ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 799

สรุปบท บทที่ 799 ฝันเห็นเทพเจ้ากู่: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 799 ฝันเห็นเทพเจ้ากู่ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 799 ฝันเห็นเทพเจ้ากู่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 799 ฝันเห็นเทพเจ้ากู่

“ตามข้ามา!”

สวี่ชีอันไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของน้องสาว แต่ถึงแม้จะสังเกตเห็นก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่

เขาพาสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวเข้าไปทางประตูใหญ่ของจวน เดินผ่านโถงด้านหน้าและโถงทางเดิน จากนั้นก็ตรงไปยังเรือนด้านหลังที่ครอบครัวอาศัยอยู่

ในโถงด้านในอันกว้างขวาง นอกจากสวี่ผิงจื้อที่ไปปฏิบัติหน้าที่ คนทั้งครอบครัวก็ล้วนอยู่กับพร้อมหน้า

สวี่เอ้อร์หลางเดิมทีต้องไปทำงานที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แต่เนื่องจากเมื่อวานสวี่ชีอันบอกไว้แล้วว่าวันนี้จะพาน้องชายและน้องสาวกลับมาบ้าน ดังนั้นเอ้อร์หลางจึงลางานเพื่อรอพบหน้าญาติผู้น้องทั้งสองอยู่ที่บ้าน

ผู้ที่นั่งตำแหน่งประธานทั้งสองที่คืออาสะใภ้และมารดา

ที่นั่งฝั่งอาสะใภ้มีสวี่ซินเหนียนและสวี่หลิงเยวี่ย รวมถึงมู่หนานจือ

ที่นั่งฝั่งมารดาจีไป๋ฉิงนั้นว่างเปล่า ยังไม่มีคนนั่ง

เมื่อเห็นสวี่ชีอันนำสองพี่น้องเข้ามาในโถงใหญ่ อาสะใภ้ก็เม้มริมฝีปาก พยายามอย่างหนักที่จะไม่กลอกตามองบน

นางอนุญาตให้เจ้าเด็กหน้าเหม็นสองคนนี้เข้ามาในจวนเพราะเห็นแก่หน้าบนพี่สะใภ้และหลานชายเท่านั้น

หลังจากที่สวี่หลิงเยวี่ยพูดยุยงคราวที่แล้ว อาสะใภ้ก็มีอคติกับสองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงมาก

สวี่ซินเหนียนและสวี่หลิงเยวี่ยมีความคิดในใจล้ำลึก แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า

“ท่านแม่!”

เมื่อพบหน้ามารดา สวี่หยวนซวงก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

สีหน้าเคร่งเครียดของสวี่หยวนไหวผ่อนคลายลง

จีไป๋ฉิงเมื่อเห็นบุตรธิดาของตนมารวมตัวกันพร้อมหน้าในที่สุด ขอบตาของนางก็แดงก่ำและเผยรอยยิ้มขมขื่นทว่าเปี่ยมสุขออกมา

“มาพบอาสะใภ้ของพวกเจ้าสองคนสิ”

นางทำตัวเป็น ‘คนนอก’ มาโดยตลอด มองว่าอาสะใภ้คือนายหญิงใหญ่ของบ้านสกุลสวี่และรู้จักหนักเบาดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกต่อต้านและไม่ทำให้ใครเอาไปนินทาได้

แน่นอนว่าอาสะใภ้มองกลเม็ดเล็กๆ แบบนี้ไม่ออกอยู่แล้ว นางเพียงแค่รู้สึกตามสัญชาตญาณว่าสะใภ้ใหญ่ยังคงอ่อนโยนเปี่ยมน้ำใจเช่นในสมัยก่อนและเข้ากับคนได้ดีเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ

“หยวนซวงคารวะท่านอาสะใภ้!”

สวี่หยวนซวงเอ่ยทักทายอย่างว่านอนสอนง่าย ใบหน้าสวยสดเย็นชาประดับแต้มด้วยรอยยิ้ม

“คารวะอาสะใภ้”

คำทักทายของสวี่หยวนไหวดูแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด

“อืม!”

อาสะใภ้พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่เอ่ยวาจารับคำทักทายใดๆ

ตอนแรกนางก็อยากจะเอ่ยพูดสักสองสามประโยคเพื่อแสดงอำนาจ แต่เมื่อเห็นท่าทางกลั้นน้ำตาของสะใภ้ใหญ่ ใจก็อ่อนยวบลง

จีไป๋ฉิงรีบเอ่ยพูด

“ต่อไปพวกเจ้าก็อาศัยอยู่ในจวนเถอะ พี่ใหญ่ของพวกเจ้าจัดที่ทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวแม่จะพาพวกเจ้าไป”

สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันหน้าไปมองสวี่หลิงเยวี่ย

สวี่หลิงเยวี่ยลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ นางตรงไปหาสวี่หยวนซวงพลางเอ่ยพูดไปด้วย

“ไม่ลำบากท่านป้าสะใภ้หรอกเจ้าค่ะ เรื่องเล็กๆ พวกนี้ให้หลิงเยวี่ยทำแทนเถิดเจ้าค่ะ”

ขณะเอ่ยพูด สวี่หลิงเยวี่ยก็ดึงมือของสวี่หยวนซวงขึ้นพร้อมแย้มยิ้มเป็นมิตรออกมา

“พี่หยวนซวง ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของพี่มานานแล้ว วันนี้ได้เจอหน้าก็ช่างไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย แล้วก็น้องหยวนไหว ช่างเป็นคนมีความสามารถอย่างที่พี่ใหญ่พูดเอาไว้จริงๆ อีกทั้งพรสวรรค์ก็ยังยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

สวี่ซินเหนียนส่ายหน้าแล้วหัวเราะ

“หลิงเยวี่ย คนบ้านเดียวกันก็ไม่ต้องเอ่ยคำพูดเกรงใจอันใดหรอก เจ้าน่ะไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง[1] แล้วเอาอันใดมาพูดว่าได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานานอย่างนั้นกัน”

สวี่หลิงเยวี่ยหันไปเอ่ยด้วยท่าทางขุ่นๆ

“พี่รองกำลังว่าร้ายคนอื่น พี่ใหญ่เคยพูดไว้แล้วนี่นาว่าพี่หยวนซวงกับน้องหยวนไหวนั้น คนหนึ่งเป็นโหร อีกคนเป็นจอมยุทธ์ คราที่แสดงฝีมือในยงโจวนั้นก็เกือบทำให้พี่ใหญ่เสียเปรียบอย่างหนักด้วยซ้ำ ดีที่พี่ใหญ่นั้นเป็นยอดอัจฉริยะหาตัวจับยาก บัดนี้จึงเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เช่นนั้นพี่รองบอกหน่อยสิว่า พี่หยวนซวงกับน้องหยวนไหวไม่สมกับคำที่น้องกล่าวว่า ‘ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานาน’ หรอกหรือ?”

สวี่ซินเหนียนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า

“ช่างเป็นอัจฉริยะมากความสามารถจริงๆ แต่เอ๋ ได้ยินว่าหยวนไหวใกล้จะถึงขั้นสี่แล้วนี่นา น่าละอายๆ”

สวี่หยวนซวงกระอักกระอ่วนจนยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ฉับพลันนั้นก็ไม่รู้ว่าควรตอบรับด้วยสีหน้าเช่นไรดี

สวี่หยวนไหวก้มหน้าลงเล็กน้อยและยิ่งรู้สึกอับอายเข้าไปอีก

นี่กำลังเปิดเผยเรื่องที่พวกเขาเคยต่อกรกับสวี่ชีอันออกมาอย่างหมดเปลือกชัดๆ

ก่อนหน้านี้เคยติดตามพวกจีเสวียนไปต่อกรกับสวี่ชีอัน แต่ตอนนี้อวิ๋นโจวไม่มีแล้ว ทั้งยังต้องแบกหน้ากลับมาพึ่งพิงอีกด้วย…คนที่เคยมีหน้ามีตาก็รู้สึกอึดอัดอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีได้อยู่แล้ว

สีหน้าของจีไป๋ฉิงกระอักกระอ่วน นางฝืนยิ้มออกมา

“หยวนซวงกับหยวนไหวไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนหน้านี้จึงทำเรื่องไม่ถูกต้องไปมาก”

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“เพียงขอโทษก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

มู่หนานจืออุ้มลูกจิ้งจอกในอ้อมกอดแล้วมองดูละครเอาสนุก

นางย่อมมองออกว่าสวี่หลิงเยวี่ยกำลังแสดงอำนาจต่อพี่น้องตัวร้ายอยู่ ในขณะที่ดูละครอย่างสนุกสนานก็รู้สึกสับสน เพราะในภาพจำของนาง สวี่หลิงเยวี่ยไม่น่าจะแข็งกร้าวเช่นนี้นี่นา

‘อืม สวี่เอ้อร์หลางน่าจะเป็นคนสั่งสอนนางกระมัง เอ้อร์หลางเป็นปัญญาชน เขาย่อมเชี่ยวชาญกลอุบายปากหวานก้นเปรี้ยวเช่นนี้ที่สุดแล้ว…’ มู่หนานจือวิเคราะห์อยู่ในใจ

สวี่ชีอันกวาดตามองสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวที่ใบหน้าแดงก่ำในทันใด จึงออกหน้าเอ่ยเสียงเรียบ

“พวกเจ้าสองคนไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเปลี่ยนไปสวมชุดสะอาดๆ ก่อนเถอะ”

สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองพี่ใหญ่อย่างคับแค้นใจแล้วเอ่ยต่อ

“ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”

ที่พักของสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวถูกจัดให้อยู่ในเรือนใกล้กัน แต่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกันกับพวกเขา

จีไป๋ฉิงไหนเลยจะปล่อยให้สวี่หลิงเยวี่ยรังแกบุตรของตนต่อไป จึงรีบเอ่ยพูดว่า

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าจะพาพวกเขาไปเอง”

จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับสวี่ชีอัน

“หนิงเยี่ยน มากินมื้อเย็นกับแม่นะ…มากินข้าวกับทางนี้เถอะ ข้าจะทำอาหารอวิ๋นโจวให้เจ้า”

นางเกิดความขัดแย้งในใจ ทั้งอยากใกล้ชิดลูกชายคนโต แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้นัก

หลักๆ เป็นเพราะสวี่ชีอันยังไม่เคยเรียกนางว่าแม่

นางจึงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแม่

สวี่ชีอันพยักหน้า

“ได้”

เมื่อมองส่งมารดาพาน้องชายน้องสาวออกไปแล้ว สวี่ชีอันก็หันหน้ามามองเจ้าน้องชายตัวดีแล้วเอ่ย

“ไปห้องหนังสือหน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

สองพี่น้องมาที่ห้องหนังสือของสวี่ชีอัน หลังจากปิดประตูแล้วสวี่ชีอันก็พูดขึ้น

“พรุ่งนี้เจ้าลองเขียนฎีกาถามว่าฝ่าบาทต้องการตั้งโหราจารย์คนใหม่หรือไม่ ลูกศิษย์พวกนั้นของท่านโหราจารย์กำลังแย่งตำแหน่งนี้กันอยู่”

เขาเล่าเรื่องการ ‘แย่งชิง’ ของพวกหยางเชียนฮ่วนออกมา

สวี่ซินเหนียนลูบคางแล้วกล่าวว่า

“จู่ๆ ข้าก็มีความคิดขึ้นมา กรมการคลังกำลังปวดหัวกับเงินบำนาญสำหรับเหล่าทหารเผ่าพันธุ์กู่ที่เสียชีวิตอยู่ เช่นนั้นให้สำนักโหราจารย์จ่ายเงินออกมาสิ บอกพวกเขาว่าใครออกเงินเยอะ ก็จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แน่นอนว่าความโปรดปรานก็ส่วนความโปรดปราน ไม่ได้ตัดสินว่าใครจะได้เป็นโหราจารย์”

ถึงอย่างไรสำนักโหราจารย์ก็มีเงินทองอยู่แล้ว

นี่เป็นการถอนขนแกะของสำนักโหราจารย์อย่างนั้นหรือ…สวี่ชีอันคิดไปคิดมาดูก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี

“พอดีเลย ช่วงนี้ข้าก็จะไปที่ซินเจียงตอนใต้แล้วรับหลิงอินกลับมา เงินบำนาญข้าก็จะเป็นคนไปส่งแล้วกัน”

“เจ้าคิดอย่างไรกับสองคนนั้น” สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน

“เลี้ยงอยู่ข้างกายแม่ข้าไง ก็แค่เด็กโง่สองคน” สวี่ชีอันลูบคาง

“จริงๆ ข้าก็ค่อนข้างสงสัยเรื่องที่สวี่ผิงเฟิงให้พวกเขามาเจรจาสงบศึกที่เมืองหลวงนะ เพราะเขาตั้งใจส่งคนมาให้ เช่นนี้ เมื่อต้าฟ่งชนะแล้ว พวกเขาสองคนก็จะมีที่ไป แต่หากต้าฟ่งพ่ายแพ้ อวิ๋นโจวก็สามารถช่วยพวกเขากลับมาได้ อย่างไรก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใด”

“ก็อาจจะ!” สวี่เอ้อร์หลางไม่มีความเห็นจะกล่าว

เมื่อคุยเรื่องจริงจังจบ สวี่ชีอันก็แค่นเสียงหัวเราะ ‘เฮอะ’

“ต่อไปก็มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว มารดาของข้าคนนี้ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ตอนนี้ใจของนางไม่ได้คิดจะทะเลาะเรื่องบ้านเรือน เพียงคิดแค่อยากจะซ่อมแซมความสัมพันธ์กับข้า รอให้คุ้นชินกับชีวิตในจวนสกุลสวี่ก่อนเถอะ เรื่องปะทะฝีปากของนางกับหลิงเยวี่ยจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ อ้อ จริงสิ หวางซือมู่ก็ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมันเช่นกัน ต่อไปเมื่อพวกเจ้าแต่งงานกันแล้วนะ จิ๊ๆ อีกหน่อยข้าก็ไม่ต้องไปฟังเพลงฟังละครที่หอคณิกาแล้ว แค่ดูสตรีในเรือนฆ่าฟันกันก็สนุกไม่รู้ลืม แบบนี้สิถึงจะเหมือนครอบครัวใหญ่ ถ้าในบ้านไม่มีเรื่องมีราวเสียบ้าง มันจะถือว่าเป็นตระกูลร่ำรวยได้อย่างไร แต่ก่อนเป็นภูเขาที่ไร้เสือ ลิงอย่างอาสะใภ้จึงกลายเป็นราชาได้”

สายตาของสวี่เอ้อร์หลางตกอยู่บนชามน้ำแกงแล้วถอนหายใจ “น้ำแกงชามนี้คงไม่ได้ทำมาให้พี่รองใช่หรือไม่ เฮ้อ พี่รองช่างไม่มีวาสนาเอาเสียเลย”

สวี่หลิงเยวี่ยรีบแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน

“พี่รองพูดเช่นนี้ออกจะดูเป็นคนนอกเกินไปแล้ว หลิงเยวี่ยรู้ว่าท่านทำงานอย่างหนัก จึงตั้งใจต้มน้ำแกงชามนี้มาให้ท่าน พี่ใหญ่จำเป็นต้องใช้ที่ไหนกันเจ้าคะ”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้า

“วางไว้ตรงนี้เถอะ”

เมื่อมองส่งน้องสาวเดินจากไปพร้อมกับถาดไม้แล้ว สวี่เอ้อร์หลางก็ลูบปลายคางแล้วแค่นเสียงเบา

“ยัยหนูตัวร้าย ข้ารู้แกวเจ้าหรอก ทำไมเรื่องดีๆ ล้วนแต่คิดถึงพี่ใหญ่ก่อนตลอด ใครเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้ากันแน่”

เขาหยิบน้ำแกงขึ้นมาแล้วจิบคำหนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วก่นด่าออกมา

“ยัยตัวร้าย คิดจะว่าข้าร่างกายอ่อนแอรึ?”

อารามรัตนะ

ในห้องสงบมีฟูกวางอยู่สองที่ คนหนึ่งนั่งบนอีกคน ส่วนอีกคนไม่ได้นั่ง

สวี่ชีอันนั่งอยู่บนฟูก เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“หลังจากเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง การฝึกตนของข้าก็หยุดนิ่งไม่คืบหน้าแล้ว การฝึกลมหายใจแทบจะไม่มีประโยชน์ แม้แต่การบำเพ็ญคู่ก็ทำให้พัฒนาไปได้ช้ายิ่ง”

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วราวกับเจ็บเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดออกมา

“หลังจากขั้นหนึ่ง จิต ปราณ วิญญาณก็จะรวมเป็นหนึ่ง หากเจ้าคิดจะเลื่อนขั้นต่อ ก็ต้องเลื่อนขั้นสามอย่างนี้ขึ้นพร้อมกัน แน่นอนว่าการฝึกลมหายใจไม่ให้ผลอะไรแล้ว การฝึกลมหายใจเพียงแค่เพื่อหลอมพลังปราณเท่านั้น”

นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งถึงเกิดจุดคอขวดขึ้นมากระมัง…สวี่ชีอันรู้สึกตึงที่เอวขึ้นมา เขาออกแรงอย่างต่อเนื่องแล้วเอ่ยพูด

“เช่นนั้นหากฝึกลมหายใจ นั่งสมาธิ และฝึกฝนร่างวิญญาณไปพร้อมกัน จะสามารถทำลายคอขวดได้หรือไม่”

จอมยุทธ์ทั่วไปนั้นฝึกฝนพลังปราณและอาศัยการฝึกลมหายใจเป็นตัวขับเคลื่อน แต่หลังจากที่จิตปราณวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง การฝึกลมหายใจก็ไม่มีผลอีกต่อไป หากคิดจะเลื่อนขั้น ก็ต้องเลื่อนขั้นทั้งสามอย่างนี้พร้อมกัน

เมื่อจิต ปราณ วิญญาณรวมเป็นหนึ่ง ก็จะเป็นคุณสมบัติที่พิเศษและแข็งแกร่งที่สุดของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นโซ่ตรวนเช่นกัน

ลั่วอวี้เหิงกัดริมฝีปากแน่น ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ใบหน้ามีริ้วสีแดงปรากฏขึ้น

“มะ ไม่เคยได้ยิน วิธี…วิธีการฝึกฝนแบบนี้” นางเอ่ยพูดต่อ

“หากว่ากันในตอนนี้ วิธีที่ได้ผลที่สุดก็คือการบำเพ็ญคู่กับราชครู”

สวี่ชีอันหรี่ตาลง “ราชครูโปรดช่วยเมตตาด้วย”

“ใครจะบำเพ็ญคู่กับเจ้ากัน ข้าพูดไปนานแล้วว่าหลังจากเลื่อนขั้นสู่เทพเซียนเดินดิน เจ้ากับข้าก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”

ลั่วอวี้เหิงแค่นเสียงเบา

“ใช่ๆๆ ข้าคิดเพ้อฝันไปเอง ขอเพียงได้มาฟังราชครูบรรยายทางเต๋าสักหนึ่งชั่วยามทุกวันเท่านั้น ขอราชครูอย่าได้ปฏิเสธเลย”

สวี่ชีอันคล้อยตามไปด้วย

ลั่วอวี้เหิงตอบรับ ‘อืม’ ด้วยท่าทีสงวนตัว

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็หยุดเคลื่อนไหวแล้วหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากในอกเสื้อเพื่ออ่านข้อความ

หมายเลขห้า ‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามาที่ซินเจียงตอนใต้สักหนได้หรือไม่’

หมายเลขสี่ ‘ลี่น่า อย่าเพิ่งรีบร้อน งานสมรสของหนิงเยี่ยนกับหลินอันยังเหลือเวลาอีกพักหนึ่ง เมื่อถึงวันงานจะลืมไม่ลืมเจ้าแน่นอน’

ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความหยอกเย้า

ลั่วอวี้เหิงที่ผินหน้ามาอ่านข้อความมีสีหน้ามืดครึ้มลงทันที

กาไหนน้ำไม่เดือด ก็หยิบกานั้น[2]จริงๆ! สวี่ชีอันก่นด่า จากนั้นเขาก็เห็นลี่น่าส่งข้อความมา

‘เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หลิงอินฝันเห็นเทพเจ้ากู่’

ฝันเห็นเทพเจ้ากู่…สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

…………………………………………………

[1] ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง (大门不出二门不迈) หมายถึง ไม่เคยออกนอกบ้านไปติดต่อกับภายนอก

[2] กาไหนน้ำไม่เดือด ก็หยิบกานั้น (哪壶不开,提哪壶) หมายถึง พูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง