ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 823

สรุปบท บทที่ 823-2 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 823-2 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 823-2 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 823 ตั๊กแตนตำข้าวจับจักจั่นโดยมีนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[1] (1)

คราบนั้นดำสนิทราวกับน้ำหมึก ตามมาด้วยกลิ่นอายที่สุดแสนจะชั่วร้ายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังทำลายล้างทุกสิ่ง

จุดกระดำกระด่างลุกลามอย่างรวดเร็วแล้วไหลลงล่าง ราวกับราดน้ำหมึกสีดำข้นหนืดถังหนึ่งลงบนกระหม่อมของหลี่เมี่ยวเจิน

เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายแสนชั่วร้ายนี้ สมาชิกพรรคฟ้าดินที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแสดงความเครียดออกมาบ้างไม่มากก็น้อย และนึกถึงนักบวชเต๋าเฮยเหลียนเป็นอันดับแรก

‘น้ำหมึกดำ’เหนียวข้นไหลลงมาปกคลุมทรวงอก หน้าท้อง และสองขาของหลี่เมี่ยวเจิน เพียงไม่นานก็เหลือเพียงแสงสีทองด้านล่างสุดเท่านั้นที่ฝืนประคับประคองไว้

ซุนเสวียนจีและหยางเชียนฮ่วนก้าวขึ้นมาพร้อมกัน ค่ายกลวงกลมทั้งสองก่อตัวเป็นค่ายกลปิดผนึก เพื่อปิดผนึกแท่นแปดทิศไว้

นี่มิเพียงเป็นการป้องกันไม่ให้หลี่เมี่ยวเจินหลบหนีหลังตกสู่ทางมาร แต่เพื่อประโยชน์ของเหล่าศิษย์น้องในหอด้วย

หากผู้บำเพ็ญธรรมดาถูกแปดเปื้อนด้วยกลิ่นอายต่ำทราม คงสติวิปลาสอยู่ตรงนั้น ความคิดชั่วร้ายในธรรมชาติของมนุษย์ขยายกว้างไร้ขีดจำกัด ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย

เวรกรรมนี้ล้ำลึกพอแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ ก่อนหันไปเหลือบมองนักบวชเต๋าจินเหลียน เห็นนักบวชเต๋าจวี๋เมาสีหน้านิ่งขรึมหากมิได้ลงมือ จึงได้แต่อดทนไว้ก่อน

นักบวชเต๋าจินเหลียนกระซิบว่า

“นางทำความดีอย่างจงใจเกินไป เวรกรรมที่พัวพันอยู่รอบตัวนั้นเกินเหตุกว่าที่ข้าคิดไว้นัก”

“วิธีการบำเพ็ญของลัทธิเต๋าทั้งสามนิกายล้วนแปลกประหลาด ตายเร็วเหลือเกิน” หยางเชียนฮ่วนส่ายหน้า ความภาคภูมิใจในฐานะโหรถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียง

“ดังนั้นข้าจึงเรียนแต่วิชากระบี่นิกายมนุษย์ ไม่บำเพ็ญพลังภายในของนิกายมนุษย์” ฉู่หยวนเจิ่นต่อบท

‘ฮึ โหรเช่นพวกเจ้าจะดีไปได้ถึงไหนกันเชียว ลืมคำสาปของปรมาจารย์สังหารไปแล้วรึ’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ

ทว่าเขาไม่ได้พูดออกมา เนื่องจากหยางเชียนฮ่วนเป็น ‘พันธมิตร’ ของเขา มิอาจรื้อถอนเวทีพันธมิตรได้

เวลานี้เอง ดวงตาสีฟ้าครามของผู้พิทักษ์หยวนซึ่งเฝ้ามองเทพบุตรจากระยะไกล ก็เริ่มอ่านใจอย่างควบคุมไม่ได้

“ใจของท่านบอกข้าว่า ฮึ โหรเช่นพวกเจ้าจะดีไปได้ถึงไหนกันเชียว ลืมคำสาปของปรมาจารย์สังหารไปแล้วรึ”

ภาพฉากตรงหน้าเงียบลงกะทันหัน หลี่หลิงซู่สีหน้าเต็มไปด้วยความกระดากอายและหัวเราะแห้งๆ ไม่หยุด

‘เจ้าลิงนี่เหตุใดยังไม่ตายอีกนะ’ ในใจเทพบุตรก่นด่าสาปแช่ง

หยางเชียนฮ่วนหันหลังให้ฝูงชนจึงมองไม่เห็นการแสดงอารมณ์ ทว่าทุกคนในเหตุการณ์เข้าใจดีถึงความโกรธและความอึดอัดของเขา เพราะอย่างไรเสียคำพูดในใจที่ออกมานี้ก็เป็นของหลี่หลิงซู่ พี่น้องที่ดีของเขา

ไม่กลัวตายเสียจริง อ้อ ข้าจำได้ว่าผู้พิทักษ์หยวนเหมือนจะไม่สามารถควบคุมพลังวิเศษฟ้าประทานของตัวเองได้นี่…เหมียวโหย่วฟางคิดด้วยความสนุกบนกองทุกข์ของผู้อื่น

หลังจากเขาหลอมรวมจิตกับพลังวิเศษฟ้าประทานแล้ว เป็นการยากที่จะควบคุมหรือ อาซูหลัวพินิจมองผู้พิทักษ์หยวนพลางคาดเดาความจริง

ว่ากันตามสถานการณ์ปกติแล้ว ตอนมีเรื่องป่วนเรือนหอก่อนหน้านี้เดือนเศษซึ่งทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคือง คนที่มีความปรารถนาจะเอาชีวิตรอดสักหน่อยย่อมระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ไม่ ‘กำเริบเสิบสานวางโต’ เช่นนี้เด็ดขาด

เวลานี้สีหน้า ‘ไร้อำนาจ’ ของผู้พิทักษ์หยวน แสดงชัดว่าเป็นผู้ปรารถนาจะมีชีวิตรอด เช่นนั้นพลังเหนือธรรมชาติก็อยู่เหนือการควบคุม

‘เจ้าลิงนี่ไม่ได้จริงจังกับชีวิตตัวเองเอาเสียเลย’…นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหัวเบาๆ

‘ซุนเสวียนจีเอามันมาเพราะเหตุใดนะ แม้มีเหตุผลด้านหน้าที่ในการถ่ายทอดความคิด แต่สถานการณ์เช่นนี้ซุนเสวียนจีไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นนี่ เขาตั้งใจเอาผู้พิทักษ์หยวนมาหรือ ก็เป็นมนุษย์นี่นะ คลุกคลีกับสวี่ชีอันนาน จิตวิญญาณจึงตกต่ำแล้ว’…ฉู่หยวนเจิ่นแอบใคร่ครวญและคาดเดาเจตนาร้ายของศิษย์พี่ซุน

ทันใดนั้นเขาก็พลันสะท้านในใจ เมื่อหันไปมองผู้พิทักษ์หยวนจึงพบว่าดวงตาสีฟ้าครามของคนผู้นั้นกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

ผู้พิทักษ์หยวนอ่านความคิดของฉู่หยวนเจิ่นอย่างมิอาจควบคุม

“ในใจของท่านบอกข้าว่า…”

ยังไม่ทันพูดจบ สวี่ชีอันก็พลิกฝ่ามือตบผู้พิทักษ์หยวนกลางอากาศจนล้มลงกับพื้น ตัดบทการอ่านใจของเขา

ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนชักอาวุธวิเศษที่ออกจากฝักไปแล้วสามชุ่น[2]กลับที่

“…” ผู้พิทักษ์หยวนแสดงสีหน้าหวาดกลัวหลังรอดพ้นจากภัยพิบัติ

หลี่เมี่ยวเจินไม่รู้สึกถึงปฏิสัมพันธ์ของคนรอบข้างแม้แต่น้อย นางจมอยู่ในโลกของตัวเอง

โลกที่ความมืดและแสงสว่างผสมปนเป

แสงสีทองอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และแสงสีดำอันชั่วร้ายเหลือคณานับแต่ละดวงครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า เมื่อแสงทั้งสองผสานกัน สีทองและสีดำจึงผสมกันบิดเบี้ยวกลายเป็นสีแห่งความโกลาหล

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว นางยืนอยู่บริเวณจุดตัดของทั้งสองสี เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาสักพัก นางจึงเห็นร่างหนึ่งบิดเบี้ยวและก่อตัวเป็นร่างอยู่ท่ามกลางแสงสีดำอันแสนชั่วร้าย

นั่นคือนักกระบี่หนุ่มผู้หนึ่ง ในมือถือกระบี่เปื้อนเลือด กำลังจ้องมองหลี่เมี่ยวเจินด้วยสีหน้าหม่นหมอง

หลี่เมี่ยวเจินจำเขาได้ เขาคือจอมยุทธ์ขั้นสูงที่ได้รับความช่วยเหลือจากโจรภูเขาเมื่อครั้งเดินทางลงจากเขาไปตอนนั้น

“ท่าน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยอย่างตะลึงงัน

นักกระบี่หนุ่มเลียกระบี่ในมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มดุร้ายว่า

“ขอบคุณจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินมากที่เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือ หากไม่มีบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิต ข้าจะยึดครองภูเขากลายเป็นราชา และเผา ฆ่า ปล้นสะดมในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้อย่างไร”

สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินงุนงงเล็กน้อย ความเศร้าเสียใจฉายวาบในแววตา

ร่างอันบิดเบี้ยวร่างที่สองก่อตัวขึ้น เป็นขุนนางวัยกลางคนใบหน้ากลมรูปร่างอวบ

ขุนนางยิ้มกริ่มพลางว่า

“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน ข้าคิดออกแล้ว น้ำจะใสหากไร้มัจฉา หากอยากมีอาชีพการงานรุ่งเรืองก็ต้องร่วมกับแสงสว่างเท่านั้น เมื่อก่อนข้าพึ่งพาความสามารถตัวเองและดูแคลนผู้อื่นมากเกินไป จึงต้องพุ่งชนอุปสรรคอยู่เรื่อย ยากที่จะบรรลุความปรารถนา

“หลังผ่านภัยถึงชีวิตมาครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็ตระหนักได้ ขอบคุณจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเหลือเกินที่ช่วยชีวิต”

เดิมเขาเป็นขุนนางใสตงฉินคนหนึ่ง เนื่องจากไม่พอใจผู้บังคับบัญชาจึงต้องการเข้าเมืองหลวงไปร้องเรียนจักรพรรดิ ระหว่างทางถูกยอดฝีมือจากฝ่ายลับของผู้บังคับบัญชาไล่สังหาร และได้รับการช่วยเหลือจากหลี่เมี่ยวเจินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต

หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้พูดอะไร ความโศกเศร้าในแววตารุนแรงยิ่งขึ้น

ต่อจากนั้น เงาแต่ละเงาก็บิดก่อตัวเป็นรูปร่าง พวกเขามีทั้งบุรุษและสตรี มีสถานะและอาชีพแตกต่างกัน และล้วนเป็นผู้ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากหลี่เมี่ยวเจิน ทว่าต่อมากลับเดินทางผิด

ขณะที่หลี่เมี่ยวเจินฟังคำเยาะหยัน กำเริบเสิบสาน และเสียดสีอยู่ข้างหู ความเศร้าอาดูรในแววตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตาขาวและรูม่านตาของนางถูกแทนที่ด้วยหมึกเหนียวข้นทีละน้อย

เวลานั้นเอง ได้มีเงาร่างบิดก่อตัวเป็นรูปร่างอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหยางชวนหนาน!

อดีตผู้บัญชาการอวิ๋นโจว หยางชวนหนาน

เขาสวมเครื่องแบบทหาร ถือดาบด้วยมือเดียว พลางมองหลี่เมี่ยวเจินแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า

“ผู้แซ่หยางสามารถกำจัดกองกำลังของลัทธิพ่อมด ยุยงให้ต่อต้านขุนนางอวิ๋นโจว และเอาตัวรอดจากอันตรายจากการสืบสวนของผู้ตรวจการได้ ต้องขอบคุณการรับรองและปกป้องจากจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเป็นอย่างสูง”

สมองของหลี่เมี่ยวเจินระเบิด ‘ตูม’ หมึกสีดำเหนียวข้นในดวงตาประหนึ่งน้ำบ่าจากเขื่อนแตก ปกคลุมลูกตาขาวและรูม่านตาอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของนางเปลี่ยนแปรเป็นความมืดมิดอย่างแท้จริง

ความคิดของนางบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ความคิดชั่วร้ายพรั่งพรูเข้ามา และคิดว่าเมื่อก่อนตนน่าขันขนาดไหน

ความคิดที่จะสังหาร ความริษยา ความเคียดแค้น ตัณหา ความอวดดี…อารมณ์ด้านลบทุกอย่างหลั่งไหลมาไม่สิ้นสุด

ภายใต้การบีบบังคับหลอกล่อของคนกลุ่มหนึ่ง ผู้พิทักษ์หยวนก็ใช้ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองหลี่เมี่ยวเจินด้วยความระมัดระวัง

กระบวนการนี้กินเวลาสิบวินาที การแสดงออกของเขาน่าพรั่นพรึงขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากสั่นระริก อยากพูดแต่ก็ไม่กล้า สัมปชัญญะและสัญชาตญาณกำลังต่อสู้กัน

“นาง ในใจของนาง บอก บอกข้า…”

ยังไม่ทันพูดจบ ก็พลันเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเทพเจ้าหยางของหลี่เมี่ยวเจิน หมึกดำเหนียวข้นที่ปกคลุมทั่วร่างกายจางหายไปราวกระแสน้ำ และแทนที่ด้วยแสงแห่งบุญกุศลอันสว่างศักดิ์สิทธิ์ สีสันละลานตา

‘ตูม!’

ท่ามกลางบรรยากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย ลำแสงหลากสีพุ่งออกมาจากเทพเจ้าหยางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ย้อมเมฆในท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยแสงแวววาวงดงาม

ส่องสว่างเกือบครึ่งเมืองหลวง

ในเมือง ไม่รู้ว่ายอดฝีมือจำนวนเท่าไรที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล บ้างออกจากห้อง บ้างเปิดหน้าต่าง เพื่อมองลำแสงบนฟ้า

ต้าฟ่งมีผู้แข็งแกร่งขั้นสามเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว

หลังใช้เวลาต่อเนื่องกว่าสิบวินาที ลำแสงหลากสีก็มาบรรจบกัน เมื่อเทพเจ้าหยางของหลี่เมี่ยวเจินกลับเข้าในร่าง ร่างกายของนางเปล่งด้วยลำแสงทอประกายอันอ่อนบางทว่าศักดิ์สิทธิ์ ขับเนื้อหนังให้พร่างพราวราวกับหยก เครื่องหน้างดงามละเอียดอ่อน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณกล้าหาญ

“ยินดีด้วยหลานเหลียน!”

นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มบางแล้วคำนับ

“ยินดีด้วยจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน”

“ยินดีด้วยเมี่ยวเจิน”

“ยินดีด้วยศิษย์น้องหญิง”

คนอื่นๆ ทยอยกันมาโค้งคำนับและเอ่ยคำแสดงความยินดี ราวกับที่บีบบังคับให้ผู้พิทักษ์หยวนอ่านใจอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่พวกเขา

หลี่เมี่ยวเจินลืมตา ก่อนเหลือบมองสวี่ชีอันเป็นคนแรก หลังจากเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มละไมจากใจของเขาแล้ว จึงเบนสายตาไปมองฮว๋ายชิ่งอีกครั้ง จากนั้นจึงมองไปยังคนโดยรอบ แล้วคำนับตอบด้วยรอยยิ้มบาง

หลังเสร็จสิ้นพิธีรีตอง สวี่ชีอันจึงรีบยกมือแล้วเอ่ยว่า

“เมี่ยวเจิน ระหว่างที่เจ้ามุ่งความสนใจไปที่ตบะ อาซูหลัว ฉู่หยวนเจิ่น และเหมียวโหย่วฟางต่างยุยงให้ผู้พิทักษ์หยวนอ่านใจเจ้า รวมถึงศิษย์พี่ของเจ้าและนักบวชเต๋าจินเหลียนด้วย”

หยางเชียนฮ่วนซึ่งเงียบงันมาตลอด คล้อยตามสุนัขขี้ขโมยอย่างหาได้ยาก และเอ่ยว่า

“ใช่ ข้าเป็นพยานได้”

หลี่เมี่ยวเจินหน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก แล้วหันกลับไปมองอย่างฉับพลัน

“เจ้า เจ้าอ่านใจรึ!”

ลมหายใจของนางในขณะนี้สับสนอยู่บ้าง ราวกับหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

‘เมื่อครู่นางคิดอะไรนะ’ ในใจของทุกคนมีความคิดเช่นนี้แวบขึ้น

………………………………………………………

[1] ตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นโดยที่ไม่รู้ว่านกขมิ้นจ้องจะกินตนอยู่ด้านหลัง อุปมาถึงคนที่วางแผนเล่นงานผู้อื่นโดยไม่รู้ว่าตนเองจะถูกเล่นงาน

[2] ชุ่น เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน 1 ชุ่นเท่ากับ 3.33 เซนติเมตร

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง