ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 800

สรุปบท บทที่ 800 ไปซินเจียงตอนใต้: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 800 ไปซินเจียงตอนใต้ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 800 ไปซินเจียงตอนใต้ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 800 ไปซินเจียงตอนใต้

เห็นข้อความของลี่น่าแล้ว ในใจของสวี่ชีอันเกิดความรู้สึกมากมาย ทั้งงุนงง ระแวดระวัง และประหลาดใจเป็นต้น

ความรู้สึกระแวดระวังนั้นจะต้องมีอย่างแน่นอน น้องสาวของตัวเองถูกเทพกู่ ‘จับตามองอยู่’ เป็นใครก็ต้องเกิดความระแวดระวัง

ที่รู้สึกงุนงงและประหลาดใจก็เพราะ…เทพกู่นั้นว่างมากไม่มีอะไรทำหรือ จับตามองหลิงอินเพราะเหตุใดกัน?

ลั่วอวี้เหิงคายขาทั้งสองข้างที่เกี่ยวเอวเขาไว้ออก เปลี่ยนเป็นคุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้น ประคองร่างกายไว้ พูดเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง

“เทพกู่มีความสามารถในการสอดส่องอนาคต”

สวี่ชีอันเข้าใจความหมายของนาง สวี่หลิงอินไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของเทพกู่ แต่เป็นเขา!

ภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา เทพกู่ในฐานะที่เป็นระดับสุดยอด และมีความสามารถในการสอดส่องอนาคตบางช่วง บางทีเขาอาจจะเห็นสวี่ชีอันในบางช่วงของอนาคต

เวลานี้สวี่ชีอันไม่ใช่ทหารธรรมดาๆ แล้ว แต่เป็นทหารขั้นหนึ่งอย่างแท้จริง ถึงขนาดสามารถเป็นตัวแทนของที่ราบลุ่มภาคกลางทั้งหมดได้

ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในอนาคตจะต้องมีเขาอยู่อย่างแน่นอน เทพกู่เห็นเขา ‘ล่วงหน้า’ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

สวี่ชีอันปล่อยมือซ้ายที่ยกสะโพกของลั่วอวี้เหิงอยู่ออก ใช้นิ้วมือแทนพู่กัน ส่งข้อความว่า

‘ลี่น่า เจ้าให้หัวหน้าหลงถูไปดูที่เหวลึกจี๋เยวียน ว่ารอยร้าวที่หว่างคิ้วของรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ขยายออกแล้วใช่หรือไม่’

เทพกู่สามารถแสดงพลังออกมา และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตภายนอก นั่นย่อมเป็นเพราะการปิดผนึกเกิดการคลายตัว

หมายเลขห้า ‘ท่านพ่อเคยไปดูแล้ว รอยร้าวของรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อขยายใหญ่ขึ้นจริงๆ ท่านพ่อบอกว่าขยายมาถึงหน้าอกแล้ว’

ลี่น่าได้เล่าเรื่องความผิดปกติของสวี่หลิงอินให้หลงถูผู้เป็นพ่อฟัง หลังจากหลงถูและบรรดาหัวหน้าเผ่าได้ประชุมหารือกันแล้ว ก็ได้ไปตรวจดูสถานการณ์ที่เหวลึกจี๋เยวียนพร้อมกัน จึงได้พบว่าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คลายตัวมากขึ้นกว่าเดิม

หมายเลขสาม ‘หัวหน้าหลงถูคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?’

หมายเลขห้า ‘ท่านพ่อโกรธมาก และบอกว่าเทพกู่ต้องการที่จะแย่งร่างธรรมตรัสรู้กับเขา’

พรรคฟ้าดินทุกคนที่ได้เห็นข้อความนี้ ล้วนเกิดเครื่องหมายคำถามแวบเข้ามาในสมอง

จักรพรรดิฮว๋ายชิ่งทนไม่ไหว ส่งข้อความถามประโยคหนึ่ง

หมายเลขห้า ‘หลิงอินพูดว่าเทพกู่สอนให้นางฝึกบำเพ็ญในความฝัน ท่านพ่อได้ตรวจร่างกายของนางอย่างละเอียดแล้ว และไม่พบความผิดปกติที่เกิดจากการถูกเทพกู่กัดกร่อน’

ลี่น่าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเจื้อยแจ้ว ว่าเมื่อไม่นานมานี้สวี่หลิงอินฝันเห็นหนอนตัวใหญ่ตัวหนึ่ง หนอนตัวใหญ่สอนนางต่อสู้ทุกวัน แต่กลับพูดคุยกันน้อยมาก มีการพูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้งและเป็นการบอกให้รู้ถึงฐานะของ ‘เทพกู่’ เท่านั้น

หมายเลขห้า ‘แต่ที่แปลกก็คือ ไม่เพียงร่างกายของหลิงอินไม่มีปัญหา แต่ตบะก็ไม่มีความคืบหน้า บรรดาผู้อาวุโสต่างสงสัยว่าหลิงอินแค่ฝันไปหรือเปล่า’

หมายเลขแปด ‘ไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้น’

อาซูหลัวพูดสอดขึ้นมา ส่งข้อความว่า

‘ทางที่ดีที่สุดคือไปดูที่ซินเจียงตอนใต้ วิธีการระดับสุดยอดไม่ควรมองเป็นเรื่องปกติ การไม่มีความผิดปกตินั้นเป็นความผิดปกติที่ใหญ่หลวงที่สุด อีกอย่าง หลิงอินคือใคร?’

หมายเลขห้า ‘หลิงอินเป็นลูกศิษย์ของข้า และเป็นน้องสาวของสวี่หนิงเยี่ยนด้วย’

หมายเลขแปด ‘สามารถทำให้เทพกู่ถูกชะตาได้ ท่าทางนางคงจะเป็นคนเก่งที่มีพรสวรรค์เหนือคนธรรมดาทั่วไป’

‘ไม่ใช่ นั่นเป็นเด็กที่โง่จนน่าโมโหคนหนึ่ง…’ ฉู่หยวนเจิ่นตำหนิอยู่ในใจ

‘ในแง่หนึ่ง หลิงอินก็มีพรสวรรค์พิเศษจริงๆ…’ ฮว๋ายชิ่งลงความเห็นอย่างตรงประเด็น

‘ไม่ค่อยฉลาด แต่ดวงแข็ง นับว่าเป็นคนที่หายากเท่าที่ข้าเคยพบมา…’ สิ่งที่นักบวชเต๋าจินเหลียนนึกถึงเป็นสิ่งแรกก็คือดวงชะตาของหลิงอิน

แล้วก็นึกถึงจงหลีศิษย์คนที่ห้าของท่านโหราจารย์ขึ้นมาทันที

โชคร้ายของจงหลีจะมีผลกระทบต่อคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือศัตรู

แต่คนสองประเภทที่สามารถรอดจากโชคร้ายที่นางนำมา ประเภทแรกคือคนที่มีดวงชะตาติดตัวเช่นสวี่ชีอัน อีกประเภทหนึ่งก็คือคนดวงแข็งเช่นสวี่หลิงอิน

สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงคุยกันอีกหลายประโยค สวี่ชีอันส่งข้อความว่า

หมายเลขห้า ‘แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัว ทุกๆ สามวันบรรดาผู้นำจะไปที่เหวลึกจี๋เยวียนเพื่อจัดการหนอนกู่และอสูรกู่ที่แข็งแกร่ง

‘แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่สามารถดึงหนอนกู่และอสูรกู่ออกมาได้ทั้งหมด เหวลึกจี๋เยวียนใหญ่ขนาดนั้น ย่อมต้องมีที่หลุดรอดออกไปได้ แม่ย่าพูดว่า ภายในเวลาครึ่งปี มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะมีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์ปรากฏขึ้น’

และทุกครั้งที่หนอนกู่และอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์เกิดขึ้น ก็จะต้องมีผู้นำตาย ทุกคนในเผ่าพันธุ์กู่ต่างพากันวิตกกังวล’

เจ็ดยอดกู่ของข้าเกือบจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับเหนือมนุษย์แล้ว ไปซินเจียงตอนใต้คราวนี้ จะไปถอนขนเทพกู่สักกำหนึ่ง…สวี่ชีอันส่งข้อความว่า

‘วันนี้ข้าจะไปซินเจียงตอนใต้’

เก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันก็มองไปที่ใบหน้างามที่อยู่ใกล้ๆ ยิ้มแล้วพูดว่า

“ไปซินเจียงตอนใต้ด้วยกันไหม?”

ลั่วอวี้เหิงส่ายหน้า “ข้าได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเซียนครองพิภพแล้ว และศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว ช่วงนี้จะต้องปลีกวิเวกเพื่อรักษาระดับให้มั่นคง”

ขณะที่พูด นางก็ยืนขึ้น

“จุ๊บ…”

พร้อมกับเสียงนั้น ลั่วอวี้เหิง ก็กัดริมฝีปาก หายใจแรง

เข้าใจแล้ว ในช่วงเวลาที่เจ้าปลีกวิเวก ข้าจะต้องมาบำเพ็ญคู่กับเจ้าที่อารามทุกวัน…เวลานี้สวี่ชีอันรู้ใจสาวใหญ่เป็นอย่างดี

เพราะไม่ว่าจะเป็นเทพดอกไม้หรือท่านน้าล้วนเป็นแบบนี้

มีความชำนาญยิ่ง

สำหรับลั่วอวี้เหิงแล้วการบำเพ็ญคู่ยังเป็นหนทางในการรักษาระดับให้มั่นคง และพัฒนาพลังเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าประสิทธิผลย่อมไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะพวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นติดเพดานแล้ว แต่ย่อมดีกว่าฝึกลมหายใจเพียงคนเดียว

สวี่ชีอันไม่ได้รีบเร่งไปซินเจียงตอนใต้ทันที แต่ได้ไปที่พระราชวังก่อน ที่หอสังเกตการณ์บนชั้นสองของ ‘หออิ๋งชุน’ เขาได้พบกับฮว๋ายชิ่งที่ทรงสวมชุดชาววังสีขาวอยู่ข้างๆ

พระเกศาเงางามและฉลองพระองค์พริ้วไสวท่ามกลางสายลม ท่าทางยังคงเย็นชาดุจเทพธิดา แต่ที่แตกต่างจากเมื่อก่อนก็คือ ในพระวรกายขององค์หญิงใหญ่พระองค์นี้มีความน่าเกรงขาม ‘ทะนงตนอวดดี’

หลังจากฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ก็ทรงกลับไปใส่ฉลองพระองค์แบบเมื่อก่อนน้อยมาก ความสบายผ่อนคลายนี้มาจากจากไหน?

สวี่ชีอันนั่งลงที่โต๊ะตามสบาย พร้อมกับหยิบพุทราขึ้นมาแทะ แล้วก็ขมวดคิ้วทันที

“พุทรานี่เหตุใดจึงมีรสชาติแปลกๆ รสเหมือน รสเหมือน…”

สำหรับเผ่าพันธุ์กู่แล้ว นับเป็นภัยพิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย และศาสดาพยากรณ์เผ่าพันธุ์เทียนกู่ทุกสมัยล้วนได้ทิ้งคำพยากรณ์ไว้ว่า ‘เมื่อเทพกู่ถือกำเนิดขึ้น จิ่วโจวจะกลายเป็นโลกของกู่’

การปิดผนึกเทพกู่เป็นภารกิจและเป้าหมายที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของเผ่าพันธุ์กู่

ด้านที่สอง พลังของเทพกู่ที่กระจายออกมาจากในเหวลึกจี๋เยวียนนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อนหากปล่อยไปตามอำเภอใจ ประการแรกดินแดนของเหวลึกจี๋เยวียนจะขยายตัว ทำให้อาณาบริเวณปกติโดยรอบถูกเจือปนกลายเป็นดินแดนของ ‘กู่’ ประการที่สอง ปริมาณและความน่าจะเป็นของการเกิดของอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์จะเพิ่มขึ้นตามรากฐานของมัน

อสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์ตนหนึ่ง บางทีอาจจะต้องให้ผู้นำทุกท่านที่อยู่ที่นี่ยอมสละชีวิตเพื่อปราบมันให้ราบคาบ

สองตนก็จะสามารถทำให้ปฐมปราณของเผ่าพันธุ์กู่เสียหายอย่างมาก หากปรากฏขึ้นสามตน เผ่าพันธุ์กู่ก็จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการทำลายให้พินาศ

ในระยะเวลาที่ยาวนานในอดีต ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน

“แม่ย่า นี่ก็คือภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ท่านพูดถึงหรือ?”

หลวนอวี้ผู้ซึ่งมีเสน่ห์ยั่วยวน ปราศจากท่าทางประจบประแจงอย่างสิ้นเชิง คิ้วที่ตัดแต่งอย่างสวยงามขมวดแน่น

“เมื่อเทียบกันแล้ว นี่เป็นเพียงมุมหนึ่งของภัยพิบัติครั้งใหญ่เท่านั้นเอง”

หลังจากแม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดจบ ก็หันไปมองหลงถู

“เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติใช่หรือไม่”

หลงถูตอบว่า

“ไม่มีอะไรผิดปกติ กินได้นอนหลับ ตอนนี้กำลังช่วยทางเผ่าสร้างเขื่อน สามารถแบกหินหนักหมายเลขห้าร้อยชั่งได้แล้ว”

พลังเพียงแค่นี้ ชกทหารขั้นหลอมจิตตายนั้นเป็นเรื่องเล็ก ขั้นหลอมปราณก็ต้องเสียไปครึ่งชีวิต

แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดอีกว่า

“แจ้งฆ้องเงินสวี่แล้วหรือยัง?”

หลงถูพยักหน้า ดึงหัวข้อสนทนากลับมา “จะจัดการอย่างไรกับเหวลึกจี๋เยวียนนี้? การปิดผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์พวกเราจนปัญญา ความแข็งแกร่งของพลังของเทพกู่สูงเกินไปก็ไม่มีหนทางที่จะแก้ไขได้เช่นกัน?”

ได้ยินเช่นนั้น บรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่และผู้อาวุโสต่างพากันเงียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

ฉุนเยียนปรมาจารย์ซินกู่ผู้ฉลาดและใจเย็นพูดว่า

“หากประชากรของเผ่าพันธุ์กู่ขยายสิบเท่า จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”

วิธีการจัดการก็ง่ายมาก แค่ดูดซับพลังของเทพกู่โดยตรงก็พอแล้ว

แต่บรรดาปรมาจารย์กู่ต่างมีขีดจำกัด ไม่สามารถดูดซับโดยไม่หยุดพักได้ พลังของเทพกู่จำเป็นต้องอาศัยการ ‘กลั่นกรอง’ ของกู่เจ้าชะตาในร่างกาย หลังจากนั้นร่างกายมนุษย์จึงจะสามารถดูดซับได้ การทำเช่นนี้สามารถหลีกเลี่ยงการผิดรูปและความบ้าคลั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนอนกู่และอสูรกู่กลับไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

พวกมันสามารถดูดซับพลังของเทพกู่ได้โดยตรง ราคาที่ต้องจ่ายก็คือการตกเป็นทาสของพลังของเทพกู่ และสูญเสียสติปัญญา แน่นอนว่า บรรดาหนอนกู่และอสูรกู่ก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เช่นกัน

“หรือแต่ละเผ่าพันธุ์ อาจจะมีระดับเหนือมนุษย์เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง” ฉุนเยียนพูดเสริม

นั่นก็คือระดับเหนือมนุษย์ทั้งเจ็ด…ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ และบรรดาผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย

…………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง