ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 798

สรุปบท บทที่ 798 ศึกชิงตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 798 ศึกชิงตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 798 ศึกชิงตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 798 ศึกชิงตำแหน่งโหราจารย์คนใหม่

หลังจากที่สวี่หยวนไหวเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา ก็พบว่าโหรชุดขาวทั้งสองคนมองมาที่เขาด้วยแววตาเหมือนมองคนซื่อบื้อ

เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วแค่นเสียงเอ่ยออกมา

“มีปัญหาอะไร?”

โหรชุดขาวที่อยู่ทางด้านซ้ายอุทาน ‘อ้อ’ ออกมา จากนั้นก็พลันตระหนักได้จึงตีหัวตัวเองก่อนเอ่ยตอบ

“ลืมไป พวกเจ้าสองคนเข้ามาในสำนักโหราจารย์ตอนที่ฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์พอดี นั่นก็คงจะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วกระมัง”

โหรชุดขาวทางด้านขวาหรี่ตามองสวี่หยวนไหว

“ข้าจะบอกข่าวร้ายกับเจ้าเรื่องหนึ่ง กองทัพอวิ๋นโจวบุกมาถึงเมืองหลวงแล้วจริงๆ แต่ก็ถูกฆ้องเงินสวี่สยบในวันนั้น พวกผู้นำทั้งหลายของทัพกบฏ บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกจับไป เจ้าหนู ตอนนี้ใต้หล้าสงบลงแล้วล่ะ”

สวี่หยวนไหวและพี่สาวมองหน้ากันแล้วยิ้มเยาะ

“ไปหลอกเด็กสามขวบเถอะไป”

เหตุใดพวกเขาถึงถูกขังเอาไว้ที่นี่ นั่นก็เพราะท่านโหราจารย์ถูกผนึก กำลังสำคัญของต้าฟ่งจึงหายไปแล้ว จิตใจผู้คนก็ตื่นตระหนก ท่านพ่อและท่านอาจึงเห็นว่านี่คือโอกาสกวาดล้างต้าฟ่งโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ

ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับกลยุทธ์เจรจาสันติภาพของชีก่วงป๋อ

หรือพูดอีกอย่างก็คือ สถานการณ์ของภาคกลางเกือบจะกลายเป็นต้าฟ่งพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว

สองพี่น้องถูกขังอยู่ในสำนักโหราจารย์ไม่ถึงหนึ่งเดือน เมื่อดูจากแนวโน้ม ตอนนี้ต้าฟ่งน่าจะล่มสลายจนถึงขีดสุดและอยู่ในจุดที่ควรมอดมลายหายไปแล้วต่างหาก

มุมมองของสวี่หยวนซวงก็เช่นเดียวกับน้องชาย แต่นางยังรักษาความสงบไว้ ทั้งไม่ได้เอ่ยถามและไม่ได้โต้เถียง

นางไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก พี่ใหญ่ผู้นั้นเปลี่ยนจากมือปราบตัวเล็กๆ กลายเป็นบุคคลที่เรียกลมเรียกฝนได้ ดังนั้นย่อมต้องทำการล่าสังหารอย่างเด็ดขาดแน่นอน แต่เขาไม่ได้ฆ่าไม่เลือกหน้าเช่นนั้น แม้ว่าตนและหยวนไหวจะเป็นหมากไร้ประโยชน์ แต่อย่างมากก็แค่ถูกขังไว้ในสำนักโหราจารย์

โหรของสำนักโหราจารย์หยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นคนชุดขาวทั้งสองคนจึงคร้านจะอธิบาย

สองพี่น้องสวมโซ่ตรวนที่มือและเท้าแล้วถูกนำขึ้นมาจากใต้ดิน จากนั้นก็เดินตามโหรทั้งสองคนขึ้นบันไดไป

ระหว่างทางได้พบกับโหรชุดขาวมากมายหลายคน พวกเขาไม่แม้แต่จะมองสองพี่น้องและเอาแต่ยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง

การเมินเฉยเช่นนั้น เดิมทีก็คือความหยิ่งยโสแบบหนึ่ง

ไม่นานก็มาถึงโถงใหญ่ชั้นสี่และถูกพาเข้าไปในห้องทางปีกซ้าย ก่อนจะมาหยุดอยู่นอกห้องใหญ่ห้องหนึ่ง

สวี่หยวนซวงมองเข้าไปข้างใน ทั้งสองประกอบด้วยชายหนุ่มผู้มีรอยคล้ำรอบดวงตาดำเข้ม หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ห่านที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองพร้อมมีของกินวางอยู่ตรงหน้า ซุนเสวียนจีที่ใบหน้าธรรมดาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กับลิงที่เขาเลี้ยง

รวมถึง พี่ใหญ่สวี่ชีอันผู้สวมชุดสีครามปักลายม่านเมฆ ไม่รู้ว่าเขากับโหรเหล่านี้กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ สีหน้าจึงแสดงความจนใจออกมา

ที่ข้างหน้าต่างยังมีโหรชุดขาวผู้เอาแต่ยืนทำมือไพล่หลัง อย่างไรก็ไม่มีวันได้เห็นหน้า

“ฆ้องเงินสวี่ มาแล้วขอรับ!”

หลังจากโหรชุดขาวทั้งสองคนเอ่ยบอกก็หันหายเดินจากไป

สองพี่น้องยืนตัวแข็งอยู่ที่ประตู ไม่รู้ว่าควรเดินเข้าไปหรือไม่

“เข้ามาเถอะ!”

สวี่ชีอันเก็บงำสีหน้าแล้วกวาดตามองสองพี่น้องอย่างเอื่อยเฉื่อย

สวี่หยวนไหวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปคนแรกแล้วเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเย็นชา

“เจ้าจะใช้พวกเราสองพี่น้องเป็นตัวต่อรองกับท่านพ่อหรือ? เช่นนั้นขอแนะนำให้เจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝันไป การเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งเป็นความปรารถนาสูงสุดของชีวิตท่านพ่อ เขาสามารถแลกได้ทุกสิ่งเพื่อเรื่องนี้ ข้ากับหยวนซวงยังไม่มีค่าถึงขั้นนั้นหรอก อยากฆ่าก็ฆ่า ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ตัวข้าสวี่หยวนไหวหากขอร้องเจ้าก็ไม่ถือเป็นบุรุษ”

ศิษย์ทั้งหลายของท่านโหราจารย์เหลือบมองเขา รู้สึกไม่คาดคิดเล็กน้อย

น้องชายคนนี้ของสวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนกระดูกแข็งที่หยิ่งในศักดิ์ศรีคนหนึ่งเสียอย่างนั้น

สวี่ชีอันมองไปยังผู้พิทักษ์หยวนแล้วเอ่ยถาม

“เขาบอกว่าอะไร?”

ดวงตาสีฟ้าใสของผู้พิทักษ์หยวนจ้องมองไปยังสวี่หยวนไหวแล้วเอ่ยตอบอย่างจริงจัง

“เช่นเดียวกัน”

ก็หมายความว่าสิ่งที่สวี่หยวนไหวพูดออกมานั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดในใจ

‘เป็นเจ้าทึ่มคนหนึ่งโดยแท้…’ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที

คนที่อายุปูนนี้แต่คำพูดคำจายังเหมือนกับความคิดในใจนั้น ไหนเลยจะไม่ใช่คนทึ่ม

ดวงตาสีฟ้าใสของผู้พิทักษ์หยวนกวาดตามองทุกคนแล้วพยักหน้าเป็นการตอบว่าเห็นด้วย

“ข้าก็ว่าเป็นเจ้าเป็นคนทึ่มเช่นกัน ไม่น่าสนใจเลย!”

สองพี่น้องที่อยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ

“กบฏอวิ๋นโจวถูกสยบลง พวกเจ้าเป็นอิสระแล้ว ออกไปรอที่นอกห้องโถงเสีย เดี๋ยวข้าจะพาพวกเจ้าไปพบมารดา”

พูดพลางก็โบกมือขึ้น เบื้องหน้าของสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวพร่าเลือน พวกเขาถูกผลักออกมาจากห้องโถงและกลับมายืนอยู่ที่โถงชั้นสี่แล้ว

สวี่หยวนไหวเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิด

“เขาบอกว่าจะพาพวกเราไปพบท่านแม่ คงคิดจะใช้พวกเราเป็นเครื่องต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านพ่อจริงๆ”

เขาถอนหายใจยาวออกมา

“ท่านพ่อยังไม่ลืมพวกเรา ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านแล้ว”

สวี่หยวนซวงพยักหน้า

ตอนนี้เอง โหรชุดขาวก็เดินเข้ามาจากอีกด้าน

สวี่หยวนซวงตกใจสั่นขึ้นมา นางเดินเข้าไปหาพร้อมกับเสียงโซ่ตรวนที่เท้าดัง ‘โครมคราม’

สวี่หยวนไหวเดินตามนางไป

“พี่ชายท่านนี้”

สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงอ่อน “ขอถามพี่ชายเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

“แม่นางเชิญพูด”

สวี่หยวนซวงเอ่ยถาม

“ทัพอวิ๋นโจวยกมาถึงเมืองหลวงแล้วหรือ”

โหรชุดขาวพยักหน้าแล้วรับคำ ‘อืม’

‘อย่างที่คิด…’ สองพี่น้องเข้าใจแล้ว ‘สวี่ชีอันจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องต่อรองเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านพ่อจริงๆ’

‘ดังนั้นที่บอกว่าจะได้พบมารดาเมื่อกี้ คงหมายถึงให้ท่านพ่อพาพวกเขากลับไป…’ สวี่หยวนซวงเบาใจแล้ว เมื่อครู่สวี่ชีอันพูดเช่นนั้นหมายความว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างตัวเขากับท่านพ่อไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นท่านพ่อจึงยอมไถ่ตัวพวกเขากลับไป

สวี่หยวนไหวเอ่ยเสียงขรึม

“สถานการณ์เป็นอย่างไร ต้าฟ่งมาถึงทางตันแล้วใช่หรือไม่”

‘เป็นไปได้ว่าอาจจะยกทัพตีเข้ามาในเมืองหลวงแล้วด้วย…’ เขาเสริมหนึ่งประโยคอยู่ในใจ

โหรชุดขาวพินิจมองพวกเขา

“การกบฏถูกสยบลงได้ตั้งนานแล้ว พวกเจ้าสองคนเพิ่งจะออกมาจากห้องใต้ดินล่ะสิ”

“เป็นไปได้อย่างไร” สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงสูงขึ้น

“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้” โหรชุดขาวถามกลับ

“อวิ๋นโจวมีขั้นหนึ่งถึงสองคน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงพวกเขาออกโรงเองก็สามารถทำให้ต้าฟ่งมอดไหม้เป็นจุณได้แล้ว” สวี่หยวนไหวเอ่ยเสียงขรึม

สีหน้าของนางภาคภูมิใจมาก คิดว่าพวกศิษย์พี่ทั้งหลายต่างให้ความสำคัญกับนางและไม่มองนางเป็นเด็กน้อยอีก อีกทั้งยังสามารถเป็นคนรุ่นเดียวที่พูดคุยสมาคมกันได้อย่างเท่าเทียม

สวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองไปยังผู้พิทักษ์หยวน

ผู้พิทักษ์หยวนเข้าใจทันที ดวงตาสีฟ้าใสมองไปที่เหล่าโหรทั้งหลายในที่นั้นแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ความในใจของพวกท่านเหล่านี้บอกข้าว่า หากฉู่ไฉ่เวยโชคดีส้มหล่นจนบังเอิญได้เป็นท่านโหราจารย์ เช่นนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับให้ข้าเป็นท่านโหราจารย์สักนิด”

นั่นหมายความว่า ด้วยสติปัญญาของฉู่ไฉ่เวย ไม่ว่าใครก็สามารถหลอกลวงนางได้ทั้งนั้น…สวี่ชีอันยกมือขึ้นปิดปาก เกือบหลุดหัวเราะออกไปแล้ว

ฉู่ไฉ่เวยใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะเข้าใจความหมายของผู้พิทักษ์หยวน จากนั้นก็เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อแล้วมองไปยังเหล่าศิษย์พี่ที่ปกติต่างก็รักเอ็นดูนาง

นางสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจอันล้ำลึกของเหล่าศิษย์พี่ทันที

“เช่นนั้นศิษย์พี่ซุนเล่า ท่านก็อยากเป็นท่านโหราจารย์เช่นกันหรือ?”

สวี่ชีอันมองไปยังผู้พิทักษ์หยวน

คนหลังรีบอ่านความในใจของซุนเสวียนจีออกมาทันที

“ข้าคือศิษย์คนรอง เมื่อศิษย์พี่ใหญ่ตายไปแล้ว ข้าก็คือผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง”

“แล้วจงหลีเล่า พวกเจ้าลืมจงหลีไปแล้วหรือ”

สวี่ชีอันนึกถึงเจ้าตัวน่าสงสารน้อยของเขา

หยางเชียนฮ่วนแค่นเสียง ‘เฮอะ’

“จากดวงชะตาของจงหลี นางแบกรับโชคชะตาของโหราจารย์ไม่ได้หรอก หากวันนี้นางเป็นท่านโหราจารย์ พรุ่งนี้ทั้งสำนักโหราจารย์ก็เตรียมเปิดโต๊ะจัดพิธีลาได้เลย”

โลกมนุษย์ช่างมิคู่ควร…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว ทันใดนั้นก็เริ่มเข้าใจท่านโหราจารย์ขึ้นแล้ว

“เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าจะรายงานฝ่าบาทให้ พวกเจ้าก็รอข่าวคราวเงียบๆ ก่อนแล้วกัน”

สวี่ชีอันกุมมือคำนับให้แล้วกลายเป็นเงามืดก่อนจะหายลับไป

ครู่ต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โถงใหญ่ด้านนอกและมองไปยังน้องชายน้องสาวที่รออยู่อย่างเชื่อฟัง

สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวลืมหายใจไปในทันใด สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง

คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือพี่ใหญ่ของพวกเขาและเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งด้วย

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง!

สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ ให้กับทั้งสองคนแล้วไม่พูดอะไรมาก เขาพาพวกเขากระโดดข้ามเงาแล้วออกไปจากหอดูดาว

ในสายตาของสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหว โลกเบื้องหน้าถูกเงาดำมืดเข้าปกคลุม ทิวทัศน์ของเมืองหลวงพัดผ่านไปราวกับโคมไฟที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไม่หยุดยั้ง เมื่อภาพเริ่มแจ่มชัดขึ้น พวกเขาก็มองเห็นประตูใหญ่ของจวนสกุลสวี่

จวนสกุลสวี่ ในเมืองหลวง…สวี่หยวนซวงค่อยๆ เบิกตากว้างแล้วหันหน้าไปมองสวี่ชีอันทันใด

เขาพาท่านแม่กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว!

เมื่อครู่ตอนอยู่ในหอดูดาว สวี่หยวนซวงก็พอจะมีความคาดเดานี้อยู่ในใจแล้ว

ตอนนี้เมื่อเห็นเขาพาตนและหยวนไหวมาที่จวนสกุลสวี่ จึงยืนยันได้อย่างแน่ชัด

ท่านพ่อมองว่าเขาเป็นเครื่องมือหลอมรวมโชคชะตา ราชวงศ์ที่เมืองเฉียนหลงมองว่าเขาเป็นหนามยอกอก ซึ่งรวมไปถึงนางและน้องชายด้วย ทั้งยังได้ยินคำนินทาว่าร้ายต่างๆ นานามาตั้งแต่เด็ก จนในใจเกิดความไม่เป็นมิตรต่อเขาขึ้นมาพอสมควร

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ต่อให้ทุกคนต่างก็ให้ร้ายและจะสังหารเขา

เขาก็ยังยินดีรับท่านแม่กลับมายังเมืองหลวง…

ในชั่วขณะนี้ ในใจของสวี่หยวนซวงราวกับถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง เจ็บจนจมูกของนางแสบร้อนไปหมด ขอบตาก็แดงก่ำ

นางมองไปยังสวี่หยวนไหวด้วยดวงตาที่พร่าเลือนและเห็นเขาก้มหน้าลงเงียบงันไม่พูดจา ในแววตาก็มีประกายความสับสนและอับอายฉายอยู่

………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง