บทที่ 797 การแก้แค้นของสวี่ชีอัน
ระหว่างที่พูด สวี่ชีอันก็ดีดนิ้วจุดเทียนไขบนโต๊ะ แสงสีส้มอุ่นละมุนขับไล่ความมืดออกไป
เทพดอกไม้นั่งที่ข้างเตียง พลางใช้มือหนึ่งกดคอเสื้อ อีกมือหนึ่งชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วตำหนิว่า
“ชิชะ เจ้ามันเดรัจฉานตัวน้อยผู้ใจกล้าบ้าบิ่น หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้เพียงน้อยนิด ข้าจะตะโกนขอความช่วยเหลือ ทำให้ชื่อเสียงเจ้าป่นปี้ ดูสิว่าอารองและอาสะใภ้ของเจ้าจะตีเจ้าให้ตายหรือไม่”
สตรีที่ข้างเตียงมีเรือนผมเป็นลอนปล่อยสยาย ใบหน้างดงามดุจภาพวาด นางดูเหมือนจะเข้าสู่บทบาทของผู้อาวุโส คิ้วเลิกสูง ผสมผสาน ‘ความมุ่งมาดที่จะรักษาความน่าเกรงขามที่แข็งนอกอ่อนใน’ และ ‘ความกลัวที่จะถูกแผนการต่อต้านโดยที่ทำอะไรไม่ถูก’ ได้อย่างลงตัว
ความผสมผสานอัน ‘ประณีต’ ของเนื้อขอบตาล่างโค้งนูนเบาบางและดวงตาเป็นประกายสดใสงดงาม ก็เพียงพอที่จะล่อลวงตัณหาของบุรุษเพศแล้ว
กิริยาที่กดคอเสื้อไว้แน่นยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งนอกอ่อนในของนาง
เดิมสวี่ชีอันคิดว่าตนปรับตัวเข้ากับเสน่ห์ของเทพดอกไม้ได้แล้ว คงไม่เกิดสถานการณ์ที่ถูกครอบงำด้วยตัณหาอีก…ยังละอ่อนเกินไปสินะ
เขาร่วมมือด้วยการเผยรอยยิ้มของหนุ่มเจ้าสำราญ แล้วเอ่ยบทอมตะว่า
“แม้จะตายกลายเป็นผี ก็ยังสง่างามและเป็นอิสระภายใต้ดอกโบตั๋นที่สวยงาม แม้เจ้าจะร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก”
เมื่อเขาดีดนิ้ว พลังปราณก็แผ่กระจายประหนึ่งม่านมายาไปปกคลุมสันหลังคา และเก็บเสียงในห้องไว้อย่างสิ้นเชิง
นี่มิใช่ค่ายกล และไม่ใช่วรยุทธ์ แต่เป็นการใช้พลังปราณขั้นหยาบที่สุด
มู่หนานจือ ‘ตกใจ’ จนถอยร่นต่อเนื่องจากข้างเตียงไปด้านใน กระทั่งหลังติดกำแพง นางจึงเอ่ยเสียงสั่นว่า
“ข้า ข้ายังมีองครักษ์เผ่าพันธุ์ปีศาจอีกหนึ่งตัวนะ”
นางเอ่ยพลางมองไปยังลูกสุนัขจิ้งจอกที่ขดตัวหลับฝันหวานอยู่ข้างหมอน
องครักษ์เป็นลูกสุนัข…สวี่ชีอันเกือบกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ เขาเข้าใจความหมายของมู่หนานจือได้ในไม่กี่อึดใจ ก่อนเอื้อมมือไปปาดหัวเตียงแล้วเก็บไป๋จีเข้าไปในเจดีย์พุทธะ
ยามนี้จึงไม่มีใครรบกวนพวกเขาได้อีก
สวี่ชีอันเข้าไปในม่าน แล้วดึงมือของเทพดอกไม้มาไพล่ที่หลัง ก่อนนั่งบริเวณรอยบุ๋มที่บั้นเอวของนาง แล้วแสยะยิ้มเอ่ยว่า
“น้ามู่รึ
“ก็ได้ มาบ้านข้าครั้งหนึ่งก็กลายเป็นผู้อาวุโสของข้าเสียแล้ว ที่หันมาเอาเปรียบข้า คงไม่ได้ไม่พอใจที่ข้าละเลยเจ้าในช่วงนี้หรอกกระมัง”
ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อเทพดอกไม้ ที่ใช้ฐานะของ ‘ผู้อาวุโส’ กดข่มเขาอย่างซุกซน เป็นเพราะนิสัยของนางที่ทำตัวเป็นปีศาจเพื่อสร้างปัญหาเวลาที่นางไม่มีอะไรทำ และส่วนหนึ่งก็เป็นนางเพราะขาดความรู้สึกอุ่นใจด้วย
ดังนั้นจึงต้องการแสดงความมีตัวตน
เขาดึงคอเสื้อของมู่หนานจือไปด้านหลัง พลันเผยให้เห็นไหล่กลมและแผ่นหลังขาวนวลราวหิมะ
มู่หนานจือส่งเสียง ‘อ๊ะ’ แก้มแดงระเรื่อเช่นเดียวกับใบหู แล้วร้องขึ้นอย่างไม่ยอมรับว่า
“เหลวไหล เจ้ามันเดรัจฉานตัวน้อย”
ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของนาง ไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองเป็นปีศาจเพื่อเรียกร้องความสนใจแน่
สวี่ชีอันเลื่อนปลายนิ้วผ่านแผ่นหลังขาวนวล เมื่อเห็นนางขนลุกชันจึงจุปากล้อเลียนว่า
“วันนี้น้ามู่ความรู้สึกไวน่าดู คงจะคิดถึงข้ามากทีเดียว”
มู่หนานจือกัดริมฝีปากโดยไม่คิดจะแก้ตัว และเอ่ยอย่างมีโทสะว่า
“คนสารเลว วันนี้หากปล่อยให้เจ้าได้สมหวัง พรุ่งนี้ข้าจะต้องกล่าวโทษเจ้า ทำให้ชื่อเสียงเจ้าป่นปี้แน่”
แสงเทียนประหนึ่งเมล็ดถั่วซึ่งลุกไหม้อย่างเงียบๆ เงาในม่านที่ทอดยาวบนผนังลูบไล้สัมผัสกันไม่หยุดราวกับจะปลิวไปตามสายลม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดลมก็หยุดลง และผ้าม่านเตียงก็กลับมาสงบอีกครั้ง
จากนั้น ร่างของคนผู้หนึ่งก็ถูกอุ้มมายังโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง แสงเทียนสะท้อนเงาร่างลงบนขอบหน้าต่าง
กระบวนการนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาสองเค่อ ร่างที่นั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือก็ถูกอุ้มเดินไป ไม่ช้า เสียง ‘กระทบ’ ของน้ำก็ดังขึ้นในห้อง แน่นอนว่าเสียงเหล่านี้ถูกจำกัดอย่างแน่นหนาให้อยู่ในห้อง ไม่แพร่งพรายออกมา
‘เพล้ง!’ หลังจากเสียงน้ำหยุดลงไม่นาน ก็มีเสียงถ้วยชาและกาน้ำชาแตกดังมา ตามด้วยเสียงกระแทก ‘โครมคราม’ บนโต๊ะกลม
“การบำเพ็ญคู่ดีกว่าการปรับลมหายใจจริงด้วย จิตวิญญาณของท่านมีประโยชน์กับข้ามากทีเดียว กลับไปข้าจะสอนท่านบำเพ็ญพรต เช่นนี้จะได้ปกป้องตัวเองได้แข็งแกร่งขึ้นมาก”
มู่หนานจือทรุดตัวลงบนโต๊ะกลมอย่างอิดโรย และเอ่ยพึมพำว่า
“ข้าต้องการบำเพ็ญธรรม ข้าก็อยากเป็นเซียนครองพิภพเช่นกัน”
“ข้าถ่ายทอดพลังปราณไว้ในตัวท่านมากมายเพียงนั้น การบำเพ็ญธรรมจะไม่เสียเปล่าหรือ หากฝึกยุทธ์ อย่างมากสองปีท่านก็เลื่อนขึ้นสู่ขั้นเหนือมนุษย์ได้แล้ว”
“ข้าไม่ต้องการ ข้าแค่อยากเป็นเซียนครองพิภพ”
เสียงพูดคุยค่อยๆ เบาลง แล้วผ้าม่านก็เริ่มถูกลมพัดจนสั่นไหวไม่หยุดอีกครั้ง
…
วันต่อมา
อาสะใภ้ลุกขึ้นด้วยท่าทีเหนื่อยล้า สองตาดำคล้ำ และสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยภายใต้การปรนนิบัติของลวี่เอ๋อ
เมื่อคืนสวี่ผิงจื้อไม่ได้หลับทั้งคืน บ้างพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง บ้างก็มานั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะ ทำให้อาสะใภ้นอนไม่หลับไปด้วยเพราะถูกเขาปลุกจนตื่นอยู่เรื่อย
อาสะใภ้เข้าใจความรู้สึกของสามีได้ สวี่ผิงจื้อมักพูดว่าในวัยเยาว์ที่บิดามารดาเสียชีวิตทั้งคู่ ก็ได้พี่ใหญ่ประคับประคองชีวิตด้วยกันมา
แม้ว่าภายหลังสวี่ผิงเฟิงจะบ้าคลั่งเพียงไหน อาสะใภ้ก็เชื่อว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องในตอนนั้นมิใช่ของปลอม
แต่นั่นมันทำไมเล่า นี่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง นางรู้เพียงว่าสวี่ผิงเฟิงเป็นเดรัจฉานเลือดเย็นไร้หัวใจ ที่ต้องการสังหารเด็กที่นางเลี้ยงจนเติบใหญ่มากับมือ
ดังนั้นเมื่อคืนอาสะใภ้จึงไม่มีแม้คำปลอบใจสักประโยค
นางไม่ได้ตีฆ้องร้องป่าวเพื่อเฉลิมฉลองกรรมตามสนองของสวี่ผิงเฟิงก็นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว
“ยังจะดื่มเหล้าอีก กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมด…”
อาสะใภ้โบกมือด้วยความระอา พลางว่า
“เอาเหยือกเปล่าออกจากโต๊ะไปเลย”
หลังจากสั่งลวี่เอ๋อแล้ว นางก็เดินไปข้างหน้าต่างแล้วผลักเปิดออก อากาศเย็นพัดเข้ามาทำให้อาสะใภ้สดชื่น
ทันใดนั้น สายตาของนางก็ค้างนิ่ง นางมองทะลุหน้าต่างผ่านลานบ้านไปยังห้องเยื้องๆ และเห็นหลานชายตัวดีเปิดประตูเดินออกมาจากห้องด้านใน
“เช้าขนาดนี้ เขาออกมาจากห้องพี่หญิงได้อย่างไร…”
อาสะใภ้เย็นเยียบในใจ คิ้วอันงดงามขมวดขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ลวี่เอ๋อ ตามข้ามา!”
นางสาวเท้ายาวออกจากประตูห้องไปพร้อมกระโปรงที่โบกสะบัด
…
มู่หนานจือนอนขดตัวด้วยความอ่อนเพลียอยู่บนเตียงอันยุ่งเหยิง ผมเผ้ากระเซิง เมื่อได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูจึงพึมพำว่า
“เดรัจฉานน้อย…”
สิ้นเสียงพึมพำ นางเกิดเอะใจจึงลืมตาขึ้น และเห็นเงาร่างของเดรัจฉานน้อยที่โรมรันกับนางทั้งคืนโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะกลม
“เมื่อครู่อาสะใภ้เห็นข้าออกไปจากห้องเจ้า”
สวี่ชีอันเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันของมู่หนานจือ จึงเอ่ยด้วยความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง