ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 80

ในอนาคตข้าก็จะกลายเป็นลูกพี่ที่มีมาดแบบนี้เช่นกัน…สวี่ชีอันนึกอิจฉาอยู่ในใจ เขากอบหมัดคำนับ

“เมื่อคืนนักบวชจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีมาหาข้าที่บ้าน เขาไม่ได้ทำร้ายข้า และไม่ได้นำหนังสือปฐพีไป แต่กลับเชิญให้ข้าเข้าร่วมพรรคฟ้าดินขอรับ”

“พรรคฟ้าดิน…” เว่ยเยวียนหันกลับมาแล้วเดินเข้ามายังห้องชา

“ผู้ก่อตั้งพรรคฟ้าดินก็คือนักบวชจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีผู้นั้นและคนในนิกายปฐพีเบื้องหลังของเขา” สวี่ชีอันเห็นว่าเว่ยเยวียนมีท่าทางจริงจังตั้งใจฟัง เขาก็รู้แล้วว่ารายงานที่ตนมอบให้นั้นมีค่าอย่างยิ่ง

“สมาชิกหลักของพรรคฟ้าดินมีทั้งหมดเก้าคน ขณะเดียวกันก็คือผู้ถือชิ้นส่วน ‘หนังสือปฐพี’ ด้วย พวกเขาใช้หมายเลขของชิ้นส่วนเป็นรหัสแทนตัว ไม่ใช้นามจริงขอรับ” สวี่ชีอันเล่าบทสนทนาของเมื่อวานไปคร่าวๆ

“ตอนนี้รู้แค่ว่าหมายเลขหนึ่งอยู่ที่เมืองหลวง มีอิทธิพลเบื้องหลังไม่น้อย หมายเลขสองอยู่ที่อวิ๋นโจว กำลังง่วนอยู่กับการปราบโจร ยังคลุมเครือว่าเป็นคนในราชสำนักหรือไม่ขอรับ”

ขันทีใหญ่ผู้มีจอนผมสีขาวยวงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแล้วเอ่ยถาม “ต่างก็ไม่รู้ตัวตนของกันและกัน…จินเหลียนยังกล่าวอะไรกับเจ้าอีก”

สวี่ชีอันตอบตามตรง “เขาบอกว่านิกายปฐพีกำลังมีปัญหา เขาจะทำการชะล้างสำนัก ดังนั้นถึงได้ก่อตั้งพรรคฟ้าดินขึ้นมา”

เมื่อถึงตรงนี้ เขาก็มองเห็นว่าดวงตาแฝงความโชกโชนของขันทีใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเจิดจ้ากำลังจดจ้องมองเขา เสียงอันนุ่มนวลเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“พูดให้ละเอียด”

“ผู้นำเต๋าของนิกายปฐพีตกสู่ทางมาร ส่งผลกระทบต่อคนในนิกายปฐพีแทบทั้งหมด มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รักษาสติไว้ได้แล้วหนีออกจากสำนักเพราะว่ามีหนังสือปฐพีเป็นเครื่องป้องกันขอรับ” สวี่ชีอันขายนักบวชเต๋าจินเหลียนเสียจนหมดสิ้น

“ดังนั้นเขาจึงก่อตั้งพรรคฟ้าดินแล้วมอบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีให้กับผู้เยี่ยมยอดที่กระจายอยู่ทั่วหล้าและสนับสนุนพวกเขา เพื่อที่ว่ายามล้างสำนักในอนาคตจะได้รับแรงช่วยเหลือ”

ผู้นำเต๋าตกสู่ทางมาร มิน่าจื่อเหลียนถึงได้กลายเป็นดำมืดชั่วช้า…ใบหน้าสง่าหล่อเหลาของเว่ยเยวียนมองไม่เห็นอารมณ์ เขาเอ่ยถามพร้อมน้ำเสียงทดสอบ “เจ้าคิดว่าจินเหลียนบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าไปเพื่ออะไร”

สวี่ชีอันกำลังจะพูดว่าไม่รู้ เขาก็ต้องเจอกับสายตาล้ำลึกของเว่ยเยวียน เขาได้ยินการทดสอบอยู่ในน้ำเสียงของเว่ยเยวียน จึงกลืนคำที่จะพูดลงไป

ด้วยความฉลาดมากสามารถของเว่ยเยวียน เขาย่อมไม่ต้องการคำตอบจากข้าแน่…แต่เขากำลังทดสอบระดับความสามารถของข้าอยู่

เอ่อ…ถ้าเมื่อกี้หลุดคำพูดว่า ‘ไม่รู้’ ออกมาล่ะก็ ข้าจะกลายเป็นลูกน้องที่มีไอคิวและความฉลาดไม่เพียงพอในใจของขันทีใหญ่ผู้นี้ใช่หรือไม่

สวี่ชีอันสมองแล่นทันที สีหน้าของเขาแย้มยิ้มผ่อนคลายเป็นพิเศษ

“ความผิดปกติของนิกายปฐพีนั้น สมาชิกทุกคนในพรรคฟ้าดินล้วนกระจ่างแจ้งดี นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกกล่าวตามความจริงเช่นนี้ หมายความว่ากำลังแสดงความจริงใจให้ข้าอยู่”

เว่ยเยวียนพยักหน้าน้อยๆ “ร่องรอยของนิกายปฐพีนั้นซ่อนเร้น จนถึงวันนี้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังไม่รู้เรื่องภายในของพวกเขาที่ตกจากบุญกุศลสู่ทางมารเลย”

…สวี่ชีอันเบิกตาโต “เว่ยกงหมายความว่านักบวชเต๋าจินเหลียนใช้ข้าเป็นตัวกลาง คิดจะสร้างพันธมิตรกับท่านอย่างลับๆ หรือขอรับ”

เว่ยเยวียนถึงได้พยักหน้าพึงพอใจ เขาไม่ได้ตอบแต่เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ต่อไปเจ้าก็คือสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในพรรคฟ้าดิน ทำหน้าที่สอบสวนหาตัวตนที่แท้จริงของสมาชิกคนอื่นๆ เมื่อถึงยามจำเป็น หน่วยงานจะให้ความช่วยเหลือเจ้าแน่นอน”

สวี่ชีอันกอบหมัด ตอบรับหนึ่งคำ “ขอรับ”

ถ้าเมื่อกี้ข้าทำตัวหัวทึบสักนิดล่ะก็ เว่ยกงจะนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไปแล้วเปลี่ยนลูกน้องที่ฉลาดล้ำเลิศมาแทนที่ข้าเพื่อให้แทรกซึมเข้าไปเป็นนกสองหัวในพรรคฟ้าดินใช่หรือไม่

การทดสอบของคนใหญ่คนโตก็เหมือนลมโชยพัดผ่านหน้า ถ้าไม่ใส่ใจอาจจะละเลยไปได้…

เว่ยเยวียนกล่าว “เจ้าอยู่ระดับหลอมปราณ สมควรจะลองฝึกเคล็ดวิชาแล้ว ไปเลือกดูที่หอธรรมเถอะ เจ้าคุ้นกับดาบหรือว่ากระบี่ล่ะ”

“ดาบขอรับ!” สวี่ชีอันตอบ

เขายังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างจึงพกดาบผู่เต่า ถึงแม้จะใช้แสดงความสามารถได้น้อยนัก แต่ก็พกติดตัวมาได้หลายปีแล้ว จึงรู้สึกใกล้ชิดกับดาบมากกว่ากระบี่

เว่ยเยวียนชี้แนะ “เวลาที่เลือกเคล็ดวิชา จงจำไว้ว่าให้เลือกเคล็ดวิชาดาบที่เรียบง่ายบริสุทธิ์ วิชาซับซ้อนหรือประดิดประดอยเกินไป ไม่เอาทั้งนั้น ทหารกับสายฝึกตนอื่นๆ ไม่เหมือนกัน ไม่ได้มีอภินิหารมากมายอะไร มีแต่พลังเหนือมนุษย์เท่านั้น ดังนั้น ยิ่งผู้ฝึกยุทธ์ฝึกบริสุทธิ์ก็ยิ่งดี ต่อไปเมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น ก็จะเข้าใจเหตุผลข้อนี้”

คำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำ หนักยิ่งกว่าทองพันชั่ง สวี่ชีอันดีใจมาก “ขอบคุณเว่ยกงที่ชี้แนะ”

การพึ่งพิงองค์กรใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น ถ้าหากได้รับคำชื่นชมและการยอมรับจากเว่ยเยวียนได้ ตำแหน่งหน้าที่การงานและการฝึกยุทธ์ของเขาก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล

สำนักโหราจารย์รับเพียงเด็กเล็ก ไม่รับเด็กโต ลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งไม่เหมาะกับข้า อีกอย่างสองอย่างนี้ก็ไม่ใช่สายฝึกยุทธ์ หากอยากเดินทางสายยุทธ์ มีแต่ต้องอาศัยหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลซึ่งเป็นที่รวมกลุ่มกันของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น

สวี่ชีอันถือหนังสือลายมือของเว่ยเยวียนมาที่หอธรรม ผู้ที่ตามมาด้วยยังมีหลี่อวี้ชุน

หลี่อวี้ชุนมองไปยังเจ้าหน้าที่ผู้นำทาง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีนัยลึกซึ้ง “ไปกอดขาใหญ่ของเว่ยกงตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เว่ยกงเป็นคนเรียกข้าไปพบก่อนขอรับ” สวี่ชีอันทำท่าทางบริสุทธิ์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง