บทที่ 832 แม่พันธุ์ต้นโพธิ์
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก!
พระพุทธเจ้าออกโรงแล้ว
ทันทีที่พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเช่นนี้ สัญญาณเตือนในจิตใจของสวี่ชีอันก็ตื่นตัวขึ้นในฉับพลัน หากลางสังหรณ์ในวิกฤตคือเสียงกริ่งเตือน เช่นนั้นเสียงกริ่งในตอนนี้ก็คงทั้งดังสนั่นทั้งแหลมคมพร้อมกับรสชาติของ ‘ความลนลานและหวาดกลัว’
เร่งเร้าให้เขารีบหนีเอาชีวิตรอดโดยพลัน
นี่เป็นครั้งที่ลางสังหรณ์ในวิกฤต ‘บ้าคลั่ง’ ที่สุดตั้งแต่สวี่ชีอันก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์
ทุกเซลล์ในร่างกายของเขาส่งเสียงคำราม กระตุ้นให้เขาวิ่งหนีสุดชีวิต หากเขายังอยู่ที่นี่ก็มีเพียงหนทางแห่งความตายที่รอเขาอยู่
แต่สวี่ชีอันไม่วิ่ง แม้ว่าการพุ่งตัวขึ้นไปบนยอดเขาจะสั้นราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ตาม
ระหว่างกระบวนการนี้ เขาตะโกนคำรามจนเสียงแหบแห้ง “หนีไป!”
ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ!
พลังระดับสุดยอด อันดับหนึ่งแห่งร่างธรรมทั้งเก้า
ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชีอันเตือน ในช่วงเวลาที่ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะปรากฏขึ้น ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ทุกคนต่างก็รู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรีบเก็บหางโดยไม่ลังเล เดิมทีนางอยากจะลากอาซูหลัวท่านพี่ในนามกลับมาด้วย แต่ก็พบว่าเจียหลัวซู่และอาซูหลัวกำลังนั่งขัดสมาธิในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งอัญเชิญร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีออกมา คนหนึ่งมีวงล้อแสงอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นที่หลังศีรษะ แสดงถึงสถานะพร้อมสังหาร เข้าสู่สถานะทำสมาธิ
คนในสำนักพุทธมีวิธีการ ‘หลบหลีก’ พลังอันน่าสะพรึงของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ…ในขณะที่ความคิดของสตรีผมสีเงินกำลังพร่างพราว นางก็กลายร่างเป็นเงาสีขาวและพุ่งไปยังที่ห่างไกล ไปทางซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ
จ้าวโส่ว หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียน ทั้งสามรีบมุ่งไปหาซุนเสวียนจีอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่หลี่เมี่ยวเจินกำลังหนีเอาชีวิตรอด นางก็ถือโอกาสโยนเจดีย์พุทธะไปทางอรัญตา
ซุนเสวียนจียกเท้าขึ้นไปเหยียบ จากนั้นค่ายกลส่งตัวก็แผ่กระจายออก ปกคลุมผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ทุกคนไว้ด้านใน
มีเพียงเสินซูเท่านั้น หลังจากที่เห็นร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ ไม่เพียงแต่ไม่วิ่งไม่หวาดกลัว แต่กลับจมสู่ความบ้าคลั่งราวกับได้รับการกระตุ้นบางอย่าง
สะดือของเขาแยกออกจากกันกลายเป็นช่องขนาดใหญ่ที่โชกเลือดและพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง เขาหันกลับไปในฉับพลันและส่งเสียงคำรามดังสนั่นไปทางพระอาทิตย์ดวงใหญ่บนยอดเขา
“พระพุทธเจ้า!!”
ต่อมาชั่วครู่ แสงอันเจิดจ้าของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะก็เข้าปกคลุมทุกคน ปกคลุมสวี่ชีอัน ปกคลุมเสินซู และปกคลุมพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธ
…
ระยะห่างจากอรัญตาสิบลี้ ค่ายกลวงกลมอันเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนชั้นบรรยากาศอย่างไม่มีที่มาที่ไป จากนั้น ร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอยู่ใจกลางค่ายกล
ร่างสีดำเหล่านั้นล้มลงบนพื้นราวกับศพที่ไหม้เกรียม ไม่ว่าวิชาส่งตัวจะเดินทางเร็วเพียงใดก็ยังเร็วไม่เท่าแสงอยู่ดี
พวกเขายังคงถูกร่างธรรมพระมหาไวโรจนะสาดส่องในระยะเวลาอันสั้น
มีเพียงสตรีผมสีเงินเท่านั้นที่สามารถประคองสติได้และไม่สลบไสลไป
แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีผมสีเงินอีกต่อไป ทั่วทั้งร่างของนางกลายเป็นสีดำไหม้ หางและหูเกลี้ยงเกลาไร้ขนอันฟูนุ่ม ผมสีเงินอันงดงามก็สูญหายไป ทั่วลำตัวมีเพียงรอยไหม้สีแดงที่ปะปนอยู่ในรอยดำ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแทบจะไม่สามารถประคองร่างของตนเองได้ ลำคอเรียวของนางอ่อนระทวยพร้อมกับแจกันกระเบื้องเคลือบที่ถูกคายออกมา
อาวุธเวทมนตร์บนร่างของนาง รวมทั้งถุงเก็บของล้วนถูกเผาจนสิ้น มีเพียงแจกันกระเบื้องเคลือบที่เก็บไว้ในท้องเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางดึงจุกไม้ก๊อกออก เอียงปากขวดเพื่อกรอกเม็ดยาฟื้นฟูความแข็งแกร่งเข้าไปในปาก
หลังจากที่นางนั่งขัดสมาธินานกว่าสิบวินาที ในที่สุดพลังของนางก็ถูกฟื้นฟูในขั้นต้น
ในเวลานี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถึงพอที่จะมีพลังในการสำรวจพันธมิตร เพื่อดูว่าใครที่ยังมีชีวิตอยู่และใครที่ตายไปแล้ว
ร่างสีดำเกรียมที่ถือดาบอยู่ในมือคือจ้าวโส่ว มงกุฎขงจื๊อบนศีรษะของเขาถูกเคลือบไปด้วยละอองขี้เถ้าสีดำ ราวกับเพิ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาจากกองไฟ กลิ่นอายของจ้าวโส่วเสื่อมถอยลงอย่างมาก พลังชีวิตก็เหลือเพียงน้อยนิด
คนที่มีร่างสูงระดับทั่วไป มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นซุนเสวียนจี แม้ว่าเสื้อผ้าสีขาวจะถูกเผาจนเกรียม แต่บุคลิกธรรมดาของศิษย์อันดับสองของท่านโหราจารย์ท่านนี้เหมือนไก่ในฝูงนกกระเรียนที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรเช่นนั้น
ดังนั้นจึงสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนจินเหลียนและหลานเหลียนแห่งนิกายปฐพีสามารถแยกแยะออกได้โดยง่าย เนื่องจากความแตกต่างทางกายภาพระหว่างชายและหญิง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นผู้นำในการเดินไปที่เบื้องหน้าซุนเสวียนจี คลำหาบนร่างของเขา หยิบที่จัดเก็บอาวุธเวทมนตร์ที่แตกหักออกมาแล้วฉีกเบาๆ
อาวุธเวทมนตร์และยาอายุวัฒนะร่วงหล่นลงมาเป็นกองท่ามกลางเสียง ‘ซู่ๆ ซ่าๆ’
ขั้นแรกนางกินยารักษาหลายชนิดซึ่งให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน จากนั้นก็เดินไปข้างหลี่เมี่ยวเจิน ใช้นิ้วเปิดริมฝีปากของนางออกและป้อนยาเม็ดหนึ่งให้กับนาง
จากนั้นไม่นาน หลี่เมี่ยวเจินก็ตื่นขึ้น นางส่งเสียงร้องคร่ำครวญเบาๆ ด้วยจิตเดิมอันทรงพลังของนาง นางจึงควบคุมสภาพกายเนื้อของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ผิวหนังภายนอกส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้ อวัยวะภายในได้รับความเสียหาย พลังอันแข็งแกร่งกำลังฆ่าพลังชีวิตอย่างต่อเนื่อง
“เจ้ามีเสื้อผ้าหรือไม่?” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถาม
เสื้อผ้าบนร่างของพวกนางถูกเผาจนกลายเป็นผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดร่างกายได้ แน่นอนว่าด้วยสภาพราวกับซากศพที่ไหม้เกรียมของพวกนางในตอนนี้ จึงไม่หลงเหลืออารมณ์รักของหนุ่มสาวใดๆ อยู่
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า นางคลำหาในอ้อมแขนครู่หนึ่ง จนพบกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพี นางหยิบชุดกระโปรงออกมาสองชุด โยนชุดหนึ่งให้สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง และสวมอีกชุดหนึ่งให้กับตัวเอง ไม่นานหลังจากนั้น ภายใต้การช่วยเหลือของพวกนางทั้งสอง ในที่สุดจ้าวโส่วและคนอื่นๆ ก็ฟื้นคืนสติ
นักบวชเต๋าจินเหลียนนั่งขัดสมาธิ ในขณะที่ย่อยพลังของยาก็กล่าวเสียงทุ้มว่า “รีบรักษาบาดแผลเสีย จะได้รีบกลับไปดูสถานการณ์”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ตามที่คาดจริงๆ…”
แผนแรกที่พวกเขากำหนดคือรวบรวมพลังของทุกคนเพื่อสังหารเจียหลัวซู่ ในขณะเดียวกันก็ทดสอบบุคคลนั้นในอรัญตา
อันที่จริงพวกเขาไม่คิดว่าจะสังหารเจียหลัวซู่ได้อย่างราบรื่นด้วยซ้ำไป
แต่ในฉากสุดท้าย พระพุทธเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาอย่างที่คาดไว้
หลี่เมี่ยวเจินหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็รู้สึกหวาดกลัวครั้งแล้วครั้งเล่า
“นี่คือพลังที่แท้จริงของระดับสุดยอด…”
เพียงแค่ได้รับแสงสว่างจากพระมหาไวโรจนะเพียงครู่เดียวเท่านั้น นางก็เกือบจะตายไปอย่างไร้ร่องรอย หากไม่ใช่เพราะเคยมีการปรึกษาระหว่างกัน รู้จักวิธีจัดการกับการปรากฏของตัวของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ เกรงว่านางคงตายภายใต้แสงพุทธะอันเรืองรองเสียแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ก็รู้สึกหวาดผวาเช่นกัน
พวกเขารู้ว่าเมื่อใดที่พระพุทธเจ้าปรากฏตัวออกมาก็ย่อมเป็นการโจมตีที่รุนแรงแน่นอน
แต่การรู้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง การได้เห็นระดับสุดยอดลงมือเองอย่างแท้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
วันนี้พวกเขาถึงตระหนักได้ถึงระยะห่างระหว่างระดับสุดยอดกับระดับเหนือมนุษย์ ที่เป็นเหมือนระยะห่างระหว่างมนุษย์กับมด
จ้าวโส่วได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด เขาถูกวรยุทธ์สะท้อนกลับและได้รับบาดเจ็บจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้เขาไร้ซึ่งกำลังที่จะต่อสู้อีกต่อไป
แต่จ้าวโส่วก็ยังคงเข้าร่วมการสนทนาอย่างกระตือรือร้น “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า เมื่อครู่พระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธ รวมทั้งอาซูหลัวไม่ได้หนีแม้แต่น้อย แต่กลับนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์นี้เช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง