บทที่ 830 ตะลุมบอน
เผชิญหน้ากับการโจมตีของยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์สองคน พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไม่เลือกที่จะป้องกันอย่างน่าประหลาด แต่เรียกหาร่างธรรมเทพอารักษ์ที่มีแขนสิบสองคู่อยู่ข้างหลัง ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังและความน่าเกรงขาม
ร่างธรรมเทพอารักษ์มีรอยตราเปลวไฟตรงหว่างคิ้ว วงแหวนเพลิงเผาไหม้ลุกโชนหลังศีรษะ ทันทีที่เขาปรากฏตัว พลังอำนาจอันมืดฟ้ามัวดินก็มาถึง วางมาดประจันหน้ากับเสินซูที่อยู่ข้างหลังและสวี่ชีอันที่อยู่ข้างหน้ารำไร
พลังทั้งสามปะทะกัน บิดเบี้ยวที่ว่างบริเวณโดยรอบ
หลังจากเรียกหาร่างธรรมเทพอารักษ์ เจียหลัวซู่หันหลังทันที บังคับร่างธรรมเทพอารักษ์เข้าหาเสินซูก่อน
‘เคร้งๆๆ’…ท่ามกลางเสียงปะทะกันที่เต็มไปด้วยเนื้อโลหะ ร่างธรรมเทพอารักษ์ทั้งสอง ฝ่ามือของแขนยี่สิบสี่คู่สัมผัสกัน นิ้วทั้งห้าประสานกัน เริ่มประลองกำลังกัน
‘ครืน!’
ใต้ฝ่าเท้าร่างธรรมทั้งสอง หินภูเขาแตกร้าว รอยแตก ‘แครก’ ลุกลามถึงภายในภูเขา แบ่งแยกก้อนหิน
การประลองกำลังของร่างธรรมทั้งสองเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีพลังปราณปะทะกัน พลังทั้งหมดซึ่งกันและกันถ่ายทอดสู่ตัวภูเขาผ่านขาสองข้าง รอยแตกขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ดินหินร่วงกราว
ยามนี้ พวกจอมยุทธ์ภิกษุกำลังแบกฉานซือหนีไปยังส่วนลึกของอรัญตาอย่างบ้าคลั่ง ผู้ที่ช้ากว่านั้นจะถูกรอยแตกบนพื้นกลืนกินทันที
สวี่ชีอันกระโดดขึ้นสูง สองมือจับด้ามดาบ ชูดาบสยบดินแดนขึ้นสูงเหนือศีรษะ โจมตีท้ายทอยของร่างธรรมเทพอารักษ์อย่างรุนแรง
ด้วยพลังปะทุของเขาในยามนี้ โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำลายร่างธรรมเทพอารักษ์ซึ่งเป็นอาวุธป้องกันอันดับสองของสำนักพุทธได้
ในเวลานั้น ร่างธรรมกายทองสูงสิบเมตรปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ร่างธรรมนี้พนมมือ ศีรษะก้มต่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตา
“มหาเมตตากรุณา พากเพียรอุตสาหะ แสวงหาความดี เป็นประโยชน์ทั่วหล้า
เมื่อสิ้นเสียง ฟ้าดินเต็มไปด้วยเสียงคาถา แสงสีทองส่องลงมาจากท้องฟ้า ตกกระทบบนร่างธรรมมหากรุณา ให้ร่างธรรมสิบเมตรเปล่งแสงสีทองขจรขจาย
แสงสีทองนี้สะท้อนในดวงตาของสวี่ชีอัน ทำให้เขาเกิดอารมณ์โศกเศร้าและขุ่นเคืองโดยไม่มีเหตุผล ยากที่จะสะบั้นดาบสยบดินแดนในมือลงไป
ร่างธรรมมหากรุณาคือเล่ห์กลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน
เห็นเช่นนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ลังเลแม้แต่น้อย เทพเจ้าหยางละทิ้งกายเนื้อ ดวงตาวูบไหวแสงสีทอง ส่องไปยังสวี่ชีอัน
เทพเจ้าหยางคือสิ่งที่ก่อตัวขึ้นหลังจากสำเร็จแก่นปราณ แก่นปราณทำลายหมื่นวรยุทธ์ เทพเจ้าหยางก็เช่นเดียวกัน เขาต้องช่วยจอมยุทธ์หยาบกระด้างทำลายผลลัพธ์ของ ‘มหาเมตตากรุณา’
ในขณะนี้ ท้องฟ้าแจ่มใสถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ สายฟ้าขนาดใหญ่เท่าอ่างน้ำผ่าลงมากะทันหัน กระทบกายเนื้อของนักบวชเต๋าจินเหลียน
เจ้าแห่งวัสสานลงมือแล้ว
น่าหลันเทียนลู่ที่ดักซุ่มอยู่ไกลๆ คว้าโอกาส จู่โจมอย่างไม่ลังเล
เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองเรียกลมเรียกฝน เชี่ยวชาญที่สุดในการควบคุมสภาพอากาศ ใช้ทัณฑ์สวรรค์ให้เป็นประโยชน์
ถ้าน่าหลันเทียนลู่สำแดงพลังทั้งหมดของเจ้าแห่งวัสสาน ผ่านการสะสมพลัง ถึงขนาดเรียกทัณฑ์สวรรค์ ให้นักบวชเต๋าจินเหลียนเผชิญเคราะห์เซียนครองพิภพล่วงหน้าได้
ถ้าจินเหลียนตายด้วยเคราะห์สวรรค์ น่าหลันเทียนลู่ไม่ได้รับผลสะท้อนกลับด้วยซ้ำ เพราะฆาตกรคือเคราะห์สวรรค์ มีอะไรเกี่ยวข้องกับน่าหลันเทียนลู่
ในระดับขั้นสอง เจ้าแห่งวัสสานพุ่งเป้ามายังลัทธิเต๋า
ซุนเสวียนจีข้างๆ ตอบสนองเร็วอย่างยิ่ง ค่ายกลส่งตัวใต้ฝ่าเท้าขยายกว้างออกไป ห่อหุ้มกายเนื้อของนักบวชเต๋าจินเหลียน วินาทีต่อมาก่อนสายฟ้าฟาด พาเขาส่งตัวไปไกลหลายสิบเมตร
‘เปรี้ยง!’
สายฟ้าโจมตีพื้นดินข้างล่าง ระเบิดก้อนดินขึ้นมาหลายร้อยกิโลกรัม กลายเป็นหลุมลึกเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามเมตร
วงแหวนเพลิงตรงท้ายทอยของอาซูหลัวลุกโชนดัง ‘ฟึ่บ’ จากนั้น ราวกับเครื่องบินรบ ท่ามกลางเสียงคลื่นกระแทกรุนแรง เขาพุ่งไปหาน่าหลันเทียนลู่
ในระหว่างนี้ ซุนเสวียนจีตั้งป้อมปืน สาดกระสุนใส่น่าหลันเทียนลู่ ซื้อเวลาให้อาซูหลัว แต่กระสุนปืนใหญ่หลายลูกเบี่ยงวิถี บ้างก็เลี้ยวซ้ายและขวา บ้างก็ยิงขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง โจมตีพลาดเป้าทั้งหมด
เรียนรู้กฎเกณฑ์ก่อน จากนั้นสร้างผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ง่ายๆ เช่น เปลี่ยนแปลงรัศมีการยิงปืนใหญ่ เปลี่ยนแปลงระยะทางบินของวรยุทธ์ เปลี่ยนแปลงขนาดของระยะก้าว
เมื่อถึงระดับเจ้าแห่งวัสสาน ก็ควบคุมกฎเกณฑ์ฟ้าดินได้เบื้องต้น
แน่นอน ลัทธิขงจื๊อแก้ไขกฎเกณฑ์อย่างเรียบง่ายมุทะลุ ระหว่างทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญ
น่าหลันเทียนลู่ถอยหลังอย่างรวดเร็ว ผ่านการแก้ไขกฎเกณฑ์ ให้ความเร็วในการบินของตนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมา สำแดงวิชาสาปสังหารผ่านอากาศ!
ร่างกายภายนอกของอาซูหลัวยุบเป็นหลุมอย่างชัดเจน ราวกับแผ่นเหล็กถูกทุบตีอย่างรุนแรง
วิชาสาปสังหารสร้างแรงกดดันบนร่างเขาอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ รอยยุบจะทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน แม้อาการบาดเจ็บพวกนี้แทบจะเท่ากับไร้รอยขีดข่วนต่อบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรคนนี้ แต่ขัดขวางความเร็วในการบินของเขาได้เป็นอย่างดี
“กลับใจคือฟากฝั่ง!”
อาซูหลัวยิ้มเยาะท่องออกเสียง
พลังคาถากระทบบนร่างน่าหลันเทียนลู่ผ่านอากาศ ขัดขวางการถอยหนีของเขา ให้เขาหันกลับมาอย่างควบคุมไม่ได้
แต่วินาทีต่อมา พลังคาถาหายไป น่าหลันเทียนลู่ถอยหนีต่อไป
ยอดฝีมือระดับเดียวกัน เวลาที่คาถาส่งผลกระทบได้นั้นมีผลมาก
สองคนทั้งไล่ทั้งหนี ต่างฝ่ายต่างใช้วิชาสาปสังหารกับคาถาส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ตกอยู่ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้ออย่างน่าประหลาด
อีกฝั่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์หญิงชุดขาวราวหิมะ ผมดำขลับสยาย ปรากฏตัวตรงหน้าหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ
ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันโดยไร้ซึ่งลางบอกเหตุ
ไม่มีพลังงานกระเพื่อมแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ลมพัดมาด้วยซ้ำ ครู่ก่อนนางยังอยู่ทางห้องโถงหลักของอรัญตา ครู่ต่อมา ก็ก้าวข้ามระยะทางหลายร้อยเมตร
ยามนี้ ห้องโถงหลักของอรัญตายังมีเงาร่างเพริศแพร้วในชุดขาวพลิ้วไหว
นี่ไม่ใช่วิชาเคลื่อนย้าย แต่เป็นความเร็วสูงสุด
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ หว่างคิ้วกระตุกอย่างแรง ต่างคนต่างตอบสนอง แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของทุกคนนิ่งไป การกระทำของทุกคนติดขัด มือของจ้าวโส่วที่ขยับหมวกขงจื๊อค้างอยู่ตรงหน้าอก
หลี่เมี่ยวเจินทำท่าร่ายคาถา แต่ทำได้เพียงครึ่งเดียว
หางทั้งเก้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเพิ่งงอกออกมาได้สามนิ้ว ก็หยุดนิ่งอยู่ข้างหลังนาง
ราชาหมี…ราชาหมีนอนหลับอย่างสบายใจ
ในระยะสองร้อยเมตร สรรพสิ่งสรรพชีวิตสูญสิ้นสีสัน กลายเป็นสีขาวดำอันบริสุทธิ์
คนและสิ่งของก็เหมือนภาพถ่ายขาวดำ
‘แย่ แล้ว…สมอง ช้า ลง แล้ว…’ ความคิดของหลี่เมี่ยวเจินราวกับวัวจมปลักโคลน
‘นี่ ก็คือ ขอบเขตแก้วอัญมณีไร้สี…’ สมองของจ้าวโส่วแล่นเร็วกว่าหลี่เมี่ยวเจินเล็กน้อย
มีดหยกโค้งถูกชักออกมาจากแขนเสื้อพลิ้วไหวของพระโพธิสัตว์หลิวหลี จากนั้น นางมองจ้าวโส่วที่สวมหมวกขงจื๊อและถือดาบสลัก
ในขอบเขตที่แก้วอัญมณีไร้สีปกคลุม มีเพียงดาบสลักของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ยังคงเป็นสีดำดั้งเดิม ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
นางสรุปว่าจ้าวโส่วเป็นบุคคลที่มีอำนาจคุกคามมากที่สุดในหมู่เหนือมนุษย์ที่นี่
โชคดีที่ระดับในยามนี้ของเขา ยากที่จะแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงของดาบสลัก
ยามนี้ พระโพธิสัตว์หลิวหลีที่กำลังจะใช้มีดหยกแทงจ้าวโส่ว รู้สึกว่าความง่วงพรั่งพรูเข้ามาราวกับคลื่นทะเล ทำให้นางหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว สติพร่าเลือน เข้าสู่สภาวะสะลึมสะลือ
อาการหลับลึกเช่นนี้คงอยู่เพียงชั่วลมหายใจ หลิวหลีในฐานะพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งก็หลุดพ้นจากความง่วงอย่างรวดเร็ว
นางกำลังจะเสร็จสิ้นการกระทำ…แทงจ้าวโส่วด้วยมีดหยก
จู่ๆ ข้างหลังก็มีจิตสังหารอันน่ากลัวราวกับคลื่นคลั่งจู่โจมเข้ามา จากนั้น ขอบเขตแก้วอัญมณีไร้สีของนางก็ราวกับผิวกระจกที่แตกสลาย ‘เพล้งๆๆ’ แตกเป็นเสี่ยงๆ
พระโพธิสัตว์หลิวหลีไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใช้พลัง ‘ร่างธรรมธุดงค์’ หลบหลีกการโจมตีข้างหลังทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง