ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 822

บทที่ 822 บุญกุศล

หลังจากที่ยาโลหิตเข้าปาก พลังปราณถูกกลั่นหลอมครู่เดียวก็กลายเป็นกระแสความร้อนพุ่งลงท้องทันที

ฮว๋ายชิ่งได้สัมผัสความเจ็บปวดในยามนั้นของสวี่ชีอัน นางรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองกลืนเข้าไปไม่ใช่ยาโลหิต แต่เป็นลาวาเต็มปาก อุณหภูมิร้อนสูงระเบิดในลำคอ ‘ละลาย’ ลำคอของนาง ทำลายเส้นเสียงของนาง ทำให้นางสูญเสียความสามารถในการพูด

จากนั้น เผาไหม้เลียบตามหลอดอาหารลงสู่กระเพาะ

ในระหว่างขั้นตอนนี้ พลังยาโลหิตนี้มีจำนวนเล็กน้อยหลอมรวมเข้าสู่กระแสเลือด เลียบตามหลอดเลือด สูบฉีดสู่แขนขาและกระดูก ฉีกกายเนื้อจากภายใน

ความเจ็บปวดเช่นนี้เป็นพันเท่าร้อยเท่าของทัณฑ์เลาะกระดูก ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับหลอมวิญญาณจะตายทันทีในความเจ็บปวดเช่นนี้

จิตสำนึกของฮว๋ายชิ่งเริ่มสับสน กลายเป็นเลอะเลือน จมอยู่ในความเจ็บปวดอันสาหัส

เลื่อนสู่ระดับเหนือมนุษย์ด้วยยาโลหิต ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอันน่ากลัวที่สุด พอที่จะฆ่าขั้นสี่ผู้ใดก็ตามได้ง่ายๆ ใช้เล่ห์เหลี่ยมเลื่อนสู่ระดับเหนือมนุษย์ นี่คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย

เรื่องพวกนี้ สวี่ชีอันบอกฮว๋ายชิ่งล่วงหน้าแล้ว

นางเตรียมใจไว้แล้ว แต่นางไม่นึกว่าความเจ็บปวดจะน่าหวาดผวาและน่าหวาดกลัวเช่นนี้

‘สุดจะทนได้ สุดจะทนได้จริงๆ’…จิตเดิมของฮว๋ายชิ่งดับสลายอย่างรวดเร็ว แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเกล็ดหิมะที่ละลายสู่น้ำ

ในจิตสำนึกเดียวที่มีอยู่ของนางเหลือเพียงความหวาดกลัว

ความหวาดกลัวที่มีต่อความตาย ความหวาดกลัวที่มีต่อความเจ็บปวด ราวกับเด็กที่เดินกลางหิมะน้ำแข็ง โหยหาแสงไฟที่ปรากฏข้างหน้า

“รักษาจิตเดิมเป็นหนึ่ง อดทนไว้!”

ในจิตสำนึกพร่ามัวของนาง ได้ยินข้างหูแว่วเสียงต่ำทุ้มอ่อนโยน

เด็กหญิงตัวเล็กๆ กลางหิมะน้ำแข็งมองเห็นแสงสว่างที่นางโหยหา

ฮว๋ายชิ่งได้สติขึ้นมาทันที เพิ่งพบว่าตนเองกลิ้งลงมาจากพระแท่นบรรทมไม่รู้ตั้งแต่ยามใด เลือดท่วมตัวนอนอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน

สติสัมปชัญญะของนางรักษาไว้ได้ไม่นาน ถูกความเจ็บปวดราวกับระลอกคลื่นทะเลปกคลุม

“เจ้า ยามนั้นเจ้าผ่านมาได้อย่างไร…” ฮว๋ายชิ่งหายใจแผ่วเบาราวกับใยแมงมุม จิตสำนึกพร่ามัว พูดเสียงขาดๆ หายๆ

ยามนี้นางส่องกระจกไม่ได้ มิฉะนั้นต้องตกใจกับรูปโฉมอัปลักษณ์ของตนแน่นอน

เลือดเนื้อตรงแก้มของฮว๋ายชิ่งแตกร้าว มีเลือดไหลออกมา ราวกับสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกจากร่างกาย

เรือนร่างของนางก็เช่นเดียวกัน

“สำหรับข้าในยามนั้น ทนผ่านไปไม่ได้ ก็คือตัดหัวทั้งตระกูล” สวี่ชีอันพูดเสียงเบา “ข้าไม่มีทางเลือก ฮว๋ายชิ่ง เจ้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ทนผ่านไปไม่ได้ เจ้าก็มีแต่ต้องตาย”

ฮว๋ายชิ่งไม่พูดอีก พยายามต่อต้านการแตกสลายของจิตเดิม

ยามนี้ มังกรทองตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของนาง เกาะพันราวกับงูเหลือม ‘รัด’ จิตเดิมที่แตกสลายของนางไว้ ยับยั้งไม่ให้มันดับสูญ

เวลาแต่ละนาทีและวินาทีผ่านไป สวี่ชีอันปกป้องข้างกายนางเงียบๆ กางอาณาเขต ปกคลุมเสียงกรีดร้องของฮว๋ายชิ่งและกลิ่นอายยาโลหิต ไม่รั่วไหลไปแม้แต่น้อย

จนกระทั่งควันไม้จันทน์ในสัตว์ทองคำไม่เพิ่มขึ้นอีก สถานการณ์ของฮว๋ายชิ่งถึงค่อยๆ มั่นคง

ร่างกายของนางสลัดคราบความเป็นปุถุชน ทุกๆ เซลล์เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเปี่ยมล้น เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถอดร่างเกิดใหม่ได้ ย้ายภูเขาถมทะเลได้

ยามนี้จิ่วโจว จอมยุทธ์หญิงเหนือมนุษย์คนแรกถือกำเนิดแล้ว

มังกรทองสลายไป สวี่ชีอันก็เลิกกางอาณาเขต จับมือที่เปื้อนเลือดของฮว๋ายชิ่งไว้ ถ่ายทอดพลังปราณ

“ข้าทำสำเร็จแล้ว?”

ฮว๋ายชิ่งลืมตา พลังปราณคมกริบสองสายเจาะทะลุหลังคาตำหนัก นี่เพราะนางยังยากที่จะควบคุมพลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“ขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาท ขออวยพรแด่ฝ่าบาท!”

สวี่ชีอันคำนับติดต่อกัน ใบหน้าเจือรอยยิ้ม

ฮว๋ายชิ่งพ่นลมหายใจเบาๆ นั่งขัดสมาธิลุกขึ้น โบกมือคว้าผ้าเช็ดเหงื่อที่สะอาด เช็ดแก้มสะคราญปานบุปผาอย่างละเอียด

หลังจากพยายามเช็ดให้สะอาด นางพูดเสียงอ่อนโยน

“ระหว่างพวกเราพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ อะไรกัน” สวี่ชีอันยิ้มโบกมือ คิดในใจว่า เจ้าเป็นพี่สาวของภรรยาข้านะ

ฮว๋ายชิ่งพูดเสียงเบา

“ในเมื่อไม่ต้องพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ เช่นนั้นอยู่กันส่วนตัวฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ต้องพูดคำว่า ‘ฝ่าบาท’ พร่ำเพรื่อ”

แม้นางก็พูดคำว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’ พร่ำเพรื่อเช่นกัน แต่เมื่ออารมณ์ดี เมื่อไม่มีคนนอก ยังเรียกว่าหนิงเยี่ยน

นางอยากให้ข้าเรียกชื่อเดิมของนาง หรือฮว๋ายชิ่ง? สวี่ชีอันพูดว่า

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”

“…” ฮว๋ายชิ่งไม่อยากสนใจเขา พูดเสียงเรียบ

“หลี่เมี่ยวเจินเลื่อนสู่ขั้นสามเมื่อใด”

สวี่ชีอันตอบ

“คืนนี้เอง นางจะรวบรวมแสงแห่งบุญกุศลที่แท่นแปดทิศหอดูดาว ทะลวงขั้นสามในครั้งเดียว”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า ถามต่อ

“มีความมั่นใจกี่ส่วน”

“ตามความหมายของนักบวชเต๋าจินเหลียน เมี่ยวเจินท่องยุทธภพสามปี พลังบุญกุศลที่รวบรวมได้ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เหตุต้นผลกรรมสะท้อนกลับที่ตามมา ก็มากมายเช่นกัน” สวี่ชีอันพูด

“คืนนี้ต้องไปเฝ้าดูหรือไม่”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า

คุยเรื่องนี้จบ ฮว๋ายชิ่งก็เลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว สวี่ชีอันมองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง เริ่มอยากจะออกไป

นัดกับซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไว้แล้ว ยามบ่ายฟังเพลงที่หอคณิกา หลังจากนั้นยังต้องปักดอกไม้แต่งหยก ต้องเสร็จก่อนพลบค่ำ เพราะกลางคืนต้องสั่งสอนหลินอัน

จริงสิ ตื่นเช้ามา เขายังต้องหาเวลาให้อาหารฝูเซียง

เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ไม่มีเวลาเพียงพอเลย…สวี่ชีอันปลงอนิจจังจากใจจริง พูดว่า

“ฝ่าบาท ข้าขอตัวก่อน”

ฮว๋ายชิ่งเม้มปาก ผิดหวังอยู่บ้าง แต่ยังพยักหน้าตอบรับ ซ้ำยังไม่พอใจอยู่บ้าง พูดเสียงเรียบ

“ฆ้องเงินสวี่ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอย่างสบายใจไม่น้อย”

“ไม่มีเวลาเพียงพอเลย หลินอันเด็กคนนั้นชอบก่อกวน แทบอยากจะตัวติดกับข้าทุกวัน”

สวี่ชีอันเพิ่งพูดจบ ก็เห็นฮว๋ายชิ่งหน้าขรึม พูดอย่างไร้อารมณ์

“ไม่ส่ง!”

เขาแปลงร่างเป็นเงามืดที่หลอมเหลวทันที หายไปจากตำหนักบรรทม

กลางคืน

ดวงจันทร์อันโดดเดี่ยวเหน็บหนาวลอยกลางฟ้า ม่านราตรีประดับดวงดาวพร่างพราย เมืองหลวงที่พลุกพล่านในยามกลางวันเข้าสู่ห้วงนิทรา ที่ไกลแว่วเสียงนกกลางคืนบางครั้ง

แท่นแปดทิศหอดูดาว กลุ่มคนกินเผือกมารวมตัวกัน

ซุนเสวียนจีและผู้พิทักษ์หยวนที่ติดตามข้างกายเขา หยางเชียนฮ่วนที่ยืนมือไพล่หลังหันหลังให้ทุกคน ฉู่หยวนเจิ่นนักกระบี่ชุดเขียวที่มีผมสีขาวตรงหน้าผาก ฮว๋ายชิ่งที่กลับมาสวมชุดองค์หญิงสีขาวปักดอกเหมย เหิงหย่วนที่มีความทุกข์ความแค้นอันใหญ่หลวง อาซูหลัวที่ไม่กลัววิชาอ่านใจ เหมียวโหย่วฟางลูกศิษย์ไม่เอาถ่าน หลี่หลิงซู่ที่ผอมลงแล้วนึกเสียใจและเกลียดคนแซ่สวี่จนตรอมใจ…

แน่นอนว่ายังมีบุคคลสำคัญในเหตุการณ์นี้ด้วย ได้แก่ หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียน

สวี่ชีอันนั่งข้างโต๊ะ มองบุตรคนสุดท้องของราชันอสูร

“เมื่อเมี่ยวเจินเลื่อนขั้นสำเร็จ พวกเราก็โจมตีอรัญตา”

อาซูหลัวสูดหายใจลึก “ดี! ข้ารอวันนี้มานานแล้ว ตั้งแต่กลับชาติมาเกิด ก็รอมาโดยตลอด ตั้งแต่ถอนตะปูตอกวิญญาณให้เจ้า ก็รอเจ้าพูดประโยคนี้”

สำนักพุทธกับเผ่าอสูรมีความแค้น ‘ฆ่าล้างตระกูล’ มีความแค้นที่ฆ่าพ่อของเขา

ไม่มีผู้ใดอยากเหยียบย่ำอรัญตามากกว่าเขา

อาซูหลัวยกทัพปราบระดับเหนือมนุษย์อวิ๋นโจวให้ต้าฟ่ง แต่ไม่ใช่เพื่อแคว้นเพื่อราษฎร์ ชาวที่ราบลุ่มภาคกลางและราชสำนักต้าฟ่งเกี่ยวอะไรกับเขา

เขากำลังเดิมพัน!

เดิมพันว่าสวี่ชีอันจะยิ่งใหญ่ เดิมพันว่าต้าฟ่งจะชนะ จากนั้นตอบโต้สำนักพุทธแดนประจิม

เขาเดิมพันถูกแล้ว

เหมียวโหย่วฟางหาว ถามว่า

“เหตุใดต้องเลือกเลื่อนขั้นกลางคืน”

หลี่หลิงซู่ที่มีขอบตาคล้ำสองข้างพูดเสียงขรึม “กลางคืนดีนะ กลางคืนดีมาก”

ในที่สุดก็ได้พักผ่อนสักคืน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง