ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 815

บทที่ 815 ไม้ตาย

หลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนมาคู่กัน ก็เหมือนกับการเทน้ำลงไปในน้ำมันเดือดๆ หรือไม่ก็การเทน้ำแข็งลงไปในกองไฟที่ลุกโชน

ทุกอย่างเงียบสงัดทันใด บรรยากาศชะงักนิ่ง แต่ความรู้สึกในใจกลับเป็นปั่นป่วนกันแล้ว

ทางฝั่งพรรคฟ้าดิน

‘มาแล้วๆ เทพบุตรกับหยางเชียนฮ่วนวางแผนกันมานาน ไม่ทำให้ข้าผิดหวังโดยแท้ แต่การพัดลมโหมไฟแบบนี้ดีนัก สวี่หนิงเยี่ยนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไม่กลัวเขามาคิดบัญชีย้อนหลังหรืออย่างไร?’ จิตวิญญาณของฉู่หยวนเจิ่นสั่นไหว กล้ามเนื้อที่เอวและหลังตึงเครียด พลันเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ในปีนั้นขึ้นมา

ไม่ใช่ว่าฉู่จ้วงหยวนชอบเรื่องซุบซิบ แต่จริงๆ แล้วสตรีเหล่านั้นล้วนเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์และต่างก็มีสถานะไม่ธรรมดาเลย

การได้เห็นพวกนางวางอุบายต่อสู้กันทั้งอย่างเปิดเผยและแบบลับๆ นั้น น่าตื่นเต้นพอๆ กับได้ชมการต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นหนึ่งทีเดียว

อีกอย่าง สวี่หนิงเยี่ยนเองเป็นพวกเจ้าเล่ห์หลบใน สมาชิกในพรรคฟ้าดินแต่ละคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ผู้เถรตรงและจริงจัง แต่ผลกลับถูกเขาชี้นำทั้งแบบโจ่งแจ้งและแบบลับๆ อยู่ได้ จนทุกคนต่างก็มีเรื่องน่าอายที่สุดจะทานทน

ตอนนี้เมื่อเห็นเขาตกอยู่ในความยุ่งยากว้าวุ่นใจ ฉู่หยวนเจิ่นก็มีความสุขไปด้วย

ไต้ซือเหิงหย่วนขมวดคิ้วและเป็นกังวลกับสถานการณ์ที่ใต้เท้าสวี่เผชิญในตอนนี้

‘ใต้เท้าสวี่ผิดอะไร ใต้เท้าสวี่เป็นแค่ชายหนุ่มกลัดมันเท่านั้น ผู้ที่ผิดคือหยางเชียนฮ่วนและหลี่หลิงซู่ต่างหาก’

เห็นได้ชัดว่าอาซูหลัวไม่เคยพบเจอกับ ‘เรื่องราว’ ที่น่าสนใจเช่นนี้มาก่อน จึงชมดูอย่างกระตือรือร้นพลางคิดว่าบางครั้งการหลบหนีเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ก็มีข้อดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายขนาดนี้

เพื่อคำว่า ‘รูป’ จึงทำให้ตัวเองต้องอับอายขนาดนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ

รูป เพียงส่งผลต่อความเร็วในการออกหมัดของเขาเท่านั้น

นักบวชเต๋าจินเหลียนดื่มสุราจากขวดเหล้าเล็กเสียงดังอึกอัก บนใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ท่าทางพึงพอใจ

เหมียวโหย่วฟางผู้เป็นคนสนิทก้มหน้ากินอาหาร แสร้งทำเป็นว่าตนและโม่ซางมาจากกลุ่มเดียวกัน

‘เวลาแบบนี้ กลัวก็แต่ฆ้องเงินสวี่จะชักดาบออกมาเท่านั้น ใครขวางคนนั้นตาย’

‘สองคนนี้จงใจทำให้หนิงเยี่ยนตกที่นั่งลำบาก…’ จีไป๋ฉิงขมวดคิ้วและมองหลี่หลิงซู่กับหยางเชียนฮ่วนร่วมมือกันรังแกลูกชายตนเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

‘พี่ใหญ่กำลังเจอกรรมตามสนองจนไม่อาจเอ่ยวาจาได้…’ สวี่เอ้อร์หลางและพวกอาจารย์ชนแก้วกันจากระยะไกลภายใต้ความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

ในหมู่ผู้คนในที่นั้น นอกจากอาสะใภ้ น้องๆ อย่างลี่น่า หลิงอิน ไป๋จี และฉู่ไฉ่เวยที่ตอบสนองช้าเพราะเหตุผลพิเศษแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่รอคอยการตอบสนองของสวี่หนิงเยี่ยนและรอดูปฏิกิริยาของผู้หญิงโต๊ะนั้นกันเงียบๆ

ที่น่าเอ่ยถึงก็คือ สวี่หลิงอินนั่งอยู่บนตักของอาสะใภ้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมอยู่ในชามข้าว

โต๊ะของนางมีสุราอาหารไม่จำกัด กินหมดก็เติมเข้ามาตลอด ทำให้ฉู่ไฉ่เวยและลี่น่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคิดจะกินอาหารบนโต๊ะให้ได้พอประมาณแล้วค่อยเหยียบย่างไปที่โต๊ะทางนั้น

‘ปัง!’

เสียงตบโต๊ะดังลั่น มู่หนานจือในชุดคลุมสีขาวพุ่งออกมาแล้วมองหลี่หลิงซู่ด้วยสายตาโมโหแล้วเอ่ยตำหนิว่า

“เจ้ากล้าให้ร้ายว่าราชครูว่าเป็นสตรีที่รู้จักแต่แต่งหน้าแต่งตัวอย่างนั้นหรือ หลี่หลิงซู่ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง “

นอกจากสวี่ชีอันแล้ว คนอื่นล้วนไม่คาดคิดว่าคนที่ออกมาโจมตีคนแรกกลับเป็นหญิงสาวที่ดูธรรมดาๆ คนหนึ่ง

‘ร้ายกาจนัก…’ แขกเหรื่อหลายโต๊ะพากันเหลือบมองมู่หนานจือแล้วพึมพำด้วยความตกตะลึง

ผู้ที่นั่งอยู่นั้น ใครไม่รู้บ้างล่ะว่าราชครูคือคู่บำเพ็ญของสวี่หนิงเยี่ยน สตรีผู้นี้กล่าวเช่นนี้เท่ากับนำท่านราชครูไปย่างบนเตาไฟแท้ๆ

ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นหนึ่งสู่เทพเซียนเดินดิน แต่คู่บำเพ็ญกลับแต่งกับสตรีคนอื่น หากนางไม่แสดงจุดยืนออกมาแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด

หากนางฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องใหญ่และทำลายงานอภิเษก ในหมู่สตรีกว่าครึ่งบนโต๊ะนี้คงจะดีใจตายเลย

แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมีเหล่าพี่สาวน้องสาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในหมู่คนบนโต๊ะนี้ มีเพียงหนานจือเท่านั้นที่กล้ากล่าวหาราชครู…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ

ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองนางอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า

“คนผู้นี้คือ?”

“นี่คือท่านป้ามู่ พี่สาวร่วมสาบานของอาสะใภ้ของข้า” สวี่ชีอันเอ่ยตอบอย่างรวดเร็วทันใดและกำหนดตัวตนเพื่อปกปิดให้กับเทพดอกไม้

“ท่าทางท่านป้ามู่ดูน่าคบหาและเรียบง่ายมากจริงๆ ข้าขอคำนับหนึ่งแก้ว”

‘น่าคบหาและเรียบง่าย’ คำนี้กัดฟันพูดอย่างหนักมาก

มู่หนานจือสูดลมหายใจแล้วเหลือบมองครอบครัวบ้านสกุลสวี่ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา

“ไม่ต้องเกรงใจ เด็กดี”

เทพดอกไม้ผู้ทรงสง่า อดีตพระชายาผู้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี หลังจากชั่งน้ำหนักระหว่างความอับอายและการปลดกำไลข้อมือแล้ว รอบนี้นางจึงเลือกอดทนต่อไป

‘ไม่อาจให้ราชครูโจมตีได้…’ พวกหลี่เมี่ยวเจินต่างพากันผิดหวัง

พวกนางล้วนอยากให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันเอง แต่สองคนนั้นกลับไม่ยอมเป็นปืนเป็นหอกให้เลย

หลังจากดื่มไปสองสามรอบ หลี่เมี่ยวเจินก็กระแอมไอเสียงดังจนดึงดูดความสนใจของทุกคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของฆ้องเงินสวี่ ต้องขอแสดงความยินดีด้วย อีกทั้งเมี่ยวเจินก็ได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้”

ไม่จำเป็นหรอก…สวี่ชีอันรู้สึกระแวดระวังจากสัญชาตญาณ

หลี่เมี่ยวเจินก้มหน้าแล้วปลดถุงหอมที่เอวออกมา จากนั้นเปิดออกเบาๆ ควันสีเขียวลอยออกมาจากในนั้นอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่จะกลายเป็นสตรีงามทรงเสน่ห์ล่มบ้านล่มเมืองผู้มีผมสีดำชุดสีขาวภายใต้สายตาของทุกคน

ความงามของนางล้ำเลิศไม่สามัญ มีเสน่ห์แต่ไม่ได้ยั่วยวน ทั่วทั้งสรรพางค์กายล้วนมีกลิ่นอายทำให้คนมัวเมา ทำให้บุรุษในที่นั้นต่างตื่นตะลึง

“นี่คือพี่สาวของข้า ซูซู นางเติบโตมาด้วยกันกับข้าตั้งแต่เด็กๆ จนใจที่พี่สาวเป็นหญิงงามอาภัพ จึงกลายเป็นวิญญาณโดดเดี่ยว”

เมื่อหลี่เมี่ยวเจินเอ่ยถึงตรงนี้ สวี่หลิงอินที่จมอยู่ในโลกตัวเองก็เงยหน้าขึ้นแล้วเลียปากมันๆ พร้อมมองซูซูด้วยสายตาคาดหวัง

หลังจากอธิบายตัวตนของซูซูคร่าวๆ หลี่เมี่ยวเจินก็เอ่ยพูด

“นางกับฆ้องเงินสวี่ผ่านอุปสรรคความยากลำบากมาด้วยกันและได้ให้คำสาบานชั่วนิรันดร์แก่กันและกัน ดังนั้นฆ้องเงินสวี่ก็ควรรับนางเป็นภรรยา แต่น่าเสียดาย แม้จะผ่านอุปสรรคนานัปการ แต่กลับไม่อาจร่วมแบ่งปันความสุขความมั่งคั่งได้ ฆ้องเงินสวี่ก้าวหน้าอย่างราบรื่น หลังจากขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วก็ไม่เคยมาหานางอีกเลย ซูซูต้องใช้น้ำตาล้างหน้าทุกวัน น่าหดหู่ใจยิ่งนัก เมี่ยวเจินผู้เป็นน้องสาวจะทนไหวได้อย่างไร วันนี้โอกาสดีมีงานมงคลสมรส จึงอยากจะขอถามฆ้องเงินสวี่สักหน่อยว่า ยังจำคำสัญญาเมื่อครานั้นได้อยู่หรือไม่”

ซูซูให้ความร่วมมือโดยแสดงท่าทีร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

“เจ้ามันคนใจร้าย ตอนอยู่ที่อวิ๋นโจวในครานั้นพูดเสียดิบดีว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน…”

‘สมกับที่เป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ตรงไปตรงมายิ่งนัก…’ พวกเว่ยเยวียนและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักอวิ๋นลู่ยกแก้วขึ้นดื่มเงียบๆ

ลื่นคอเสียจริง

หลี่หลิงซู่มองไปยังสวี่ชีอันด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ซูซูก็เป็นพี่สาวของข้าเช่นกัน เจ้า เจ้ากลับลงมือกับพี่สาวของข้าด้วยรึ? แถมยังได้แล้วเขี่ยทิ้งด้วย?”

หยางเชียนฮ่วนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มอบแผ่นหลังให้กับทุกคน จากนั้นตะโกนเสียงดัง

“สวี่หนิงเยี่ยน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้”

ข้าเกือบลืมเจ้าอนุตัวน้อยไปแล้ว! สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ เขารู้ว่าคนพวกนี้จะต้องเล่นลูกไม้แน่ เพราะความเคียดแค้นคับข้องในใจจะต้องถูกระบาย ไม่มีทางทำหน้านิ่งแล้วดื่มอยู่อย่างเดียวหรอก

จะมีเรื่องง่ายๆ เช่นนั้นที่ไหนกัน

สวี่ชีอันไม่เลิ่กลั่กสักนิด ขณะกำลังจะตอบกลับก็ได้ยินสวี่หลิงเยวี่ยทางโต๊ะนั้นเอ่ยพูดขึ้นมาว่า

“ท่านนักบวชเต๋าหลี่กล่าวหนักไปแล้ว คนไม่รู้จะคิดว่าพี่ใหญ่ของข้าจะแต่งแม่นางซูซูเป็นภรรยาเอาได้ คนทั้งโลกล้วนรู้ว่าคำสัญญาของพี่ใหญ่นั้นมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง ในเมื่อรับปากแล้วก็จะต้องทำให้ได้แน่นอน เดี๋ยวรอให้งานอภิเษกจบลง ท่านแม่ ท่านก็เป็นประธานหาเกี้ยวมารับแม่นางซูซูเข้าประตูนะเจ้าคะ แต่งภรรยารับอนุ อย่างไรก็ต้องมีลำดับก่อนหลัง”

หลี่เมี่ยวเจินชะงักไป ฉับพลันก็เกิดภาพลวงขึ้นมาว่า ‘ข้านี่ช่างทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่’ และ ‘ข้ากำลังก่อเรื่องโดยไร้เหตุผลอยู่แท้ๆ’

‘ไม่ นั่นไม่ใช่ภาพลวง แต่เป็นคำพูดเหน็บแนมของสวี่หลิงเยวี่ยที่ดึงดูดให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้…ในวันอภิเษกสมรส อนุอย่างเจ้าจะสร้างเรื่องอะไรนัก? แข็งข้อเช่นนี้ เจ้าอยากเป็นอนุหรือว่านายหญิงล่ะ?’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง