บทที่ 834 พวกคนที่ทำร้ายข้า จักต้องชดใช้
ด้วยเขตแดนไร้สีของพระโพธิสัตว์หลิวหลี ร่างธรรมสังสารวัฏของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน รวมถึงฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่
บัดนี้พระโพธิสัตว์ทั้งสามร่วมมือกันบุกโจมตี แม้แต่ยอดจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่มีวิชายุทธ์สมบูรณ์พร้อมก็ยังถูกพลังฟาดฟันกดทับ
อีกทั้งในยามนี้ตัวสวี่ชีอันสิ้นลมหายใจแห่งชีวิตไปแล้ว เป็นร่างกายประดุจซากศพที่ไหม้เกรียมเท่านั้น
ยามนั้นเอง อาซูหลัวที่อยู่ห่างออกไปได้หยิบอัฐิธาตุอันสว่างไสวออกมา และเอ่ยเสียงทุ้มลึกว่า
“ความปรารถนาประการแรก ข้าขอให้ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งอย่างสวี่ชีอันอยู่เคียงข้างข้า”
เขาเพิ่มคำเรียกขานนำหน้านามของสวี่ชีอัน เพื่อป้องกันไม่ให้อรหัตผลแสดงอิทธิฤทธิ์ผิดคน
เพราะถึงอย่างไรผืนฟ้าใต้หล้าจิ่วโจวก็นับว่ากว้างใหญ่ไพศาล คนแซ่สวี่ นามชีอัน ย่อมมีอยู่มากมายทั่วทุกสารทิศ
อรหัตผลพลันสว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง วินาทีต่อมา สวี่ชีอันที่เผชิญหน้าท่ามกลางวงล้อมของพระโพธิสัตว์ทั้งสามก็หายวับ แล้วปรากฏตัวอยู่ข้างกายอาซูหลัว
ภายในเขตแดนไร้สีที่โอบล้อมรอบเจียหลัวซู่ ร่างธรรมสังสารวัฏจึงไม่สามารถส่องกระทบสวี่ชีอันได้ ส่งผลให้พลังของเขาลดลง
‘นี่ นี่มัน เจ้าคนทรยศ…’ เนื่องจากเจียหลัวซู่ที่ร่างกายอยู่ในเขตแดนไร้สี หัวสมองของเขาเลยใคร่ครวญอย่างเชื่องช้าลง
หลังจากสูญเสียร่างธรรมวชิระไป พลังในการต่อสู้ของเขาก็ได้รับความเสียหาย จึงไม่อาจทำลายเขตแดนของพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้
แน่นอนว่า แม้ในยามที่มีพละกำลังมหาศาล ก็อย่าหาได้มีความคิดที่จะทำลายมัน
ถึงเจียหลัวซู่จะมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถบดขยี้พระโพธิสัตว์อีกสององค์ได้ เพราะพวกเขาต่างอยู่ในขั้นหนึ่งเหมือนกัน จึงไม่ห่างชั้นกันมากมายเพียงนั้น
อาซูหลัวอ้าปากกินอรหัตผลลงไป แล้วอุ้มร่างสวี่ชีอันขึ้นมาก่อนวิ่งผละจากมา
‘สามารถกักตัวเจียหลัวซู่ไว้ในเขตแดนไร้สีของพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้สำเร็จแล้ว ถ้าเขตแดนไม่ได้ถูกทำลายล่ะก็ ก็จำเป็นต้องพาตัวเองรีบหนีไปภายในสิบอึดใจ…นี่ข้าต้องกลั้นสิบลมหายใจระหว่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์หลิวหลีเชียวนะ สวี่หนิงเยี่ยนเจ้ารีบตื่นเร็วเข้าสิ…’ อาซูหลัวคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ขณะเหาะเหินพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของอรัญตา
จังหวะนั้นเองหน้าผากของเขาก็พลันเจ็บปวด ก่อนเสียง ‘ตึง’ และ ‘ตุบ’ จะดังตามมา
จากนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสที่มิอาจบรรยายได้ก็ถาโถมเข้าใส่ ทั้งกลืนกินและทำลายเจตจำนงของตัวเขา
ในสายตาของเขาได้สะท้อนใบหน้างามเย็นชาหมดจดแห่งแดนประจิม อาภรณ์สีขาวปลิวสะบัดพลิ้วไหว ช่างงดงามดุจภาพวาด
ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์หลิวหลีปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ก่อนตอกตะปูตอกวิญญาณกลางหน้าผากเขา
ตะปูตอกวิญญาณนี้เป็นชิ้นเดียวกันกับในตอนแรกที่สวี่ชีอันใช้ตอกลงบริเวณท้องของอาซูหลัว ภายหลังเขาได้ส่งมันคือให้กับตู้เอ้อร์ แล้วอีกฝ่ายได้นำมันกลับไปยังอรัญตา
เพราะถึงอย่างไรแรกเริ่มเดิมทีเขาก็ยังเป็นเพียงพระภิกษุแห่ง ‘อนิจจังทั้งสี่’ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนของผู้ทรยศอย่างเขาถูกพบเจอ ต่อให้ไม่อยากให้ก็จำเป็นต้องให้อยู่ดี
วิญญาณของอาซูหลัวอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ในยามนี้ ลางสังหรณ์ต่อสิ่งเลวร้ายของจอมยุทธ์ส่งผลให้มีอาการตอบสนองฉับไว บอกให้เขารีบหนีไป เพราะเบื้องหน้ามีภยันตรายรออยู่…
ทว่าความเร็วของพระโพธิสัตว์หลิวหลี กลับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าลางสังหรณ์ที่มี
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาปูดโปน นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ แสงสว่างเจิดจ้าและเปลวเพลิงแห่งสัญลักษณ์ระดับเต๋าแยกขันธ์ โผล่ขึ้นพันรอบขาขวา ก่อนที่กล้ามเนื้อส่วนขาจะพลันระเบิดออก
‘โพละ…’
ขาขวาของอาซูหลัวเวลานี้ประหนึ่งแส้โบกสะบัดไปมา ทว่าเขาไม่เกรงกลัวการต่อสู้ระยะประชิดกับพระโพธิสัตว์หลิวหลีแต่อย่างใด
ด้วยฐานะที่อยู่บนจุดสูงสุดของขั้นสอง ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าบุคคลส่วนใหญ่ในขั้นสองทั้งหมด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพระโพธิสัตว์หลิวหลี ที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด แม้จะเขาไม่สามารถล้มอีกฝ่ายได้ แต่ก็หาความจำเป็นต้องขลาดกลัวไม่
ท่อนขาดุจแส้สะบัดทำลายเงาร่างของพระโพธิสัตว์หลิวหลี
นางพลันปรากฏตัวขึ้นข้างหลังอาซูหลัวประหนึ่งภูตผี แล้วพุ่งตรงคว้าร่างไหม้เกรียมของสวี่ชีอัน
หลังจากหลิวหลีจับเข้าที่ข้อเท้าของสวี่ชีอันไว้ได้ นางก็ใช้ร่างธรรมธุดงค์เปลี่ยนความรวดเร็วเป็นพละกำลังอันแข็งแกร่ง แล้วออกแรงดึงร่างสวี่ชีอันโยนไปข้างหลัง ซึ่งมีพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และพระโพธิสัตว์กว่างเสียนอยู่
ก่อนปล่อยลำแสงที่เป็นรูปตัวอักษร ‘卍’ ออกมา พุ่งใส่ร่างของสวี่ชีอันอย่างจัง
หลังจากนางโยนสวี่ชีอันออกไป พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็เอามีดหยกสั้นออกจากแขนเสื้อ แล้ววาดแขนเหวี่ยง มีดแหลมคมพลันพุ่งเข้าใส่หลังคออาซูหลัวทันใด
เมื่อสาดซัดประกายวาบวับแยงตาออกไป มีดสั้นก็ตัดศีรษะของอาซูหลัวอย่างง่ายดาย
แต่ยามนี้เอง ร่างกายของอาซูหลัวกลับค่อยๆ เลือนหายไป ประหนึ่งภาพลวงตาของบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายธาร
และขณะเดียว เงาร่างของสวี่ชีอันก็หายไปเช่นเดียวกัน
นี่คือความปรารถนาประการที่สองของอาซูหลัว เป็นการนำของปลอมมาปะปนกับของจริง โดยอัญเชิญ ‘หุ่นเชิด’ ที่มีพลังวิญญาณต่ำออกมา ซึ่งเป็นความสามารถทั่วไปของอรหัตผล
และสาเหตุที่พระโพธิสัตว์หลิวหลีมองไม่ออกนั้น ก็เป็นเพราะหลังจากที่นางตอกตะปูตอกวิญญาณกลางหน้าผากอาซูหลัวแล้ว พลังวิญญาณของเขาก็ลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การรับรู้ของนางสับสนวุ่นวายในช่วงจังหวะนั้นพอดี
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดอาซูหลัวถึงไม่ได้ขอความปรารถนาประการที่สองทันที หลังความปรารถนาประการแรกสิ้นสุดลง เขากลับรอจนกระทั่งตนเองถูกตะปูตอกวิญญาณ ก้นบึ้งของจิตใจถึงได้ขอความปรารถนาประการถัดมา
ณ พื้นที่แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างราบเรียบซึ่งห่างไกลจากยอดเขาหลักเมื่อครู่ อาซูหลัวพลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแบกสวี่ชีอันไว้บนหลัง ยามนี้พวกเขาทั้งสองคนอยู่ใกล้กับลำธารสะกดปีศาจอย่างมาก
“อึก!”
ด้านหลิวหลีที่โดนเล่นลูกไม้ใส่ติดต่อกันถึงสองครั้ง ใบหน้างดงามก็ยิ่งทอความเย็นชา นางโบกสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครา ก่อนจะโผล่มาขวางอาซูหลัวในพริบตา
มิหนำซ้ำตอนนี้เขตแดนไร้สีได้เลือนหายไปแล้ว พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่จึงใช้สองขาเตะ ก่อนมีเสียงดัง ‘ตึง’ ขึ้น พื้นพสุธาเบื้องล่างพลันทรุดถล่ม จากนั้นเจ้าตัวก็พุ่งตัวกระโดดขึ้นสูงเพื่อไล่ตามมา
‘กึกกึก!’ ตัวอักษรรูป ‘卍’ และ ‘人’ บนกงล้อหมุนสว่างวาบขึ้น ก่อนลำแสงจะส่องพุ่งตรงไปยังอาซูหลัวและสวี่ชีอัน
เมื่อเห็นเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามล้อมเพื่อสังหารเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง อาซูหลัวจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขาได้พยายามสุดความสามารถแล้ว
ท่ามกลางสถานการณ์ที่โดนล้อมและไล่ตามสังหารจากศัตรูที่เป็นเหล่าบุคคลขั้นหนึ่งทั้งสามท่าน การที่ตนเองสามารถใช้วิชาอาคมและอาวุธอย่างชาญฉลาด พัวพันกับอีกฝ่ายมาจนถึงตอนนี้ได้ นับว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของชีวิตคนผู้หนึ่งแล้ว
ม่านหมอกดั่งเงาจันทร์พลันแผ่ปกคลุมอาซูหลัว พาให้เขาเลือนหายวับจากที่เดิม
เจียหลัวซู่พุ่งตัวลอยขึ้นในอากาศ ทว่าระหว่างนั้นสายตาของหลิวหลีได้ตกลงบนร่มเงาใต้ต้นไม้ที่ทำมุมทแยงไปทางขวา ณ จุดนั้นค่อยๆ ปรากฏเงาร่างสองร่าง เป็นรูปร่างของอาซูหลัวและร่างที่ดำไหม้เกรียม
“เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก เกือบตายเสียแล้ว…”
ร่างสีดำไหม้เกรียมยืดคลายกล้ามเนื้อและกระดูก เสียงลั่นกรอบแกรบของกระดูกดังขึ้น ผิวหนังตายดำไหม้พลันกะเทาะออกหลุดร่วงทีละชิ้นทีละชิ้น
ร่างธรรมสังสารวัฏไม่สามารถสังหารเขาได้ ทว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ได้พยายามต่อต้านพลังแห่งการทำลายล้างชีวิตมาต่อเนื่อง และฟื้นคืนจากความตายอีกครั้ง
กงล้อของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนค่อยๆ หยุดหมุนลงจนมาบรรจบกัน จากนั้นก็ปรากฏร่างธรรมมหากรุณาขึ้น
ร่างธรรมมหากรุณาเป็นวิชาอันแข็งแกร่งที่สุดของเขา อีกทั้งยังเป็นการรักษาชีวิตและการควบคุม ในยามนี้ที่เปลี่ยนจากการโจมตีมาเป็นการป้องกัน มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการแสดงความกลัวที่มีต่อสวี่ชีอัน
พระพุทธเจ้ากลืนกินพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้…พระพุทธเจ้าหาใช่พระพุทธเจ้า…หลังจากตื่นขึ้น สวี่ชีอันก็ได้รับข้อมูลจาก ‘ร่างแยก’ ของตนเองทันทีและรีบเข้าควบคุมสถานการณ์บางส่วน
เจียหลัวซู่สีหน้าเคร่งขรึมดั่งน้ำลึก เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งช่างโชคดียิ่งนัก ทว่าหลังได้รับการโจมตีจากร่างธรรมสังสารวัฏ ท่านจะยังมีพลังยุทธ์มากมายอีกหรือ?”
สวี่ชีอันมองกวาดพระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ ก่อนเอ่ยพลางแสยะยิ้ม
“แม้พลังการต่อสู้ของข้าจะได้รับความเสียหาย แต่หากเจ้าไม่มีร่างธรรมวชิระก็เป็นเพียงแค่ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ไร้ความสามารถไม่อาจทำสิ่งใดได้”
จากนั้นเขาก็หันมองพระโพธิสัตว์หลิวหลี “ข้ายืนอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเพื่อให้เจ้าใช้ความพยายามโจมตีอยู่นานตั้งสามวัน แล้วนี่เจ้าสามารถหักนิ้วข้าได้สักนิ้วหรือยัง?”
ก่อนกวาดสายตามองพระโพธิสัตว์กว่างเสียน แล้วยิ้มเยาะส่ายหัว
“ส่วนเจ้าแค่ปกป้องตนเองเป็นหลัก แล้วเชื่อฟังคอยเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เถิด พระโพธิสัตว์ทั้งสามอย่างพวกเจ้านั้น จะทำอะไรข้าได้กัน!”
นี่คือความมั่นใจของยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่ไร้ความหวาดกลัว แม้จะกล่าวว่าเหล่าพระโพธิสัตว์จะมีวิธีการอันฉลาดเฉลียวและยังสามารถป้องกันตนเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็จดจ่อกับการป้องกันตัวเองมากเกินไป กลับกันแล้วอีกฝ่ายดันใจกล้าบ้าบิ่นคิดทำตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ อรัญตาก็สั่นสะเทือนราวกับจะเผชิญกับแผ่นดินไหว ทุกหนแห่งต่างเกิดดินถล่ม พร้อมกับมีก้อนหินขนาดใหญ่กลิ้งตกลงมา
เมื่อหินกะเทาะแตกออกให้เห็นภายใน พลันปรากฏเป็นก้อนเนื้อนิ่มสีแดงอ่อนที่ขยับไหวสลับกันเดี๋ยวขยายตัวเดี๋ยวหดตัว
เวลานี้ทั่วทั้งอรัญตากลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีเลือดเนื้อขนาดใหญ่มหึมา
ในยามนี้เอง สัตว์ประหลาดตนนี้ได้ฟื้นคืนชีพแล้ว
เสินซูตกอยู่ในอันตรายของจริงเข้าแล้ว…ในใจสวี่ชีอันสั่นไหว
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนที่มีรูปลักษณ์พระภิกษุหนุ่ม ยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง
“เจ้าคิดว่าเสินซูจะนำศีรษะกลับไปได้หรือ? คิดว่าพวกเราไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลย? คงไม่ใช่ว่าเจ้ายังคิดว่าเมื่อภัยพิบัติกำลังจะมาถึง แล้วเราจะประนีประนอมยอมให้เจ้าเอาศีรษะของเสินซูไปหรอกนะ?”
แม้น้ำเสียงของเขาจะดูเย็นชา สีหน้าราบเรียบ ทว่าในคำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับแฝงแววล้อเลียนดั่งมองว่าผู้ฟังนั้นโง่เขลายากจะเข้าใจในสิ่งที่ตนสื่อ
จากนั้นพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้มีสุ้มเสียงไพเราะเสนาะหู เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์อันงดงามของหญิงสาวก็เอ่ยเสริมว่า
“ฆ้องเงินสวี่ เจ้าจะดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว ทั้งยังดูถูกพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน”
ด้านเจียหลัวซู่สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เอ่ยออกมาช้าๆ
“ในดินแดนจงหยวนมีคำกล่าวที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!
“สวี่ชีอัน คนที่สำนักพุทธเชิญชวนก็คือเจ้ากับเสินซู
“เมื่อพระพุทธเจ้าปราบเสินซูลงแล้ว มันก็จะเป็นวันตายของเจ้าเช่นกัน เป็นเรื่องจริงที่พวกข้าไม่อาจสังหารเจ้า แต่ปล่อยให้เจ้ารอดไปก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก ในเมื่อหาเจ้าเจอคู่แค้นในดินแดนจงหยวนแล้วก็ชำระบัญชีมันเสียวันนี้!”
ด้านสวี่ชีอันลอบกระซิบว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง