ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 802

สรุปบท บทที่ 802 บทสนทนากับเทพกู่: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 802 บทสนทนากับเทพกู่ – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 802 บทสนทนากับเทพกู่ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 802 บทสนทนากับเทพกู่

“ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไป!”

เหนือความคาดหมาย แม่ย่าเทียนกู่แสดงท่าทีคัดค้าน

สวี่ชีอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟังแม่ย่าเทียนกู่อธิบาย

“เจ็ดยอดกู่ในร่างเจ้าคือความพยายามของเทพกู่ที่จะหลุดพ้นจากผนึกในยามนั้น แม้จิตใจของมันถูกทำลายไปนานแล้ว แต่วิธีของเทพกู่นั้นไม่อาจมองข้ามได้ ระดับเหนือมนุษย์เป็นขีดจำกัด ก่อนหน้านั้น เจ็ดยอดกู่คงไม่มีความผิดปกติ

“แต่เมื่อเจ้าเลื่อนเจ็ดยอดกู่สู่ระดับเหนือมนุษย์ ข้ากลัวว่าปัญหาทั้งหมดจะระเบิดออกในครั้งเดียว”

สวี่ชีอันลูบคาง วิเคราะห์ว่า

“ความเป็นไปได้สูงสุดคือหลังจากที่เจ็ดยอดกู่เข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ เทพกู่เห็นข้าเป็นภาชนะ ให้จิตสำนึกเข้ามาผ่านเจ็ดยอดกู่โดยตรง แต่ข้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว จุดเด่นที่แก่นแท้ พลัง และจิตวิญญาณทั้งสามรวมเป็นหนึ่งของจอมยุทธ์ ทำให้ข้ามองข้ามการถูกเข้าสิงที่มีอยู่ใดก็ตาม รวมทั้งระดับเหนือมนุษย์

“นอกจากนี้ ข้ามีเซียนครองพิภพช่วยเหลือ การกำจัดจิตใจของเทพกู่คงไม่ยากกระมัง?”

แม่ย่าเทียนกู่พยักหน้าเบาๆ

“มีเซียนครองพิภพช่วยเหลือ ไม่ต้องกลัวจิตใจของเทพกู่จริงๆ…จะเสี่ยงอันตรายนี้ให้ได้?”

สวี่ชีอันพูดอย่างจนปัญญา

“ด้วยตบะในยามนี้ของข้า ในเขตต้าฟ่งมีพลังแห่งเวไนยสัตว์คุ้มครอง ในหมู่ยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่มีอยู่ในจิ่วโจว ไม่มีคนเทียบเทียมข้าได้ แต่เมื่อออกจากที่ราบลุ่มภาคกลาง มากที่สุดข้าได้เปรียบเล็กน้อย ถึงขนาดไม่ได้เปรียบ

“ภัยพิบัติใกล้เข้ามา ข้าต้องหาทางเพิ่มพลังต่อสู้ เสี่ยงอันตรายเล็กน้อยเพื่อสิ่งนี้ นับว่าคุ้มค่าโดยสิ้นเชิง”

หลังจากต่อสู้กับซ่าหลุนอากู่ สวี่ชีอันตระหนักได้ว่าในเขตและนอกเขตที่ราบลุ่มภาคกลาง พลังต่อสู้ของตนมีสองระดับ

เขาที่มีพลังแห่งเวไนยสัตว์คุ้มครอง ถึงขนาดมั่นใจที่จะต่อสู้กับเสินซูร่างสมบูรณ์ แต่เมื่อออกจากที่ราบลุ่มภาคกลาง เขาก็พูดได้เพียงประโยคเดียว

‘ลูกพี่ เบามือหน่อย!’

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำสงครามอยู่ที่ราบลุ่มภาคกลางตลอดไป เช่นนั้นเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป บัดนี้ที่ราบลุ่มภาคกลางต้องบูรณะซ่อมแซม ทนสงครามระดับสูงไม่ไหว ดังนั้นต้องรู้จักเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี

ถ้าต้องทำสงครามนอกที่ราบลุ่มภาคกลางก็ต้องเพิ่มพลังต่อสู้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมีแต่อุปสรรค ยากที่จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทางออกในยามนี้คือเจ็ดยอดกู่

ขอเพียงเจ็ดยอดกู่เลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้ เขาก็มีทั้งความป่าเถื่อนของจอมยุทธ์และความผันผวนของไสยศาสตร์กู่ ไม่ว่าเป็นชายแกร่งสู้สุดตัวหรือชายร้อยเล่ห์เพทุบาย ก็ไม่กลัวผู้ใดทั้งนั้น

“ด้วยระดับในยามนี้ของเจ้า เจ็ดยอดกู่ส่งผลกระทบไม่มากแล้ว คุ้มที่จะเสี่ยงจริงๆ พลังต่อสู้ของเจ้าจะก้าวไปอีกขั้น”

แม่ย่าเทียนกู่พยักหน้า ไม่โน้มน้าวอีก

สวี่ชีอันพูดต่อ

“ข้าก็อยากถือโอกาสพูดคุยกับเทพกู่ ดูว่าจะสืบข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติจากทางเขานั้นได้หรือไม่”

แม่ย่าเทียนกู่เตือนว่า

“คบค้าสมาคมกับระดับเหนือมนุษย์ ความรอบคอบต้องมาก่อนเสมอ”

สวี่ชีอันร้อง “อืม” พูดว่า

“หลิงอินก็ฝากให้ท่านดูแลแล้ว ยามนี้ข้าจะไปจี๋เยวียน”

เขาไม่อยากเสียเวลา เลื่อนขั้นตนเองโดยเร็วที่สุด

สวี่หลิงอินมองแม่ย่าเทียนกู่ทันที ลูบท้อง พูดเสียงหวาน

“แม่ย่า ข้าหิวแล้ว”

เพื่อปากท้อง นางรู้จักแม้แต่ออดอ้อน

แม่ย่าเทียนกู่มีสีหน้าเมตตา กวักมือครั้งเดียว เรียกตะกร้าดักแด้ทอดมาจากห้องครัว สีเหลืองทองอร่าม เคลือบน้ำมันแวววาว

“กินเถอะ!” แม่ย่ายิ้มแย้มเมตตา

สวี่หลิงอินกลืนน้ำลาย ยื่นมืออวบอ้วนน้อยออกมาอย่างรอไม่ไหว กำดักแด้ทอดเข้าปาก

อย่าให้น้องสาวข้ากินของแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นกุลสตรีตระกูลผู้ดีเมืองหลวงในอนาคต…สวี่ชีอันขยับริมฝีปาก สุดท้ายยังเลือกนิ่งเงียบ

แม่ย่าเทียนกู่ยิ้มพูด

“นี่เป็นของดี กินแล้วเพิ่มพลังเพิ่มกล้ามเนื้อ ไม่ด้อยกว่าเนื้อสัตว์”

ข้ารู้ โปรตีนมากกว่าเนื้อวัวสิบเท่า ซ้ำยังไม่ต้องไปเสี่ยง…สวี่ชีอันแขวะเงียบๆ ทะยานสู่ท้องฟ้า กระโจนออกจากช่องแสงบนหลังคา หายลับไปกับขอบฟ้า

นิกายสวรรค์

เมฆมงคลปกคลุม นกกระเรียนและวานรขับขาน ทิวทัศน์แห่งเซียน

ลานเล็กที่เงียบสงบสง่างาม ในห้องสงบจิต อบอวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์

หลี่เมี่ยวเจินสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสีฟ้าอ่อน รวบผมด้วยปิ่นเต๋า นั่งขัดสมาธิบนเบาะสาน สงบจิตฝึกลมหายใจ

นางหน้าตางดงามเพริศแพร้ว คิ้วเข้มเล็กน้อย แลดูองอาจผึ่งผาย แต่ยามนี้ นางแต่งกลางคิ้วแหลมคมให้ราบเรียบ กลายเป็นคิ้วใบหลิวโค้งเรียว

เมื่อนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าว่างเปล่า มีท่าทางเยือกเย็นที่ไม่ลุ่มหลงในโลกียวิสัยหลายส่วน

ยิ่งคู่กับลายปราณสีม่วงตรงหว่างคิ้ว ยิ่งมีท่าทางของเทพธิดา

‘แอ๊ด…’

ประตูห้องสงบจิตเปิดออก นักบวชหญิงก้าวข้ามธรณีประตู ทำความเคารพข้างโต๊ะ พูดเสียงเบา

“เทพธิดา ท่านอาจารย์เชิญท่านไปเยือน”

หลี่เมี่ยวเจินลืมตา สายตาเรียบเฉย ถึงขนาดเฉื่อยเนือยอยู่บ้าง

“รู้แล้ว!”

เสียงก็เย็นชาอย่างยิ่ง

นางลุกขึ้นอย่างไร้อารมณ์ ในมือมีแส้จามรีเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่ยามใด พาดไว้ตรงข้อพับ ก้าวออกจากห้องสงบจิตช้าๆ

แต่ละก้าวคล้ายผ่านการวัด ไม่มากกว่าแม้แต่หุนเดียว ไม่น้อยแม้แต่นิ้วเดียว ราวกับเป็นกฎเกณฑ์

นักบวชหญิงมองเงาด้านหลังของหลี่เมี่ยวเจิน ลอบถอนใจ หลังจากผ่านประสบการณ์โลกมนุษย์กลับมา เทพธิดาถอดรกเปลี่ยนกระดูก เข้าสู่ช่วงแรกของการตัดอารมณ์ความรู้สึก

อีกไม่นาน นิกายสวรรค์จะมีขั้นสามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

หลี่เมี่ยวเจินก้าวออกจากห้องสงบจิต เดินออกจากลานเล็ก เลียบตามทางเดินน้อยที่ปูหินเขียว จนกระทั่งถึงตำหนักเทพธิดาปิงอี๋

นอกตำหนัก นักบวชสามท่านรออยู่นานแล้ว แบ่งเป็นท่านอาจารย์เทพธิดาปิงอี๋ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง และเทพบุตรหลี่หลิงซู่

หลี่เมี่ยวเจินเดินเข้าไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า ทำความเคารพแบบเต๋าอย่างถูกต้อง พูดว่า

“คำนับท่านอาจารย์ ศิษย์ลุงเสวียนเฉิง ศิษย์พี่เทพบุตร”

เสียงของนางไม่มีน้ำเสียงขึ้นลง ไร้ซึ่งอารมณ์

ใบหน้าหล่อเหลาของหลี่หลิงซู่ไร้อารมณ์เช่นกัน สายตามืดมิดดุจบ่อน้ำลึก ทำความเคารพตอบ พูดว่า

“คำนับศิษย์น้องหญิง”

เสียงไร้อารมณ์เช่นกัน

อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองกลุ่ม ท่าทางการแสดงออกเหมือนกันทุกประการ

เผ่าลี่กู่

หลงถูที่กำลังเตรียมพิธีพรุ่งนี้รู้สึกถึงบางอย่าง มองไปทางจี๋เยวียน

จากนั้นผู้อาวุโสทั้งหกก็ทยอยสังเกตเห็นว่าพลังแห่งเทพกู่เกิดความผิดปกติ ซึ่งใหญ่โตถึงขนาดทำให้ขั้นสี่เช่นพวกเขานี้รับรู้ได้อย่างง่ายดาย

ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจจนหน้าถอดสี ฝ่ามือกุมไม้เท้าแน่น พูดอย่างตกตะลึง

“พลังแห่งเทพกู่ในจี๋เยวียนกำลังหายไป นี่ นี่หรือว่ามีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์เกิดขึ้น?!”

ผู้อาวุโสรองพูดเสียงสั่นเทา

“แม่ย่าบอกว่า อย่างน้อยครึ่งปีถึงจะเกิดอสูรกู่เหนือมนุษย์ไม่ใช่หรือ เร็ว รีบเรียกชาวเผ่ากลับมา เตรียมขึ้นเหนือหลบภัย”

หลงถูไม่พูดไร้สาระแม้แต่น้อย ท่ามกลางเสียงดังของพื้นถล่มใต้ฝ่าเท้า เหาะไปจี๋เยวียนราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า

ในขณะเดียวกัน อั้นกู่ ซินกู่ ฉิงกู่ ซือกู่ และตู๋กู่ พวกหัวหน้าเผ่าต่างๆ ทยอยเหาะขึ้นฟ้า รีบไปจี๋เยวียนก่อน

ส่วนชาวเผ่าก็รีบเคลื่อนไหว เรียกรวมพลและรวบรวมเสบียง เตรียมถอยทัพอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เมื่ออสูรกู่เหนือมนุษย์ถือกำเนิด ย่อมต้องสร้างความหายนะ ผู้ใดก็ไม่อาจรับรองว่าสนามรบจะเคลื่อนไปถึงถิ่นอาศัยของแต่ละชนเผ่าหรือไม่

ชาวเผ่าธรรมดาถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเหนือมนุษย์ เมื่อตายก็ตายเป็นเบือ

บ้างก็นึกถึงสตรี…ซ้ำยังอยากมีอะไรกัน…อยากกลั่นศพ…อยากกินสารหนู…อยากต่อสู้…อยากหาหลุมซ่อนตัว…สวี่ชีอันหลับตาฝึกลมหายใจ ความคิดต่างๆ แวบผ่านในหัว

วินาทีถัดไปที่ความคิดพวกนี้ปรากฏขึ้น ก็ถูกเขายับยั้งทั้งหมด

ความคิดยิ่งแรงกล้า หมายความว่าการเลื่อนขั้นเจ็ดยอดกู่ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จ

ยามนี้ เจ็ดยอดกู่ขยายใหญ่ขึ้น ครอบคลุมกระดูกสันหลังครึ่งหนึ่งของสวี่ชีอัน แขนขาทั้งเจ็ดปล้องของมันก็เหมือนกระดูกซี่โครงเจ็ดซี่

การเติบโตของเจ็ดยอดกู่มาพร้อมกับความเจ็บปวดจากการฉีกเนื้อ แต่ไม่เป็นไรสำหรับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

สวี่ชีอันให้ความสนใจกับความเจ็บปวดข้างหลัง ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ความเจ็บปวดหายไปแล้ว

เจ็ดยอดกู่หยุดเติบโต เลื่อนขั้นเสร็จสมบูรณ์

ความสามารถต่างๆ ของเจ็ดยอดกู่ระดับเหนือมนุษย์ ป้อนกลับสู่สมองของสวี่ชีอันในชั่วพริบตา

แต่ขณะที่เขาสำรวจทักษะหลังเลื่อนขั้น เดิมควรไม่มีจิตสำนึก มีเพียงเจ็ดยอดกู่โดยสัญชาตญาณ จู่ๆ ก็เกิดจิตใจอันน่ากลัวดุร้าย

จิตใจนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้รู้สึกราวกับเผชิญเหวลึก เผชิญพลังอันน่าเกรงขาม

“เจ้ามาจริงด้วย เทพกู่!”

สวี่ชีอันมุมปากกระตุก เผยยิ้มออกมา

จิตใจนั้นไม่สนใจเขา โจมตีสายธารแห่งปัญญาราวกับคลื่นคลั่ง คิดจะเข้าสิง ยึดครองกายเนื้อจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งนี้

แต่ไม่ว่าคลื่นคลั่งดุร้ายเพียงใด เซาะกร่อนสายธารแห่งปัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่อาจคงไว้ซึ่งลมหายใจ เปลี่ยนแปลงสายธารแห่งปัญญา

การถูกเข้าสิงธรรมดา เพียงต้องกลืนกินจิตเดิมในสายธารแห่งปัญญา แต่จิตเดิมของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่ได้อยู่ในสายธารแห่งปัญญา แต่อยู่ในเลือดเนื้อและพลังปราณ แน่นอนว่าเซาะกร่อนสายธารแห่งปัญญาเพียงอย่างเดียวไม่อาจเข้าสิงได้

เช่นเดียวกับเสินซูถูกแยกร่าง จิตเดิมก็ถูกแยกออกจากกันด้วย แฝงไว้ในแขนขา

หลังจากลองแล้วล้มเหลว จิตใจอันดุร้ายหยุดกัดกร่อน จากนั้น เสียงอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามดังก้องในหัวของสวี่ชีอัน

“เจ้าคือผู้ใด ข้าสืบเสาะอนาคตไม่เคยเห็นเจ้า!”

…………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง