ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 827

สรุปบท บทที่ 827 จอมยุทธ์โจมตีขุนเขา: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 827 จอมยุทธ์โจมตีขุนเขา จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 827 จอมยุทธ์โจมตีขุนเขา คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 827 จอมยุทธ์โจมตีขุนเขา

จวนสกุลสวี่

ไป๋จีกับสวี่หลิงอินกำลังเล่นอยู่ในสวน ไล่ผีเสื้อท่ามกลางแปลงดอกไม้

หลังจากสวี่ชีอันเข้ามาไกล่เกลี่ย สวี่หลิงอินก็ยอมรับไป๋จีและถือว่ามันเป็นมิตรสหายไม่ใช่เหยื่อ

เนื่องจากเป็นมิตรสหายกันจึงกินกันไม่ได้แน่นอน

ในช่วงเวลานี้ทั้งสองชีวิตเล่นด้วยกันทุกวัน มีความคิดเหมือนกัน (เชาวน์ปัญญาเท่ากัน) ทั้งคู่ต่างรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคู่หูที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน

หลังจากเล่นไปได้สักพัก ไป๋จีก็เงยหน้าขึ้น มองดูเด็กเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วกระซิบถามว่า

“เจ้าขโมยขาไก่ข้าไปหรือ? เมื่อวานข้าอุตส่าห์เก็บไว้ให้ท่านป้า”

ใบหน้ากลมๆ ของสวี่หลิงอินตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด บังคับตัวเองให้พูดว่า

“ไม่ใช่ข้า!”

นางพูดเสียงดังราวกับคิดว่าสามารถใช้มันปกปิดความรู้สึกผิดของตัวเองได้

จิ้งจอกขาวตัวน้อยเอียงหัวแล้วพูดด้วยความสงสัย

“ไม่ได้เอาไปจริงๆ หรือ?”

สวี่หลิงอินส่ายหัวอย่างรุนแรง “อาจารย์ข้าต้องแอบกินไปแล้วแน่ๆ เจ้าก็รู้ว่านางตะกละขนาดไหนไม่ใช่หรือ?”

ไป๋จีเอียงหัวไปอีกด้านหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่นานและคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องจริง จึงเชื่อคำพูดของสวี่หลิงอินทันทีและพูดจาโกรธเกรี้ยว

“ใช่ นางตะกละอยู่แล้ว นางต้องขโมยขาไก่ของข้าไปแน่”

เสี่ยวโต้วติงถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกราวกับรอดพ้นเคราะห์กรรมมาแล้ว ด้วยไหวพริบ ความกล้าหาญ ความสงบและความเยือกเย็น จึงประสบความสำเร็จสามารถผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้

“ไม่สนุกแล้ว ข้าไปหาท่านป้าของข้าดีกว่า”

ไป๋จีทำตัวเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ติดแม่ขนาดหนัก

“แม่ของเจ้าไม่เห็นสวยเลย ข้าไม่อยากเห็นหน้านาง” ไป๋จีพูด

“แม่ของข้าสวยจะตาย” สวี่หลิงอิน เลิกคิ้วเล็กน้อย

“ไม่เห็นสวยเลย ป้าของข้าสวยที่สุด” ไป๋จียกอุ้งเท้าขึ้นแล้วตบลงพื้นอย่างแรง เพื่ออวดกำลังภายใน

“ถุย!”

เสี่ยวโต้วติงถ่มน้ำลายใส่มันด้วยความโกรธ

“ถุย!” ไป๋จีถ่มกลับทันที

สวี่หลิงอิน “ถุย ถุย…”

ไป๋จี “ถุย ถุย ถุย…”

สวี่หลิงอิน “ถุย ถุย ถุย ถุย…”

คนหนึ่งคนกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัวถ่มน้ำลายใส่กันเป็นเวลานาน ปากของพวกนางแห้งผาก จากนั้นทั้งคู่ก็แยกจากกัน โดยตกลงที่จะกลับมาตัดสินหาผู้ชนะในภายหลัง

ขนของไป๋จีเหนียวเหนอะ มันตรงเข้ามาที่ถังเก็บน้ำในห้องครัวทันทีและกระโดด “จ๋อม” ลงไป ร่างขนาดสองฝ่ามือของนางว่ายอยู่ในน้ำและแขนขาสั้นๆ ของนางพายไปเรื่อยๆ

หลังจากล้างน้ำลายของสวี่หลิงอินแล้ว มันก็กระโดดออกจากถังเก็บน้ำ สะบัดขนอย่างรุนแรง จนหยดน้ำมากมายกระเซ็นออกมา

จากนั้นมันก็กลายเป็นเงาสีขาวหายแวบไป มุ่งหน้าไปที่ห้องของมู่หนานจือ

‘ฟืด’…เมื่อได้ยินเสียงเปิดหน้าต่าง ไป๋จีก็เข้าไปในบ้าน สูดดมและได้กลิ่นที่คุ้นเคย

บนพื้นผ้า มู่หนานจือเหนื่อยล้าจนผล็อยหลับไป เผยให้เห็นไหล่กลมกลึงขาวผ่องราวหิมะ กระดูกไหปลาร้าที่ละเอียดอ่อนและคอเรียวยาวของนาง แน่นอนว่ายังเป็นใบหน้างดงามไร้ผู้เปรียบไม่ว่าจะในยามแย้มยิ้มหรือโกรธเกรี้ยวก็ตาม

เสื้อผ้าอาภรณ์เช่นผ้ารัดหน้าท้อง กระโปรง กางเกงผ้าไหมและถุงเท้าสีขาวกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น

‘ท่านป้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงอีกครั้งแล้ว’…ไป๋จีวิ่งไปกระโดดโลดเต้นบนเตียงอย่างมีความสุข ท้องกระแทกขอบเตียง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันดันขาหลังอย่างชำนาญสองสามครั้งแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง

ทุกครั้งที่เห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของป้า มันก็ไม่อยากเป็นสุนัขจิ้งจอกอีกต่อไป แต่อยากเป็นสุนัขที่แลบลิ้นเลียแก้มอย่างมีความสุข

“ถุย ถุย…”

ไป๋จีหันหน้าไปและถ่มน้ำลายหลายครั้ง

บนหน้าป้ามีแต่กลิ่นสวี่ชีอัน มันไม่ชอบใจเลย

ขนตาของมู่หนานจือขยับเล็กน้อย แล้วพอนางตื่น นางก็เช็ดน้ำลายบนใบหน้าของนางก่อน จากนั้นจึงยื่นแขนไปอุ้มสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวน้อยขึ้นมา วางมันลงบนเนินอกของนางและพูดอย่างเกียจคร้าน

“บอกแล้วนี่ว่าอย่ามากวนเวลานอน”

ไป๋จีรีบบ่นทันที

ในอรัญตาวันนี้ไม่มีเสียงภิกษุพร่ำบ่นบทสวดมนต์ มีเพียงความเงียบงันน่าขนลุก

บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์มีห้องโถงสองร้อยแปดแห่ง หนาแน่นไปด้วยภิกษุนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงจัตุรัสหน้าห้องโถงแต่ละห้อง ต่างพนมมือทำสีหน้าจริงจังราวกับกำลังรอหรือต้อนรับอะไรบางอย่าง

อรัญตามีศัตรู!

เมื่อไม่นานนี้

ฉานซือมากกว่าสี่พันรูปและจอมยุทธ์ภิกษุมากกว่าห้าพันรูปทั้งวิตกกังวลและมั่นใจไปพร้อมๆ กัน

วิตกกังวลว่านี่เป็นการเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียวในชีวิตของพวกเขา ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าจะสั้นหรือยาว อรัญตาดำรงอยู่อย่างศักดิ์สิทธิ์เสมอมาไม่มีผู้ใดกระด้างกระเดื่อง ไม่เคยมีศัตรูคนใดกล้าโจมตีอรัญตา

มั่นใจจากการที่ฉานซือมากกว่าสี่พันรูปได้กางค่ายกลฉานขึ้น ห้องโถงหลักสองร้อยแปดแห่งเป็นดวงตาสองร้อยแปดดวง มีพระโพธิสัตว์สามองค์ในค่ายกลหลัก สามารถอธิบายได้ว่าการป้องกันมีความมั่นคงไม่สามารถทะลุทะลวงได้

ในโลกนี้มีใครที่สามารถทำลายค่ายกลอันน่าทึ่งนี้ได้?

“ทำสมาธิ!”

ทันใดนั้น พระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่ไม่อาจแยกได้ว่าเป็นชายหรือหญิง ก็เปล่งเสียงดังผิดปกติขึ้นในหูภิกษุทุกรูป

ภิกษุเกือบทั้งหมดหนาวจับขั้วหัวใจจากจิตใต้สำนึก ราวกับว่าจอมยุทธ์ภิกษุกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม ฉานซือเข้าสู่สมาธิทันทีโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

ที่ตีนเขาอรัญตา มียักษ์ใหญ่ไร้หัวร่างกำยำยืนอยู่อย่างองอาจอหังการ์

ท่อนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรง ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าลินิน

หน้าอกของมันส่องแสงเหมือนดวงตา

เสินซูเป็นถ่านที่ร้อนแดง อากาศรอบตัวมันบิดเบี้ยวเหมือนน้ำเดือด

นี่เป็นกำลังที่ ‘ฟ้าดินมิอาจทานทน’ กำลังอันเป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งยืนอยู่ที่นั่นทำให้ฟ้าดินปั่นป่วน

เมื่อสวี่ชีอันต่อสู้กับ ‘ถิ่นทุรกันดาร’ โพ้นทะเล ก็เกิดสถานการณ์ดังกล่าวนี้ขึ้นเช่นกัน

ฉานซือบนอรัญตาได้ปักหลักแล้ว ในบ่อน้ำโบราณไม่มีแม้คลื่น ทว่าจอมยุทธ์ภิกษุที่ดูแลอยู่ด้านข้างต่างหวาดกลัวและหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง

เสินซูก้าวไปข้างหน้า บังเกิดเสียงดัง ‘เปรี้ยง’ มันชนเข้ากับกำแพงแสงพุทธะสีทอง

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง