ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 826

บทที่ 826 การทำนาย

สวี่ชีอันก้าวยาวไปข้างหน้า และหยิบหนังสือ ‘วิธีการเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์’ ออกมาจากชั้นวางหนังสือ ประโยคแรกของบทนำเขียนไว้ว่า

“ระบบในโลก ข้ามออกนอกสามภพ กายอยู่ในห้าธาตุ มีเพียงจอมยุทธ์ กายอยู่ในสามภพ ไม่อยู่ในห้าธาตุ”

ความแตกต่างระหว่างจอมยุทธ์และระบบอื่นๆ คือ ‘ภายนอกและภายในสามภพ’…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว อ่านประโยคนี้อย่างละเอียด นอกจากรู้ว่าจอมยุทธ์แตกต่างกับระบบอื่นแล้ว ก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไรได้มากนัก

‘สามภพ’ และ ‘ห้าธาตุ’ อาจมีความหมายพิเศษในศัพท์เฉพาะของโหร

ฝืนทำความเข้าใจอาจคลาดเคลื่อน รอถามศิษย์พี่ซ่งละกัน เขาพลิกหน้าถัดไปอย่างทนรอไม่ไหว

สิ่งที่เขียนไว้ในหน้านี้ก็คือคำอธิบายจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งของโหราจารย์ ในหนังสือเอ่ยถึง แก่นแท้ ลมปราณและจิตของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่ง ก่อเป็นวัฏจักรของตน ไม่ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก…เมื่อเขียนถึงตรงนี้ ท่านโหราจารย์ยังหมายเหตุอย่างง่ายต่อการเข้าใจไว้ว่า

‘สิ่งที่เรียกว่าไม่ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก หมายถึงไม่พึ่งยืมพลังของฟ้าดิน ประกอบด้วยแต่ไม่จำกัดเพียงสายฟ้าของหยินหยางและธาตุทั้งห้ากับพลังของธาตุอื่นๆ’

พลังปราณ การฝึกลมหายใจ พลังวิญญาณที่เคลื่อนย้ายอย่างปรกติไม่อยู่ในขอบเขตนี้ เอ่อ ในบรรดาขั้นหนึ่งที่ข้ารู้จัก ซ่าหลุนอากู่ ลั่วอวี้เหิง รวมไปถึงพระโพธิสัตว์สำนักพุทธล้วนมีกลวิธีพึ่งยืมพลังฟ้าดินมาแปลงให้ตนเองใช้งาน…มีเพียงจอมยุทธ์ที่พึ่งพาพลังและพลังปราณของตนเอง…หมายเหตุในท่อนนี้ของท่านโหราจารย์เขียนด้วย ‘ภาษาที่เข้าใจง่าย’ อย่างมาก จนรู้สึกว่าเอาไว้ให้คนไม่มีสมองอ่าน…พอสวี่ชีอันคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแข็งทื่อในทันใด

เพราะเขานึกขึ้นได้ว่า หนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์ทิ้งไว้ให้ก่อนหน้านี้ และจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่ท่านโหราจารย์ประคับประคองคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเขานี่เอง

ดูถูกใครกัน…สวี่ชีอันเดือดดาลในฉับพลัน

เขาเอ่ยในใจว่าทนไว้ เห็นแก่ตาเฒ่าที่ล่องทะเลอยู่ภายนอกในขณะนี้ ขอไม่เอาอะไรกับท่านก็แล้วกัน

เขาอ่านต่อไปจนพบเนื้อหาที่เกี่ยวกับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ในท้ายที่สุด

ท่านโหราจารย์ให้ไว้สองแนวคิด หนึ่งคือค่อยๆ ฝึกฝนอย่างหนักเหมือนยอดฝีมือขั้นสี่ระดับสูงสุดโม่บดกายหยาบ จนทำให้เนื้อเยื่อพัฒนา ถอดถอนร่างกายธรรมดาออกไป และกลายเป็นตัวตนประหนึ่ง ‘เทพ’

หากจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งต้องการเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ก็ต้องชุบหลอมกายหยาบอย่างไม่หยุดหย่อนและเติมเต็มพลังปราณเช่นเดียวกัน ทว่าตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน จอมยุทธ์ที่สามารถนำขั้นหนึ่งไปสู่จุดสูงสุด และกลายเป็นระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์แทบไม่มีเลย

เท่าที่ท่านโหราจารย์ทราบ มีเพียงเสินซูที่ถูกผนึกไว้ที่ซังผอเมื่อห้าร้อยปีก่อน

“เนื่องจากจอมยุทธ์ที่เลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งด้วยโชคชะตามีอายุขัยไม่ถึงร้อยปี จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ในช่วงร้อยปี แต่จอมยุทธ์ที่กลายเป็นขั้นหนึ่งด้วยการพึ่งพาพรสวรรค์และความพยายามของตนเอง ก็จะถูกสังหารโดยเทพพ่อมดและพระพุทธเจ้าภายในช่วงเวลาแสนยาวนาน”

“เทพเจ้ากู่เคยกล่าวว่า พวกเขาหวาดกลัวการปรากฏตัวของเทพยุทธ์ ดังจะเห็นได้ว่า หากต้องการสงบสิ่งที่เรียกว่ามหาเคราะห์ เป็นไปได้มากว่ามีเพียงการกำเนิดของเทพยุทธ์ จึงคาดการณ์ได้อีกว่า เป้าหมายของท่านโหราจารย์คือการสร้างเทพยุทธ์ใช่หรือไม่?”

“เขาวางแผนแก้ไขมหาเคราะห์อย่างมุมานะเช่นนี้มาโดยตลอดในฐานะผู้เฝ้าประตู …”

ส่วนอีกวิธีก็คือการเดินในวิถีทาง ‘ยาโลหิต’ อาศัยการปล้นแก่นชีวิตของผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันมาเพิ่มความเร็วในการเลื่อนขั้น

“ในตอนแรกที่รู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือหลอมยาโลหิต ข้าก็สังหรณ์ใจว่าระบบของจอมยุทธ์นี้อาจจะโหดเหี้ยมมาก” สวี่ชีอันถอนหายใจ

วิธีที่หนึ่งไม่มีทางลัด สิ่งที่เห็นคือพรสวรรค์และความพยายาม แต่วิธีที่สองมีทางลัด

สวี่ชีอันพลิกอ่านเนื้อหาท่อนหลังของหนังสือเล่มนี้ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม จากนั้นเขาก็ประกบกลับไปเงียบๆ แล้วกลับไปข้างซ่งชิง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า

“ท่านโหราจารย์หลงเหลือค่ายกลขัดเกลา วัสดุและระดับที่เกี่ยวข้องไว้พอใช้ได้ น่าสนใจทีเดียว ท่านดูสิ”

ซ่งชิงดวงตาลุกวาวเป็นอย่างแรก เต็มไปด้วยความกระหายที่มีต่อความรู้ และทำท่าทีปฏิเสธในชั่วประเดี๋ยวนั้น “ข้าต้องพึ่งตนเอง ไม่พึ่งท่านโหราจารย์”

สวี่ชีอันเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“การศึกษาความรู้เป็นขั้นตอนที่สนุกสนานอย่างหนึ่ง หากไม่ต้องการจ่ายสิ่งที่ต้องแลกมาระหว่างนั้น เช่นนั้นก็เป็นความเร็วเท่าตัว”

หากแปลเป็นคำพูดที่คุ้นเคยของพวกเราก็คือ

โสเภณีสีขาวทำให้พวกเรามีความสุข

ซ่งชิงตรองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงรับงานเขียนของตาเฒ่าโหราจารย์ และเปิดอ่านอย่างอดทน

“เป็นเช่นไรบ้าง” สวี่ชีอันไต่ถาม

ซ่งชิงเงยศีรษะขึ้นมาด้วยสีหน้างงงวย

“อ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร…”

เขามองสวี่ชีอันด้วยสายตาอันมีความหวังในชั่วประเดี๋ยวนั้นพร้อมเอ่ยว่า

“คุณชายสวี่เข้าใจหรือไม่”

สวี่ชีอันยิ้มเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าพลิกอ่านผ่านๆ ท่านโหราจารย์เขียนได้ล้ำลึกมาก พอข้าอ่านจบ ล้วนแต่ทะลุทวารทั้งเจ็ดไปเกือบหมดสิ้น”

ซ่งชิงเอ่ยด้วยใบหน้าตกตกลึงว่า

“เพียงช่วงสั้นๆ ครู่เดียว คุณชายสวี่กลับสามารถอ่านเนื้อหาขอบเขตการเล่นแร่แปรธาตุมากขนาดนี้เข้าใจ เรื่องเดียวที่จำได้ คงจะเป็นค่ายกลล่ะสิ”

…สวี่ชีอันพยักศีรษะด้วยสีหน้าเข้มขรึม จากนั้นคุยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่ซ่งคิดว่า ประโยคแรกของบทนำอธิบายว่าอย่างไร”

ซ่งชิงพลิกไปที่บทนำตามคำพูด และอ่านประโยคนั้นใหม่อีกรอบ ก่อนเอ่ยอย่างไตร่ตรองว่า

“สามภพหมายถึง ‘รูปภพ’ ‘โลกียภพ’ ‘อรูปภพ’ คุณชายสวี่เข้าใจว่าเป็นโลกมนุษย์อันแปดเปื้อนก็ได้ ข้ามออกนอกสามภพหมายถึงตัดขาดจากเรื่องทางโลก ความใคร่…”

พูดให้กระจ่างก็คือไม่มีตัณหาทางโลก…สวี่ชีอันพยักศีรษะอย่างช้าๆ

“หากคุณชายสวี่สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน คงพบได้ไม่ยากว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ของระบบต่างๆ เมื่อระดับยิ่งสูงก็จะยิ่งหัวเดียวกระเทียมลีบ ตัณหามากมายอันประกอบด้วยกามารมณ์อยู่ภายในแทบถูกตัดออกไปหมดสิ้น ฮึ่ม นิกายมนุษย์คงถือเป็นข้อยกเว้นกระมัง แต่คงเป็นเพราะการมีอยู่ของไฟแห่งกรรม หากไม่มีไฟแห่งกรรม ลั่วอวี้เหิงก็คงไร้ความใคร่อยาก”

มิน่าล่ะผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ที่ข้าเคยเห็นแทบจะเป็นคนโสดทั้งสิ้น มีเพียงตัวข้าที่เป็นจอมยุทธ์ที่ทุ่มเทเพื่อการตอกเสาเข็มทุกวี่ทุกวัน…สวี่ชีอันเผลอหัวเราะออกมา

ทว่าครู่ต่อมา เขาก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างชะงักงัน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวว่า

การที่สวี่ผิงเฟิงไร้อารมณ์ความรู้สึก เป็นเพราะว่ามีปัจจัยทางด้านนี้ใช่หรือไม่ ระดับยิ่งสูง ความรู้สึกทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกก็ยิ่งจืดจาง

เขาหวนนึกถึงนักบวชเต๋าจินเหลียน จ้าวโส่ว ซ่าหลุนอากู่และผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์คนอื่นๆ และค้นพบอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงว่าในบรรดาพวกเขา ไม่มีใครลุ่มหลงในกามารมณ์เลยสักคน

ดังนั้นจึงเหลือเพียงจอมยุทธ์ที่ยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกที่ครบถ้วนที่สุด สวี่ชีอันคิดในใจ

ซ่งชิงเอ่ยตามว่า

“ความหมายของกายอยู่ในห้าธาตุเข้าใจง่ายมาก ระบบต่างๆ ล้วนต้องอาศัยพลังฟ้าดิน ควบคุมดิน น้ำ ลม ไฟ หยินหยางและธาตุทั้งห้า แต่จอมยุทธ์ไม่ต้องใช้ เพราะอาศัยหมัดล้วนๆ จุๆ หยาบช้า”

“หะ ข้าไม่ได้สื่อว่าจะด้อยค่าฆ้องเงินสวี่ ข้าหมายถึงระบบจอมยุทธ์”

มันต่างกัน เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เจาะจงเจ้า ข้าเจาะจงจอมยุทธ์ทั้งหมดในใต้หล้า คำแขวะเต็มอยู่ในหัวของสวี่ชีอัน

ณ เมืองจิ้งซาน

ก้อนหินดำขลับโผล่อยู่ท่ามกลางผืนทรายที่แห้งแล้งและไร้ต้นไม้ใบหญ้าของเมืองจิ้งซาน ยอดสูงสุดบนเทือกเขาไร้ซึ่งลมหายใจของชีวิตใดๆ

ผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ไกลออกไปไหลเป็นคลื่น ระยับด้วยแสงจากคลื่นอันสุกใส จุดตัดระหว่างฟ้าครามและมหาสมุทรบินฉวัดเฉวียนไปด้วยนกทะเลกลุ่มหนึ่ง

ที่นี่ติดทะเล ลมแรงและกลิ่นคาวจากทะเลอันเบาบางพัดแสกหน้าเข้ามา ซ่าหลุนอากู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา ตรงหน้ามีโต๊ะเล็กๆ วางเอาไว้ ซึ่งด้านมีหนังสือแผ่นไม้ไผ่วางไว้ม้วนหนึ่ง เขียนไว้โดยแยกกันว่า

สวี่ชีอัน ลั่วอวี้เหิง หลี่เมี่ยวเจิน อาซูหลัว…

รวมไปถึงเจียหลัวซู่ หลิวหลี กว่างเสียนและตู้เอ้อร์

เจ้าแห่งวัสสานน่าหลันเทียลู่ ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณอูต๋าเป๋าถ่าและอีเออร์ปู้ยืนอยู่ด้านหลังของซ่าหลุนอากู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง