ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่ ก็ขอวาดรูปแป้งทอด[1]เพื่อเก็บข้อมูลสักหน่อยเสียก่อนเถอะ ถ้าหากหมายเลขหกเป็นคนร้าย สวี่ชีอันก็จะโยนเขาออกไปเพื่อลดจำนวนมนุษย์หมาป่าในพรรคฟ้าดิน
แน่นอนว่าก่อนที่จะทำเช่นนี้ได้ เขายังต้องหลอกเอาที่ซ่อนตัวของหมายเลขหกเสียก่อน เป็นการรับรองว่าจะหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต เพราะพลังของหมายเลขหกนั้นแข็งแกร่งมาก
ย่องไปจวนของผิงหย่วนป๋อยามดึกดื่นแล้วสังหารเขา ซ้ำยังทำร้ายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจนบาดเจ็บสาหัสแล้วซ่อนกายได้อย่างง่ายดาย นี่ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นกลางอย่างแน่นอน ถึงขั้นอาจจะทรงพลังยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ
ถ้าหากมีเหตุผลในการก่อเรื่อง เขาก็จะให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ แล้วสร้างภาพลักษณ์สูงส่งของกัปตันเฉินจิ้นหนานในพรรคฟ้าดินขึ้นเสีย
เว่ยเยวียนให้เขาเป็นสายลับ แต่ไม่ได้ให้เขาซุ่มดำน้ำตลอดไป จำเป็นต้องทำผลงานสักหน่อย
‘หมายเลขสามช่วยได้จริงหรือ’
‘เขาสามารถพาหมายเลขหกหนีไปท่ามกลางการเสาะหาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับกองดาบได้จริงหรือ’
‘เขาเป็นใคร เป็นแค่ศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเท่านั้นหรือ’
‘ช่วงเวลาแบบนี้ ถ้าหากไม่มีสถานะตัวตนที่สมเหตุสมผลล่ะก็ แม้ว่าจะเดินอยู่ในเมืองชั้นในก็ต้องถูกจับกุมคาที่แน่นอน’
‘กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาสามารถใช้งานกองดาบหรือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างนั้นหรือ’
ประโยคนี้ของสวี่ชีอันทำให้เหล่าผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีผุดความคิดขึ้นมามากมาย ลอบคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา แล้วไตร่ตรองถึงการกระทำขั้นต่อไป
‘เก้า: ฮ่าๆ ถ้าหากหมายเลขสามยินดีช่วยเหลือ เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา หมายเลขหก เจ้าห้ามปกปิดล่ะ’
‘นักบวชเต๋าจินเหลียนมั่นใจว่าหมายเลขสามสามารถช่วยกำจัดวิกฤตของหมายเลขหกได้…เช่นนั้นหมายเลขสามย่อมไม่ใช่ศิษย์ลัทธิขงจื๊อธรรมดา เขาจะต้องมีตัวที่ลึกลับและสูงส่งยิ่งกว่านี้แน่นอน…คนใหม่ที่นักบวชเต๋าจินเหลียนชวนมาครั้งนี้ไม่ใช่เล่นๆ เลย’
เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินกระตุ้นสติแล้วอยู่เงียบๆ เฝ้าดูการพัฒนาของการกระทำที่ผิดพลาดอย่างเงียบงัน
‘หก: ศิษย์น้องของข้าคนหนึ่งหายตัวไป หายไปหนึ่งปีแล้ว ข้าสงสัยว่าเขาจะถูกคนลักไปขายแล้วส่งออกจากเมืองหลวงผ่านทางลับ จากการสอบถามและตรวจสอบในหลายๆ ด้าน ข้าก็มุ่งเป้าไปที่องค์กรนายหน้าแห่งหนึ่ง พวกมันลักพาและจับตัวหญิงสาวกับเด็กไปขายให้กับหอนางโลม พรรคกระยาจก และสถานที่อื่นๆ ที่ต้องการผู้หญิงกับเด็ก พวกมันไม่ใช่แค่ขายเด็กกับสตรี แต่ยังลักพาตัวผู้ฝึกตนด้วย ประโยชน์ใช้สอยจริงๆ ข้ายังสืบไม่พบ สุดท้ายข้าพบว่าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังองค์กรนายหน้าแห่งนั้นก็คือ ผิงหย่วนป๋อ’
‘สาม: ดังนั้นเจ้าจึงสังหารคนเพราะความโกรธหรือ’
‘หก: ข้าแอบเข้าไปในจวนผิงหย่วนป๋อ แล้วบีบบังคับถามว่าศิษย์น้องอยู่ที่ใด แต่ไร้ประโยชน์ ข้าจึงสังหารเขา ทำบาปโปรดสัตว์’
‘หนึ่ง: เจ้าใช้กำลังทำผิดกฎหมาย เหตุใดไม่รายงานทางการ’
หมายเลขหนึ่งไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการของหมายเลขหก
‘สอง: ไร้สาระ ถ้ากฎหมายมีประโยชน์จริง ผิงหย่วนป๋อต้องถูกลงโทษนานแล้ว ขุนนางปกป้องขุนนาง เหนือศีรษะเพียงสามฟุตมีเทพยดารู้เห็น ความยุติธรรมมีอยู่แต่ในดาบเท่านั้น’
…นี่มันวัยรุ่นเลือดร้อน! ความจริงก็สามารถรายงานผิงหย่วนป๋อได้ การฆ่าคนช่างไม่ฉลาดเลยจริงๆ สวี่ชีอันเอ่ยในใจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าหมายเลขหกมีอุปนิสัยทื่อตรงจนถึงขั้นหุนหันพลันแล่น และเป็นคนชอบใช้กำลังเพื่อสยบคน จุดนี้ค่อนข้างเหมือนกับลัทธิขงจื๊อ
หมายเลขหนึ่งราวกับดูแคลนการโต้เถียงกับหมายเลขสอง จึงไม่ได้ตอบกลับ
‘หก: ข้ามีเหตุผล ในหนึ่งปีนี้ ข้าได้ช่วยเหลือเด็กมากมาย พวกเขามีบางคนที่ถูกตัดขาตัดแขนให้คลานขอทานอยู่ข้างถนน เด็กที่ฉลาดขึ้นมาหน่อยก็ถูกฝึกให้กลายเป็นโจร ส่วนที่ทำให้โกรธจนผมตั้งก็คือ…ข้าเคยช่วยเหลือเด็กคนหนึ่ง นายหน้าให้เขาแสร้งทำเป็นหมาดำ สอนคำพูดมงคลให้สองสามประโยค จากนั้นก็ให้ไปเอาใจขอรางวัลจากชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง’
‘หนึ่ง: เรื่องจริงหรือ!’
‘หก: แน่นอน’
หมายเลขหนึ่งไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน
‘สาม: เจ้าโน้มน้าวข้าได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ข้าจะรังเกียจทหารที่ใช้กำลังทำผิดกฎหมาย ทำอะไรไม่ใช้สมอง แต่ข้าก็ยินดีช่วยเหลือเจ้า’
สวี่ชีอันระงับไฟโทสะที่สุมทรวงแล้วเลียนแบบบุคลิกของสวี่เอ้อร์หลาง พูดด้วยน้ำเสียงที่คนในลัทธิขงจื๊อสมควรมี
‘สอง: อืม ตอนนี้ข้าเห็นด้วยกับหมายเลขสาม’
‘สี่: ซื่อตรงไม่เสแสร้ง หากมีเวลามาร่ำสุราด้วยกันเถิด’
‘หก: ขอบคุณมาก’
พวกเขาล้วนไม่ได้ตะโกนเรียกชื่อหมายเลขสาม คาดว่าในใจคงรู้ดีว่าเฉินจิ้นหนานอะไรนี่เดิมทีก็ไม่ใช่ชื่อจริงของหมายเลขสามอยู่แล้ว
‘สาม: เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใด’
‘หก: ในคลองส่งน้ำนอกจวนผิงหย่วนป๋อ’
คลองส่งน้ำก็คือท่อระบายน้ำเสีย เป็นสถานที่ที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ยุคสมัยนี้ไม่มีคนงานทำท่อระบายน้ำ คนธรรมดาจึงไม่เข้าไปใกล้ กลายเป็นจุดบอดในการตรวจสอบ
แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น รอให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเรียกรวมกำลังคนแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยจุดนี้ไป
‘สาม: ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารอข้าสักครู่’
สวี่ชีอันเก็บกระจกหยกใบเล็ก มือหนึ่งถือดาบ อีกมือลูบคาง ครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
พาเขาออกจากเมืองชั้นในก็ทำไม่ได้ ระหว่างทางมีกองดาบกับสหายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่
สิ่งที่สวี่ชีอันทำได้มีเพียงลืมตาข้างปิดตาข้างในพื้นที่ที่ตนลาดตระเวนเท่านั้น ทั้งยังต้องทำให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเมื่อกองดาบและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปิดล้อมรอบด้านแล้วเข้าตรวจสอบอย่างละเอียด เขาก็ไม่มีหนทางจะช่วยเหลือหมายเลขหกแล้ว
“เวลากระชั้นชิด ต้องคิดหาทางออกที่รอบคอบ…”
คิดจะช่วยหมายเลขหกก็ต้องปกปิดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและโหรของสำนักโหราจารย์ไปพร้อมๆ กัน เช่นนั้นสวี่ชีอันต้องทำสองอย่าง หนึ่งคือช่วยหมายเลขหกหาที่ซ่อนตัว สองคือช่วยเขาปกปิดกลิ่นอาย
อย่างแรกไม่ยาก แค่เพียงต้องรับมือกับคืนนี้เท่านั้น พรุ่งนี้เช้าหมายเลขหกก็สามารถแสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาแล้วหนีออกจากเมืองได้ด้วยตัวเองแล้ว
สถานะของผิงหย่วนป๋อยังไม่พอที่จะทำให้ปิดประตูเมืองชั้นในตลอดเวลา เมื่อฟ้าสางย่อมต้องเปิดประตูเมือง
จุดที่ยากก็คือจะปกปิดกลิ่นอายของหมายเลขหกอย่างไร
“หลังฆ่าคนก็ยากจะหลีกเลี่ยงการแปดเปื้อนปราณพิฆาต สิ่งนี้ปิดบังวิชามองปราณของโหรของสำนักโหราจารย์ไม่ได้ หรือจะไปทำข้อตกลงกับซ่งชิงอีกครั้ง ไม่ได้ ข้อตกลงครั้งก่อนข้ายังไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน จนถึงตอนนี้ตารางธาตุก็ยังไม่ได้ส่งมอบให้สำนักโหราจารย์ อีกอย่าง ซ่งชิงก็เขี้ยวกับข้าเหมือนกัน คิดจะให้เขาช่วยเหลือในเรื่องเช่นนี้ก็ยากอยู่สักหน่อย เว้นเสียแต่ข้าจะนอนกับคนงามฉู่ไฉ่เวยผู้นั้น…”
ถึงแม้หนังสือปฐพีจะสามารถเก็บคนเข้าไปได้ แต่เหล่าสมาชิกของพรรคฟ้าดินก็ไม่ได้พูดถึงเศษความสามารถนี้ สวี่ชีอันเดาว่าคงไม่อาจปกปิดกลิ่นอายได้และคงจะถูกวิชามองปราณตามหาพบแน่
จุดสำคัญก็คือการปกปิดกลิ่นอาย…สวี่ชีอันมีวิธีหนึ่งที่สามารถนำมาลองใช้ได้ ซึ่งก็คือความมั่นใจที่ทำให้เขากล้าเสแสร้งอย่างเปิดเผยใน ‘กลุ่มแชทหนังสือปฐพี’ นั่นเอง
เขาหยิบตำราออกมาแล้วพลิกหน้าตำราเสียงดังพึ่บพั่บ จากนั้นก็หากระดาษหน้าหนึ่งในนั้นพบ บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ใบไม้บังตา!’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง