ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 825

บทที่ 825 ผลงานของท่านโหราจารย์

หลังจากการปรึกษาหารือเสร็จสิ้น ทุกคนจึงวางแผนที่จะออกไป

หลี่เมี่ยวเจินถามด้วยความใคร่รู้

“พวกเจ้าจะไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่ ไม่…” ทุกคนโบกมือไล่เรียงกัน

“พวกเราไม่ใช่คนน่าเบื่อขนาดนั้น เมื่อก่อนเราแค่กังวลเกี่ยวกับตัวเจ้าก็เท่านั้น”

หลี่เมี่ยวเจินหันมองซ้ายทีขวาที ยังคงไม่ไว้วางใจในความซื่อสัตย์ของสมาชิกพรรคฟ้าดิน เอ่ยว่า

“พวกเจ้าไปก่อน ข้าจะเป็นคนสุดท้าย”

สวี่ชีอันพยักหน้า พลางพูดว่า

“เมี่ยวเจิน ข้าจะกำกับดูแลแทนเจ้า จะพาพวกเขาไปด้วยเอง”

‘เจ้าไม่น่าไว้ใจที่สุดเลยน่ะสิ…’ หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงเรียบ

“รบกวนฆ้องเงินสวี่ด้วย”

ร่างกายสวี่ชีอันขยายออกกลายเป็น ‘ม่านเงา’ ปกคลุมทุกคน โอบล้อมแมวส้ม อาซูหลัวและคนอื่นๆ หายออกไปจากห้อง

หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ไปไหน นางนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ รอสังเกตจนไม่มีใครย้อนกลับมา ถึงได้ออกจากห้องไปอย่างสบายใจ

ประมาณครึ่งเค่อหลังนางจากไป ความมืดใต้โต๊ะ เกิดขยายกลายเป็น ‘เงา’ ขนาดใหญ่ คนกลุ่มเดิมย้อนกลับเข้ามา

ผู้พิทักษ์หยวนตกตะลึง

สวี่ชีอันถูมือ

“บอกมาเร็วเข้า ช่วงที่เมี่ยวเจินตกสู่ทางมารคิดอะไรอยู่หรือ?”

“ใช่ๆ ข้าอยากรู้เสียจริงว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินคิดอะไรหลังจากนางตกสู่ห้วงมาร” เหมียวโหย่วฟางเห็นด้วย

เหล่าลูกพี่จ้องผู้พิทักษ์หยวน กดดันเขาอย่างเงียบๆ

ควันสีเขียวพวยพุ่งขึ้น ก่อตัวเป็นรูปร่างของซูซู

ซูซูจ้องคนในห้อง คำรามคำพูดติดปากหลี่เมี่ยวเจิน

“ออกไปให้พ้น!”

การควบคุมวิญญาณหยิน เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปในลัทธิเต๋า จริงๆ แล้วถุงผ้าแพรที่หลี่เมี่ยวเจินให้ผู้พิทักษ์หยวนมีสองใบ

ไปแล้ว ไม่อยู่แล้ว…สมาชิกพรรคฟ้าดินแยกย้ายทันที

จวนสกุลสวี่

สวี่ชีอันกลับมาที่ห้องของเขากับหลินอัน โคมไฟก้านสูงทั้งสี่มุมห้องติดไฟไว้ บนโต๊ะหนังสือมีด้วยซุปไก่ที่เริ่มเย็นวางอยู่

หลินอันนอนตะแคงข้างขดตัวภายใต้ผ้าห่มผืนบาง หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมออยู่ในห้วงนิทรา

หน้ากลมๆ ของนางละมุนนุ่ม เมื่อบีบแล้วพลอยให้รู้สึกดีไม่หยอก แพขนตาเรียวยาวงอนขึ้นเล็กน้อย หลังจากนัยน์ตาดอกท้อทรงเสน่ห์ปิดลงทั้งสองข้าง นางก็ดูสง่างามมากขึ้นเป็นกอง

สวี่ชีอันไม่ได้เข้านอนในทันที เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือ เพิ่งจิบซุปไก่ได้หน่อยเดียวก็ตกตะลึงในทันใด เขาได้กลิ่นสมุนไพรที่จะช่วยบำรุงไตจากซุปไก่

คงเพราะเร็วๆ นี้ทำงานหนักบ่อยเกินไป ก็เลยกังวลว่าไตข้าจะบกพร่อง?

ดูถูกกันนัก…สวี่ชีอันดื่มซุปไก่รวดเดียว ‘อั้กๆ’

อาหารบำรุงด้านนี้บุรุษมักไม่ค่อยปฏิเสธนัก แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์กับพวกจอมยุทธขั้นหนึ่งก็ตาม

หลังจากดื่มซุปไก่ เขาก็กางกระดาษเซวียนจื่อ เขียนลักษณะเฉพาะดั้งเดิมของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ในสำนักพุทธ ตามด้วยเป่าหมึกให้แห้งแล้วพับเก็บไว้ให้เรียบร้อย

ต่อจากนั้นก็ผลักบานหน้าต่าง เหม่อมองท้องฟ้าอันสงบยามค่ำคืน ทันใดนั้น นกป่าตัวหนึ่งก็โฉบลงมาเกาะที่ขอบหน้าต่าง

สวี่ชีอันยื่นกระดาษเซวียนจื่อที่พับไว้ส่งให้นกป่าคาบไว้ในปาก ก่อนจะกระพือปีกบินจากไป

จุดหมายปลายทางของนกป่าคือหอเฮ่าชี่

เขาตั้งใจจะปรึกษาเว่ยเยวียน ถึงแม้ชุดครามตอนนี้จะ ‘อ่อนแอ’ แต่ทั้งกลยุทธ์ วิสัยทัศน์และสติปัญญายังอยู่ หลังจากส่งข้อมูลให้มากพอ ก็สามารถดำเนินการได้เลย

จากนั้นก็จะให้คำแนะนำอันมีค่ากลับมา

นกป่าบินหายไปในความมืดจนลับสายตา สวี่ชีอันจึงกลับมานั่งที่โต๊ะหนังสือพลางครุ่นคิด

“อย่างแรก ศีรษะของเสินซูต้องช่วยออกมาให้ได้ ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการต้านทานแรงกดดันโดยตรงเมื่อเกิดวิกฤต หากไม่มีเทพยุทธครึ่งก้าว ที่ราบลุ่มภาคกลางจะกลายเป็นผักชีที่รอให้ดินแดนประจิมกับสำนักพ่อมดมาตัดอย่างสบายๆ

“อย่างที่สอง ก่อนจะเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ ข้าต้องบำเพ็ญตบะให้เลื่อนขั้นถึงเทพยุทธครึ่งก้าว ลำพังเสินซูแค่คนเดียว การรับมือกับสุดยอดปรมาจารย์ค่อนข้างลำบาก ดังนั้น หากมีโอกาสก็ต้องเด็ดหัวเจียหลัวซู่ด้วย แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ก็อาจจะดึงดูดให้สำนักพุทธโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง”

ในการคาดการณ์ครั้งก่อนของเขา สำนักพุทธอาจไม่เต็มใจต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อศีรษะเสินซู เพราะแบบนั้นจะทำให้สำนักพ่อมดมีแต่ได้ผลประโยชน์

ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าจะมีการประนีประนอมเกิดขึ้น

แต่ถ้าเป้าหมายของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ต้าฟ่งคือเจียหลัวซู่ คงต่อสู้กันจนลมเฮือกสุดท้าย

“ถ้าครั้งนี้ตัดเศียรเจียหลัวซู่ไม่ได้ ข้าก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น มีสองทางเลือกที่จะเป็นไปได้ อย่างแรกหนึ่งคือ ฝึกฝนอสูรกู่ประเภทลี่กู่ที่อยู่ในสภาวะเหนือมนุษย์ อย่างที่สองคือ ออกทะเลค้นหาทายาทเทพมารเขตแดนเดียวกัน”

“อย่างสุดท้าย คลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้ากับเสินซู หาความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปรมาจารย์ระดับสุดยอดอย่างละเอียด

“สำนักพุทธหลอกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข่มเหงคนอื่นเกินไปแล้ว ได้เวลาทวงหนี้เสียที”

ความบาดหมางระหว่างเขากับดินแดนประจิมนั้นลึกซึ้งมาก อาจกล่าวได้ว่า หลังจากที่สวี่ชีอันบรรลุธรรม วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมีสำนักพุทธเข้ามาเอี่ยว

แค้นนี้ต้องชำระ

สำหรับความล้มเหลว เขาไม่เคยคิดถึงมันเลย เพราะความล้มเหลวหมายถึงจุดจบของเขาอยู่ที่อรัญตา

หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้ามิอาจเอาศีรษะเสินซูกลับมาได้ เขาก็ขอพินาศไปพร้อมสำนักพุทธ พระพุทธเจ้าจะได้ไร้สาวกบูชา

นี่คือความตั้งมั่นของจอมยุทธขั้นหนึ่งผู้นี้

‘พรึ่บๆ …’

นกป่าตัวหนึ่งโฉบลงมาขอบหน้าต่าง ในปากคาบกระดาษเซวียนจื่อที่พับเป็นก้อนเต้าหู้

สวี่ชีอันรับกระดาษเซวียนจื่อมาคลี่เปิดอ่าน

‘ถึงขั้นนี้แล้ว กลยุทธ์ไม่มีความหมายนัก ทั้งการวางแผนและกันประสานงานกันพวกเจ้าทำได้ดีมาก แต่เคยคิดหรือไม่ว่า เจ้าสามารถใช้ความร่วมมือระหว่างระบบเพื่อมุ่งเป้าไปที่สำนักพุทธและสำนักพ่อมดได้

‘ฝ่ายตรงข้ามก็จะทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน หากสำนักพ่อมดและสำนักพุทธแลกเปลี่ยนขั้นสองกัน ถือเป็นแค่การปรับเปลี่ยนเล็กน้อย แต่อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การต่อสู้ในเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งการต่อสู้ของอรัญตา

‘ซ่าหลุนอากู่จะไม่ผจญภัยในดินแดนประจิมด้วยตนเอง จอมยุทธขั้นสามมีข้อจำกัด ส่วนใครจะไปนั้น ข้ารู้ว่าเจ้ามีในใจอยู่แล้ว จอมยุทธสำนักพุทธขั้นสามและขั้นสองเสื่อมสภาพลงเกือบทั้งหมด มีเพียงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ขั้นสองเพียงคนเดียวเท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง