันพันภูเขาหมื่นธารากั้น ถึงแม้จะถูกพวกเขารู้ตัวตนแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะไม่ได้ขัดแย้งด้านผลประโยชน์กัน
หมายเลขหนึ่งและหมายเลขหกเป็นชาวเน็ตประเภทที่พูดจริงทำจริง ‘เจ้ารอดูพ่อเถอะ เดี๋ยวจะไปจัดการเจ้าเอง’
แต่กลับกัน ถ้าหากสามารถคบค้าสมาคมเป็นมิตรสหายกับพวกเขาได้ล่ะก็ สองคนนี้ก็เป็นเช่นน้ำใกล้ สามารถช่วยข้าจัดการเรื่องเร่งด่วนได้
ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ได้ออนไลน์ชั่วคราว
ข้ามีความรู้สึกเหมือนตอนเล่นเกมมนุษย์หมาป่า[1]ทีเดียว น่าสนใจ น่าสนใจ…
คิดไปคิดมา เขาก็หลับไป
…
ค่ำคืนดุจสายน้ำ แสงจันทร์ราวน้ำค้างแข็ง
ท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิว แสงตะเกียงของอารามรัตนะส่องสว่างอยู่ในคืนมืดมิด
ตั้งแต่ผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชครู ฐานหลักก็ย้ายมาตั้งยังเขตพระราชฐาน ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันทรงสร้างอารามเต๋าอันงดงามหลังหนึ่งไว้สำหรับนิกายมนุษย์
รถม้าไม้จันทน์หรูหราหยุดลงตรงหน้าอารามเต๋า เว่ยเยวียนสวมเสื้อคลุมสีครามและก้าวลงมาจากบันไดเล็ก
นักพรตเฝ้าประตูเชิญเขาเข้าไปข้างในด้วยความนอบน้อม
เขาเดินผ่านลานกว้าง ทางเดินและสวนดอกไม้ ก่อนมาถึงห้องเงียบสงบกว้างขวางแห่งหนึ่ง
หลังนักบวชจากไป เว่ยเยวียนก็งอนิ้วเคาะประตูห้อง
ประตูตารางเปิดออกเอง เสียงเย็นชาดังออกมา “เว่ยกงให้เกียรตินั่งรถม้ามาหา ผู้น้อยทั้งกลัวทั้งเกรง”
เว่ยเยวียนไม่สนใจการเสียดสีในคำพูดนั้น เขาเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปข้างใน ภายในห้องเย็นเยียบ กลิ่นธูปบนโต๊ะลอยอบอวล
มีฉากกั้นห้องคั่นระหว่างโถงด้านหน้ากับห้องนอน มองเห็นได้รางๆ ว่าด้านหลังฉากกั้นห้องนั้นมีเงาร่างอรชรนั่งทำสมาธิอยู่
สีหน้าท่าทางของเว่ยเยวียนเย็นชา น้ำเสียงเย็นชา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนิกายปฐพี”
น้ำเสียงของราชครูหญิงคาดเดาอายุไม่ได้ มีทั้งเสียงเสนาะหูแบบสาวน้อยวัยเยาว์ และมีทั้งเพราะพริ้งนุ่มนวลแบบหญิงสาวปะปนกัน
“เว่ยกงเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง[2] เหตุใดต้องขอคำชี้แนะจากผู้น้อยด้วยเล่า”
เว่ยเยวียนส่ายศีรษะ “แค่ปีนั้นด่าเจ้าไปหนึ่งประโยคว่า ‘มีเพียงสตรีและคนถ่อยเท่านั้นที่เข้าด้วยยาก’ เจ้าจะต้องชิงชังมาจนถึงวันนี้เลยหรือ”
คนด้านหลังฉากกั้นเงียบงันไม่พูดจา
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหนึ่งชิ้น เจ้าอยากได้หรือไม่”
“นั่นเป็นของของนิกายปฐพี”
เว่ยเยวียนพยักหน้า แล้วหันกายเดินจากไป
เมื่อออกมาจากอารามรัตนะ หยางเยี่ยนที่รออยู่ข้างรถม้าก็เดินเข้าไปรับ “ท่านพ่อบุญธรรม ได้เรื่องบ้างหรือไม่ขอรับ”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “ผู้นำหญิงลัทธิเต๋าคนนั้นไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่นิกายปฐพีจะต้องเกิดเรื่องแล้วเป็นแน่”
เมื่อเข้าไปในรถม้า เว่ยเยวียนก็วางมือเย็นเฉียบของเขาไว้ใกล้กับเตาไฟหัวสัตว์ เมื่อร่างกายอบอุ่นขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยเสียงขรึม
“หลายปีมานี้ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยนัก ภัยมนุษย์ก็มีทั่วสารทิศ ชะตาของต้าฟ่งผิดปกติ สายการฝึกตนแต่ละสายก็เผยปัญหาออกมาต่อๆ กัน ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่ากำลังมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น”
หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว “ท่านพ่อบุญธรรมคิดมากไปหรือไม่ขอรับ วันนั้นตอนพวกเราไปที่สำนักโหราจารย์ ท่านโหราจารย์ยังกล่าวว่าปรากฏการณ์ท้องฟ้าเป็นปกติทุกอย่างนี่ขอรับ”
เว่ยเยวียนถอนหายใจ “คำพูดของมนุษย์ผู้สอดรู้ความลับสวรรค์นั้นไม่อาจเชื่อถือได้ที่สุด”
เขานิ่งไป สีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด “จงตรวจสอบสถานการณ์ช่วงนี้ของนิกายปฐพีออกมาให้ได้ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม”
หยางเยี่ยนกล่าว “คนในนิกายปฐพีมักจะเก็บตัวเงียบ เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง[3]…”
ประกายแสงในดวงตาของเว่ยเยวียนเฉียบคมขึ้นมา “ข้าพูดไปแล้ว ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม”
น้อยนักที่จะเห็นท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้พ่อบุญธรรม หยางเยี่ยนก้มหน้า “ขอรับ”
…
ยามเช้าตรู่ สวี่หลิงอินสวมชุดกันหนาวตัวหนา ในมือถือกิ่งไม้แห้งเดินเตาะแตะไล่ฝูงห่านตัวกะจ้อยร่อยเหมือนนาง
เมื่อเห็นพี่ใหญ่เดินมา สองมือของสวี่หลิงอินก็ยกขึ้นเท้าเอวแล้วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “พี่ใหญ่ ข้าเป็นผู้ไร้พ่ายในหมู่คนวัยเดียวกันแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง