ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 805

บทที่ 805 ไม่เต็มใจ

เผ่าลี่กู่

ในคฤหาสน์สามทางเข้าของหัวหน้าหลงถู สวี่ชีอันเหลือบมองรูปแบบการตกแต่งห้องโถงด้านใน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเลียนแบบมาจากที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ยังไม่อาจกำจัดความหยาบกระด้างและความเรียบง่ายของชายแดนตอนใต้ออกไปได้ ดังนั้นภาพที่เห็นจึงยากจะบรรยาย

“พลังของเทพเจ้ากู่ในเหวลึกจะยังไม่คุกคามเจ้าในตอนนี้ แต่ถ้าในอนาคตเกิดวิกฤตที่คล้ายคลึงกันขึ้น โปรดแจ้งให้เรารู้ล่วงหน้า”

สวี่ชีอันนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ หยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วจิบชาพิเศษจากชายแดนตอนใต้

หลงถู ฉุนเยียนและหัวหน้าคนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้นและให้ความเคารพ

ฉุนเยียนยิ้มแย้มพูดจา

“ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ให้ความช่วยเหลือ ชาวเผ่าพันธุ์กู่ซาบซึ้งในความเมตตาของเจ้า ขอให้มิตรภาพระหว่างต้าฟ่งกับชายแดนตอนใต้ยั่งยืนตลอดไป”

หลวนอวี้นั่งขัดสมาธิ ดวงตาเป็นประกาย หน้าตาสดใส พูดจาเย้ายวน

“ฆ้องเงินสวี่ไม่ได้บอกให้หลุนเจียรู้ว่าเขามาถึงชายแดนตอนใต้แล้ว ทำให้เราคิดว่ามีอสูรกู่เหนือมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น ทำให้หลุนเจียหวาดกลัวแทบตาย!”

ขณะที่พูด นางก็เอามือเล็กๆ นุ่มนิ่มขาวผ่องของนางทาบหน้าอกตัวเอง

เนื่องจากสำเนียงจึงทำให้ ‘เหรินเจีย[1]’ ฟังดูเหมือน ‘หลุนเจีย’ แต่เสียงนั้นนุ่มนวลดึงดูดใจ ทั้งยังไพเราะเพราะพริ้งอ่อนหวาน ฟังดูแล้วคลับคล้ายคลับคลาเสียงนางฟ้า

สวี่ชีอันมิได้สนใจนางทั้งยังพูดจาเคร่งขรึม

“ข้ารู้ว่าชื่อเสียงของต้าฟ่งไม่ดีนัก พวกท่านย่อมไม่เคยไว้วางใจต้าฟ่งมาก่อนและเหตุผลในการจัดตั้งพันธมิตรก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวข้าเอง”

“แต่ฆ้องเงินผู้นี้รับรองได้ว่า ตราบเท่าที่ข้าอยู่ที่นี่ ต้าฟ่งกับเผ่าพันธุ์กู่จะเป็นพันธมิตรกันตลอดไป”

ตัวตนในสายตาต้าฟ่ง จิ่วโจวเป็นแบบอย่างของจารีต มีมารยาท ทรงพลังน่าเกรงขาม

ต้าฟ่งในสายตากองกำลังหลักล้วนเป็นเด็กชายวัยเบญจเพสที่ไม่ซื่อสัตย์ น่ารังเกียจและไร้ยางอาย!

ในเรื่องนี้ ล้วนพูดถึงสำนักพุทธกับเทพพ่อมดมากที่สุด

หลงถูกับคนอื่นๆ ล้วนตื่นเต้นกับคำสัญญาของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่ฉุนเยียนเห็นว่า ฆ้องเงินสวี่มิได้แยแสต่อการขยิบตายั่วยวนของหลวนอวี้ นางจึงแอบประเมินเขาสูงขึ้นเล็กน้อย

ต้องรู้ว่าฆ้องเงินสวี่มีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ ก่อนที่เขาจะร่ำรวย ทุกวันเขาใช้เวลาอยู่ในสำนักสังคีต มีการติดต่อใกล้ชิดกับข้าราชบริพารทั้งหมดและมีสถานะสูงส่งในทุ่งดอกไม้

“เสบียงที่สัญญากับท่านไว้อาจต้องรออีกหนึ่งหรือสองปี ตอนนี้ในที่ราบลุ่มภาคกลางมีแต่ขยะ ไม่มีเงินและอาหารจริงๆ แต่ข้าได้นำเงินบำนาญสำหรับทหารเผ่าพันธุ์กู่ที่เสียชีวิตในสนามรบมาด้วย”

สวี่ชีอันมองไปทางฉุนเยียนและกล่าวคำขอโทษ

“ต้องขออภัย กองทัพอสูรเหินเวหาห้าร้อยนายของเผ่าซินกู่ถูกกวาดล้างหมดสิ้นแล้ว”

แววตาของฉุนเยียนฉายแววเศร้า นางพูดเสียงแผ่วเบา

“ข้าเชื่อว่าพวกเขาตระหนักดีอยู่แล้วว่าจะต้องตายในสนามรบ พวกเขาเป็นนักสู้ที่กล้าหาญที่สุดของเผ่าซินกู่ ทางเผ่าจะดูแลเมียและลูกของพวกเขาเอง”

สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดให้ฟังเบาๆ

“พวกเขายังเป็นวีรบุรุษของต้าฟ่งด้วย ข้าได้หารือกับฝ่าบาทแล้วว่า จะเปิดโรงเรียนขึ้นที่เมืองกวนในยงโจว ลูกหลานเหล่าทหารที่พลีชีพเพื่อต้าฟ่ง สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและการขนส่งจะตกเป็นภาระของเมืองกวน”

“เด็กคนอื่นๆ ของเผ่าพันธุ์กู่ย่อมต้องการอ่านและเขียน ดังนั้นพวกเขาย่อมมาได้ แต่พวกเขาต้องมาเรียนหนังสือ”

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรดาหัวหน้าทั้งหลายโดยไม่มีปิดบัง ขงจื๊อเป็นระบบการศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในจิ่วโจวตอนนี้ รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้โดยไม่จำกัดแค่เพียง ‘ประวัติศาสตร์’ ‘การแพทย์’ ‘กฎหมาย’ ‘มารยาท’ ‘คำนวณตัวเลข’ และ ‘ภูมิศาสตร์’

หลังจากที่ลูกหลานของเผ่าพันธุ์กู่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่สูงขึ้น พวกเขาสามารถเขียนประวัติศาสตร์ให้กับคนเผ่าพันธุ์กู่ บัญญัติกฎหมายและสร้างมารยาทที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ยกตัวอย่างที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้คือ ถ้าลี่น่าอ่านภูมิศาสตร์เป็น นางจะไม่หลงทางเมื่อขึ้นเหนือและจะไม่โดนโกงเงิน

อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อเผ่าพันธุ์กู่ค้าขายกับกองคาราวานจากที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเขามักถูกกองคาราวานที่ไร้ยางอายหลอกลวง เพราะพวกเขาคำนวณตัวเลขไม่เป็น

“สำหรับเผ่าพันธุ์กู่แล้ว บุญคุณครั้งนี้จะคงอยู่ตลอดไป ขอขอบคุณฆ้องเงินสวี่ เผ่าพันธุ์กู่จะจดจำความเมตตาของเจ้าจากรุ่นนี้ไปสู่รุ่นต่อๆ ไป”

หลงถูยืนขึ้นทันทีและพูดเสียงต่ำ

“นั่นคือข้อตกลง! ในนามของทุกคนในเผ่าลี่กู่ ขอขอบคุณฆ้องเงินสวี่”

ดวงตาของเขาเป็นประกาย ราวกับเขาต่อรองราคาได้เงินก้อนโต

อ่า ข้ายังพูดไม่จบเลย เด็กๆ ชาวเผ่าลี่กู่ต้องเอาข้าวมากินเอง…สวี่ชีอันพูดอย่างอับจนหนทาง

“รับจำนวนจำกัดและจะมีการประเมินทุกสามเดือน เด็กที่ไม่ผ่านการประเมินจะต้องถูกส่งตัวกลับถิ่นเดิม”

บนยอดเขาเซียนซาน วังเทพสวรรค์

หลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่ร่อนลงตรงจัตุรัสด้านนอกพระราชวัง หลี่หลิงซู่เหลือบมองวังที่สูงตระหง่านด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อย

หลี่เมี่ยวเจินยังคงนิ่งเงียบ

“จดจำคำอธิบายของอาจารย์ไว้”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเตือน

หลี่หลิงซู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หลี่เมี่ยวเจินเม้มริมฝีปากของนางและพูดเสียงแผ่วเบา

“อาจารย์ ศิษย์ผิดตรงไหน?”

เทพธิดาปิงอี๋จ้องมองหลี่เมี่ยวเจินและพูดเบาๆ

“การอิจฉาริษยาเป็นสิ่งผิด ผิดที่วิตกกังวลเรื่องสาธารณะ ผิดที่เอาทรายมาถูตา”

“อย่าฝ่าฝืนองค์เทพแล้วยอมรับการลงโทษ เจ้าจึงจะรอดพ้นจากบ่วงกรรมครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย มิฉะนั้น ถึงเป็นปรมาจารย์ก็ไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าได้”

หลังจากพูดจบ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋ก็ก้าวเข้าไปในวังเทพสวรรค์

หงส์เพลิงเดินตามหลังศิษย์พี่ของนางไปอย่างเงียบเชียบ

วังเทพสวรรค์นั้นงดงามมาก มองจากภายนอกดูเหมือนพระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับยักษ์โดยเฉพาะ

เสาหนารองรับโดมที่สูงกว่าสิบจั้ง เสาแต่ละต้นมีขนาดสิบคนโอบ หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ เดินไปตามทางเดินกลางห้องโถงใหญ่ เสียงฝีเท้ายังดังก้องอยู่ในโถงพระราชวัง

สุดปลายทางเดินเป็นบัลลังก์สูง องค์เทพผู้มีผมสีขาวและมีเครานั่งขัดสมาธิบนแท่นดอกบัวโดยก้มศีรษะลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่และล้อไฟสี่สีฉายแสง ‘ดิน ลม น้ำ และไฟ’ กำลังหมุนอยู่หลังศีรษะของเขา

สองข้างบัลลังก์มีผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์อยู่ทั้งหมดเก้าคน คนพวกนั้นมีทั้งชายและหญิง มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในตอนนี้ พวกเขามองไปยังหลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่ด้วยสีหน้าเฉยเมย

เปรียบเหมือนการมองดูคนไม่สลักสำคัญ ไม่มีท่าที ‘เกลียดเหล็กแต่ไม่เอาเหล็ก’ และ ‘ยุยงปรมาจารย์ให้มาถามอาชญากร’

แต่หลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่รู้หน้าที่ตัวเองดี เมื่อเทพบุตรและเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาเยี่ยมชมแม่น้ำและทะเลสาบ พวกเขามักได้รับคำเตือนจากผู้อาวุโส

อย่ายึดติดกับเรื่องเวรเรื่องกรรม

ความหมายของประโยคนี้คือ ให้พยายามมองจากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในโลก มองเห็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในโลกโลกิยะ

ใช้เรื่องนี้เพื่อตระหนักให้ลืมเสน่หาขั้นสูงสุดไป

ศิษย์ลัทธิขงจื๊อชอบไปศึกษาต่างถิ่นด้วยเหตุผลเดียวกัน เมื่อท่านเห็นคนมากมาย ท่านย่อมเข้าใจคน

แต่สถานการณ์ของนิกายสวรรค์นั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย พูดตามตรง เส้นทางของหลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่นั้นถูกต้อง มีความรักก่อนแล้วค่อยลืมเสน่หา

เข้าใจด้วยการกระทำย่อมง่ายกว่าจ้องมองแน่นอน

แต่ปัญหาคือมีความเสี่ยงมากเกินไป หลี่หลิงซู่กับหลี่เมี่ยวเจินไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ในอดีต เทพบุตรและเทพธิดาของนิกายสวรรค์มักตกลงสู่โลกโลกิยะและไม่สามารถละทิ้งตัวตนได้

บางคนทรยศปรมาจารย์ แต่งงานมีลูกมีเมีย หรือปรนนิบัติสามีเลี้ยงดูลูก

แม้ไม่เลวร้ายนัก แต่ก็มีส่วนน้อยที่ตกสู่วิถีแห่งมารและกลายเป็นมารฝ่ายอธรรมไป

พูดง่ายๆ คือมีรักก่อนแล้วค่อยลืมเสน่หา แต่มีกี่คนเล่าที่ติดอยู่ในหลุมลึก มีรักแล้วออกไปไหนไม่ได้

การที่นิกายสวรรค์จะฝึกฝนเทพบุตรหรือเทพธิดาขึ้นมาสักคนย่อมมิใช่เรื่องง่าย?

ด้วยเหตุนี้ต่อมาผู้อาวุโสจึงมักตักเตือนเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายไม่ให้เข้าไปพัวพันกับเวรกรรม

สำหรับเทพบุตรและเทพธิดาที่ลงจากภูเขา การกำกับดูแลย่อมเข้มงวดยิ่ง

“คารวะองค์เทพ!”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงและเทพธิดาปิงอี๋ทำความเคารพด้วยน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใด

“ได้พบองค์เทพแล้ว!”

หลี่หลิงซู่และหลี่เมี่ยวเจินเลียนแบบท่าทางปรมาจารย์ของตัวเองและทำความเคารพด้วยท่าทีเฉยเมย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง