การลาดตระเวนยามกลางวันทั้งสามวันก็ผ่านไปเช่นนี้ คืนวันนี้สวี่ชีอันและซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวรวมกลุ่มกัน เขาสวมชุดเครื่องแบบสีดำ เสื้อคลุมตัวสั้น ที่อกแขวนฆ้องทองแดงเอาไว้ ที่เอวห้อยดาบพก แล้วเดินอาดๆ ไปตามถนนในเขตเมืองชั้นในอย่างสบายอารมณ์
ตกค่ำอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ดอกไม้บานร่วงลงพื้นกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
เมืองหลวงยามค่ำคืนเงียบสงัด ล่วงเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วจึงไม่มีเสียงนกเสียงแมลง เงียบเสียจนทำให้สวี่ชีอันคิดว่าตนอยู่ในชนบทที่แสนผ่อนคลาย
บางคราวก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าเป็นระเบียบสม่ำเสมอและเสียงเกราะกระทบกันดังโครมคราม
นั่นคือกองดาบที่มาลาดตระเวนในเมือง
หลังจากลาดตระเวนไปตามถนนเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ซ่งถิงเฟิงก็พาสหายร่วมงานทั้งสองคนกระโจนขึ้นไปบนยอดหลังคาของอาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง มองลงไปก็จะเห็นถนนตัดกันทั่วทุกทิศ
“ลาดตระเวนที่ถนนเป็นงานของกองดาบ หน้าที่หลักๆ ของพวกเราคือเจ้าพวกที่เหาะเหินอยู่บนหลังคาพวกนั้น” ซ่งถิงเฟิงยืนอยู่บนหลังคารับลมยามค่ำคืนพลางหรี่ตามอง
“มีเพียงแค่ตอนสังเกตการณ์เท่านั้นจึงจะขึ้นบนหลังคาได้ เว้นเสียแต่จะเจอคดีใหญ่ ไม่อย่างนั้นเจ้าห้ามเหาะเหินขึ้นหลังคาส่งเดช เมืองหลวงมีพวกน้ำนิ่งไหลลึก ยอดฝีมือทั้งที่สว่างและที่มืดมีมากมายนับไม่ถ้วน หากเดินบนหลังคาสะเปะสะปะเล่าก็ ไม่แน่อาจมีกระบี่บินมาจากทั่วที่ใดสักที่แล้วฆ่าเจ้าทิ้งได้”
หยุดไปพักหนึ่งเขาก็เอ่ยเสริม “แน่นอนว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลย่อมแก้แค้นแทนเจ้า รวมถึงเก็บศพและมอบเงินทำขวัญด้วย”
“เงินทำขวัญคือเท่าไหร่หรือ” สวี่ชีอันถาม
“สำหรับฆ้องทองแดงคือสามร้อยตำลึงเงิน” ซ่งถิงเฟิงบอก “ค่อนข้างมีมโนธรรมอยู่นะ สามร้อยตำลึงเงิน เพียงพอให้บุตรภรรยามีชีวิตรุ่งเรืองแล้ว”
“แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้สามร้อยตำลึงเงินก็พอให้ข้านอนกับฝูเซียงที่ค่าตัวพุ่งขึ้นมาได้แค่ห้าครั้งเท่านั้น…” สวี่ชีอันกล่าวติดตลก “นั่นสิหนา จากนั้นภรรยาเจ้าก็จะแต่งงานใหม่ ผู้ชายคนอื่นก็จะใช้เงินของเจ้า นอนกับลูกสะใภ้ แล้วยังทุบตีลูกชายเจ้าด้วย”
“…” ซ่งถิงเฟิงมองเขาโดยไม่พูดอะไร พักหนึ่งก็กลั้นใจเอ่ยออกไป “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกโชคดีที่ยังไม่สร้างครอบครัว”
จูกว่างเสี้ยวพยักหน้าด้วยสีหน้าอึมครึม
…
เที่ยงของวันต่อมา สวี่ชีอันที่นอนไปได้แค่ห้าชั่วยามก็ลุกขึ้นจากที่นอนอย่างกระฉับกระเฉง
ใช้แปรงขนคอหมูจุ่มผงสีฟัน แล้วนั่งยองๆ แปรงฟันอยู่ใต้ชายคา
ผงสีฟันก็คือยาสีฟันแบบโบราณ มียาจีนเก้าชนิดได้แก่ ขิง จ้าวเจี่ยว[1] เซิงหมา[2] โกฐขี้แมว กะเม็ง ฮว๋ายเจี่ยว ซี่ซิน[3] ใบบัว เกลือเขียว
นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่สวี่ชีอันในชาติก่อนไม่เคยได้สัมผัส มีชื่อว่า ยาขจัดคราบตะกรัน[4]
ของสิ่งนี้มีผลช่วยทำให้ฟันสะอาด ขาวสวย และขจัดกลิ่นปากโดยตรงได้ดีอย่างยิ่ง
ยาสีฟันของชาติก่อนยังด้อยกว่าผงสีฟันของยุคสมัยนี้มาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือผลงานของนักเล่นแร่แปรธาตุจากสำนักโหราจารย์
การมีอยู่ของนักเล่นแร่แปรธาตุทำให้ชีวิตของชาวบ้านระดับล่างสะดวกและสุขภาพดียิ่งขึ้น
ความจริงแล้วพวกเขาเก่งกาจมาก เพียงแต่ประวัติศาสตร์สายการเล่นแร่แปรธาตุค่อนข้างสั้น ไม่ได้ก่อร่างขึ้นเป็นการเรียนการสอนทางทฤษฎีแบบรอบด้าน
และทฤษฎีเคมีของสวี่ชีอันก็ได้เสริมจุดอ่อนของนักเล่นแร่แปรธาตุพอดี
เขาข้ามกำแพงมายังบ้านใหญ่ ในเวลาแบบนี้ อาสะใภ้กับพวกน้องสาวกินข้าวเที่ยงเรียบร้อยแล้ว
บ่ายของวันนี้จะต้องไปฝึกลมหายใจหลอมปราณ ใคร่ครวญเรื่องวิชาดาบเดียวตัดฟ้าดิน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปฟังดนตรีกินอาหารที่หอคณิกา สวี่ชีอันให้ห้องครัวอุ่นอาหารที่เหลืออยู่มาให้เขา
เขาไม่ได้เข้าสู่การฝึกบำเพ็ญในทันที แต่ไปหยอกเล่นกับสวี่หลิงอินที่เรือนหลังอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงไปคุยเล่นไร้สาระเรื่องเหลียงซานป๋อและจู้อิงไถ[5] กับน้องหญิงวัยสิบเจ็ดปีผู้มีดวงตากลมโตดวงหน้าเรียวราวกับเมล็ดแตง องคาพยพทั้งห้าประณีตละเอียด
“กลับไปข้าจะเขียนนิยายให้น้องหญิงสักหน่อย เอาไว้อ่านยามอยู่ในห้องหอ” สวี่ชีอันเอ่ยพร้อมยิ้ม
“เป็นเรื่องราวความรักเหมือนเหลียงซานป๋อและจู้อิงไถหรือเจ้าคะ” สวี่หลิงเยวี่ยแย้มยิ้มราวบุปผา
“ไม่ใช่ น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าสองคนนั้นอีก”
“เรื่องอะไรหรือ” เมื่อได้ยินคำว่าน่าตื่นเต้น สวี่หลิงเยวี่ยก็หน้าแดงก่ำ
“ความรักแท้จริงระหว่างชายหนุ่มหญิงสาวผมขาวสองคน”
น่าเสียดายที่งานด้านวรรณกรรมของข้าไม่ดี นิยายที่เคยอ่านส่วนมากในชาติก่อนก็จำรายละเอียดไม่ได้…ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าคงอาศัยนิยายออนไลน์มาหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เมื่อเดินผ่านห้องของสวี่ฉือจิ้ว เขาก็ได้ยินเสียงท่องหนังสือดังออกมาจากข้างใน
“ฉือจิ้ว เจ้าไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษาหรือ” สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างหน้าต่างและเอ่ยถาม
“กำลังจะไปหาพี่ใหญ่พอดี” สวี่ฉือจิ้วหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะแล้วเดินมาที่ข้างหน้าต่าง ก่อนยื่นให้สวี่ชีอัน
“นี่คือสิ่งที่อาจารย์กับท่านมู่ไป๋และท่านโย้วผิงให้ข้าส่งมอบให้พี่ใหญ่ ข้ากลับมาตั้งแต่เช้าแล้วแต่เจ้ายังหลับอยู่”
สวี่ชีอันเปิดตำราดูอย่างสงสัย พลิกไปสองสามหน้าแบบสุ่มๆ เขาก็พบว่าเนื้อหาในตำรานั้นแปลกประหลาดมาก
มีทั้งตัวอักษร มีทั้งประชุมแผนที่ เหมือนกับนำสิ่งต่างๆ มากมายหลากหลายมายัดรวมเข้าด้วยกัน
สวี่ซินเหนียนอธิบายเสียงเบา “สิ่งที่บันทึกอยู่ในหนังสือนี้คือเคล็ดวิชาฝึกตนของแต่ละสาย ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านนำวิชาคาถาที่สะสมของแต่ละท่านมารวมกันแล้วมอบให้เจ้า”
เหมือนข้าจะได้กลิ่นคนอิจฉานะ…ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายเจิดจ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง