ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 796

บทที่ 796 หลานชายจอมพยศ

‘ครืน!’

หนวดแมงกะพรุนทั้งห้าปลุกกระแสคลื่นใต้น้ำจนปั่นป่วนและเกิดฟองอากาศหนาทึบเข้าพันร่างของ ‘ฮวง’

‘ฮวง’ ก็เหมือนมัจฉาที่ปราดเปรียวและพราวเสน่ห์ มันว่ายเฉียง นอนตะแคง บิดเอวอวบหนา หลบหลีกการเกี่ยวกระหวัดและฟาดตบของหนวดแมงกะพรุนได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งในกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย ราวกับกระแสน้ำกำลังควบคุมเจ้ายักษ์ใหญ่นี่ให้เคลื่อนไหวหลบหลีกด้วยกระบวนท่ายากขั้นสูงในรูปแบบต่างๆ

เสียงดังครั่นครืน…ก้นสมุทรสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สิ่งที่อยู่ในเหวลึกราวกับเกิดโทสะ หนวดแมงกะพรุนประหลาดอันน่าพรั่นพรึงแต่ละเส้นโผล่ออกมาจากเหวอันมืดมิดประหนึ่งดอกไม้เบ่งบาน ก่อให้เกิดซากตะกอนฟุ้งกระจายจำนวนมาก

มันแยกเขี้ยวสยายกรงเล็บ ราวกับจะกวาดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดลงเหวลึก

พื้นผิวของหนวดเหล่านี้เต็มไปด้วยริ้วรอยขาดแหว่ง เหมือนภาพวาดสมบูรณ์แบบที่ถูกเช็ดออกไปส่วนหนึ่งอย่างลวกๆ ถ้วยดูดขนาดมหึมามีหนามแหลมขยับดุกดิกเบาๆ

“ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเจ้าเลย น่าเสียดายที่จิตวิญญาณเกือบจะถูกทำลายหมดแล้ว”

ท่านโหราจารย์พิจารณาจากพื้นผิวของแมงกะพรุนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยขาดแหว่งแล้ว จึงวิเคราะห์ออกมาว่าเป็นสัตว์ประหลาดในเหวลึก

“สมกับที่เป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า” ต้าฮวงเอ่ยเสียงเรียบ เขาลอยตัวอย่างสวยงามเพื่อหลบหลีกหนวดแมงกะพรุนสามเส้นที่ฟาดมา

หนวดฟาดลงที่ก้นสมุทรก่อให้เกิดผลประหนึ่งแผ่นดินไหว ซากตะกอนฝุ่นโคลนลอยคลุ้งเสมือนควัน ทำให้น้ำทะเลที่เคยใสอยู่แต่เดิมกลายเป็นกระแสน้ำขุ่น

พลังใดๆ ในโลกล้วนมีการจัดเรียงและผสมผสานอย่างมีเอกลักษณ์ วัตถุที่ต่างกันมีริ้วรอยที่ต่างกัน ตรรกะลึกซึ้งของปรมาจารย์ค่ายกลคือการตีความรอยยับย่นเหล่านี้ และเบี่ยงซ้ายบ่ายขวาเพื่อหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวัง…

“เมื่อเข้าใจหยินหยาง ธาตุทั้งห้า และดินน้ำลมไฟอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็จะสามารถควบคุมพลังทั้งหมดบนโลกได้…มาอีกแล้ว รีบไปทางขวาเร็ว แวบไปด้านหลัง”

(1)

ท่านโหราจารย์เอ่ยพลางชี้แนะไปพลาง

…ต้าฮวงเน้นเสียงเอ่ยเจือโทสะว่า

“ข้าไม่ใช่ศิษย์ท่าน!”

หลังจากแสดงอารมณ์แล้ว มันจึงเอ่ยต่อว่า

“ดังนั้นข้าจึงคิดมาตลอดว่าโหรนั้นเป็นศาสตร์พิเศษที่สุดในบรรดาระบบทั้งหมด ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่สามารถควบคุมพลังส่วนใหญ่บนโลกได้ และการดำรงอยู่ของคนเช่นเจ้าก็สามารถสอดส่องความลับสวรรค์ และสังเกตชะตากรรมได้

“อย่างไรก็ตาม แม้การดำรงอยู่ของเทพกู่และเทพพ่อมด เทพกู่มีวิชาเทียนกู่ เทพพ่อมดมีวิชาพยากรณ์ และสามารถสังเกตแง่มุมของโชคชะตาได้เป็นครั้งคราว แต่ท่านก็เป็นเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับทำในสิ่งที่ระดับสุดยอดยังทำไม่ได้

“แต่หากโหรเป็นระบบที่ดำรงอยู่เพื่อกำเนิดผู้พิทักษ์ประตู เช่นนั้นก็สามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว”

‘ตูม!’

ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของ ‘สหาย’ ที่ทำการไล่ล่าและสกัดกั้น หนวดเส้นหนึ่งจึงฟาดลงบนหน้าท้องของสัตว์ประหลาดได้สำเร็จ ผิวหนังและเนื้อปริแตกออกทันที เลือดสดๆ ไหลฟุ้งออกมาเป็นดวงใหญ่ ย้อมให้น้ำทะเลเป็นสีแดงสดชวนสังเวช

ท่านโหราจารย์ส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ และเอ่ยชมว่า

“ร้ายกาจ พลังของแส้นี่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงขั้นหนึ่ง”

‘ฮวง’ กล่าวด้วยเสียงเข้มว่า

“เป็นหนึ่งในพลังเหนือธรรมชาติโดยกำเนิด ในช่วงโตเต็มวัย หนวดของมันสามารถฉีกร่างกายของข้าเป็นชิ้นๆ ได้ แน่นอนว่าร่างกายหาใช่ขอบเขตความเชี่ยวชาญของข้า

“ในสมัยโบราณ มันต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับ ‘มังกร’ ในทะเลลึก การซัดโหมของคลื่นยักษ์เกือบทำให้แผ่นดินใหญ่จิ่วโจวครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้น้ำ การต่อสู้ครั้งนี้ทำลายสมดุลระหว่างเทพมาร และเปิดฉากโหมโรงสู่จุดจบของเทพและมาร

“หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ในทะเลลึกจึงเหลือเจ้ายุทธจักรเพียงหนึ่งเดียว น่าเสียดายที่ไม่ใช่มัน แต่เป็นมังกร”

ท่านโหราจารย์ส่งเสียง ‘อ้อ’

“มิน่าเล่าข้าจึงไม่รู้สึกถึงคลื่นจิตเดิมของมัน”

ต้าฮวงเอ่ยว่า “แมงกะพรุนมิได้ตายไปเปล่าๆ ยังได้ควบรวมปณิธานของมันให้คงอยู่ในสนามรบแห่งนี้เป็นเวลาหลายปีไม่รู้จบ”

พูดจบ เดรัจฉานฮวงก็กำลังจะข้ามผ่านอาณาเขตผืนนี้

การรุกโจมตีของหนวดแมงกะพรุนบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ มันฟาดจนก้นสมุทรปริแตก เคราะห์ดีที่บริเวณนี้ไม่มีภูเขาไฟใต้ทะเล มิเช่นนั้นคงระเบิดไปนานแล้ว

“มังกรฆ่ามันแล้ว ทว่าจิตวิญญาณก็ได้รับความเสียหาย พลังการต่อสู้ไม่ฟื้นคืนสู่จุดสูงสุดอีกต่อไป ดังนั้นต่อมาจึงถูกยักษ์สามตาดึงเอ็นมังกรและตัดหัวมังกร น่าเสียดายที่จิตวิญญาณของมันไม่สมบูรณ์ ข้ามิอาจดูดซับมันได้ และไม่รู้ด้วยว่าผู้ใดจะได้รับประโยชน์จากพลังนี้ในอนาคต”

ฮวงเอ่ยหยั่งเชิงว่า

“มิเช่นนั้น ท่านก็ช่วยข้าดูดซับจิตวิญญาณของมันก่อน แล้วข้าสัญญาว่าจะทำเรื่องหนึ่งให้ท่าน”

หากสามารถดูดซับจิตวิญญาณที่หลงเหลือของแมงกะพรุนได้ ร่างกายของมันก็จะสัมผัสถึงระดับเหนือมนุษย์

ท่านโหราจารย์เป็นผู้พิทักษ์ประตู เชี่ยวชาญด้านค่ายกลและการกลั่นน้ำอมฤต บางทีอาจสามารถสกัดจิตวิญญาณในแมงกะพรุนออกมาได้

ท่านโหราจารย์หาได้สนใจมัน

ฮวงจึงได้แต่เดินหน้าด้วยความเสียดาย หลังจากแส้ฟาดไปสามครั้งก็ออกจาก ‘สนามรบ’ แห่งนี้ได้โดยสมบูรณ์ และหายไปในทะเลลึกอันไร้จุดสิ้นสุด

ซินเจียงตอนใต้

ในอาคารอิฐแดงฝ่ายลี่กู่ ลี่น่าสวมเสื้อคลุมบาง กางเกงขาสั้นเผยให้เห็นต้นขา กำลังนอนแผ่หลับสนิทอยู่บนเตียง

ทันใดนั้น นางก็ตกใจตื่นขึ้นเพราะความเจ็บปวดรุนแรง เมื่อลืมตาขึ้นแล้วหันไปก็เห็นเสี่ยวโต้วติงตัวแน่นอวบอ้วนกำลังกอดและกัดแขนนางอยู่

‘ซู้ด’ ลี่น่าหายใจติดขัดด้วยความเจ็บปวด แล้วใช้ฝ่ามือตีลูกศิษย์ให้ตื่น

เสี่ยวโต้วติงลืมตาอย่างสะลึมสะลือ ก่อนขยี้ตาพลางกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยว่า

“อาจารย์ ข้าฝันถึงของอร่อย แต่ไม่ว่าจะกัดอย่างไรก็กัดไม่เข้า”

ลี่น่าชี้แขนตัวเองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ไอ้หยา อาจารย์ถูกกัดแล้ว”

สวี่หลิงอินเห็นรอยฟันก็ตกใจเป็นการใหญ่ ก่อนร้องโวยวายเกินจริง

“นี่มันรอยกัดของเจ้า” ลี่น่าเอ่ยเสียงดัง

“ไม่ใช่ข้า”

สวี่หลิงอินรีบปฏิเสธ นางจำไม่ได้เลยว่าตัวเองเคยทำเรื่องเช่นนี้ อาจารย์ต้องคิดฉวยโอกาสยึดเนื้อของนางในวันพรุ่งนี้แน่

“เป็นเจ้าที่กัดข้า”

“ไม่ใช่ข้า”

สองศิษย์อาจารย์เริ่มทะเลาะและโจมตีกันด้วยคลื่นเสียง จนกระทั่งท้องของสวี่หลิงอินส่งเสียง ‘โครกคราก’

ลี่น่าจึงเอ่ยอย่างหัวเสียว่า

“ปริมาณเนื้อที่เจ้ากินเกือบจะตามข้าทันแล้ว ข้ายังไม่หิวเลย เจ้าเอาอะไรมาหิวกัน”

ในฝ่ายลี่กู่ ปริมาณในการบริโภคอาหารไม่เพียงแสดงถึงพลังวิเศษ ยังแสดงถึงตบะในระดับที่ชัดเจนด้วย แน่นอนว่าสวี่หลิงอินซึ่งเป็นประเภทวิ่งซนไปทั่วและไล่ทุบตีเด็กๆ ในฝ่ายลี่กู่ภายใต้การยุยงของผู้อาวุโสหลายท่าน ย่อมจะกินจุขึ้นอย่างแน่นอน

ทว่าในมุมมองของลี่น่าแล้ว ยังมีบางอย่างผิดปกติอยู่

“ข้าก็แค่หิวหรือเปล่าเล่า” สวี่หลิงอินเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ

“เจ้าไม่ได้แอบเอาเนื้อให้คนอื่นกินใช่หรือไม่”

ลี่น่าเอ่ยคาดเดา พูดจบ นางก็ปฏิเสธการคาดเดานี้ ศิษย์โง่เขลาผู้นี้จะไปแบ่งอาหารกับผู้อื่นได้อย่างไร

“เจ้าเอาเนื้อไปซ่อนหรือ”

ลี่น่าสะดุดใจ สวี่หลิงอินเป็นคนชอบตุนอาหาร นางมักซ่อนน่องไก่ไว้ในรองเท้าที่ไม่ได้ใส่ จากนั้นเมื่อพบว่ากลิ่นของน่องไก่เปลี่ยนไปก็ไม่อยากกินแล้ว แต่ก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง จึงลองเอาน่องไก่ให้คนในบ้าน

“ข้าเปล่านะ”

สวี่หลิงอินผงะ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง อาจารย์ถึงกับรู้การกระทำลับๆ ของนาง อาจารย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

“เจ้าซ่อนของเพราะเหตุใด” ลี่น่าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“วางใจเถอะ ข้าไม่กินมันหรอก”

อากาศที่ซินเจียงตอนใต้ร้อนระอุ เป็นไปไม่ได้ที่จะถนอมเนื้อสัตว์ ส่วนมากจึงมีกลิ่นเหม็นไปแล้ว

สวี่หลิงอินพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้อาจารย์มักจะแย่งกันกินกับนาง ทว่าคำพูดของอาจารย์ก็ยังนับเป็นคำพูด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง