ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 838

บทที่ 838 เปิดเผยตัวจริง

‘ศพโบราณที่ยงโจว อรหันต์ตู้ฉิงเป็นคนสังหาร?!’

หลี่เมี่ยวเจินและนักบวชเต๋าจินเหลียนหันหน้ามองไปที่สวี่ชีอันอย่างแปลกใจ

พวกเขารู้จักศพโบราณที่วังใต้ดินดีที่สุดและ รู้ว่าศพโบราณที่ถูกทิ้งไว้หลายพันปีก่อนนั้นได้ ‘ตายอย่างโหดร้าย’ เมื่อไม่นานมานี้

แต่อย่างไรก็ไม่คาดคิดว่า ‘การตาย’ ของศพโบราณจะเกี่ยวข้องกับอรหันต์ตู้ฉิง

อาซูหลัวและจ้าวโส่วรวมถึงซุนเสวียนจี ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าใดนัก สีหน้าจึงไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ อยู่ด้านข้างและอยากรู้จุดประสงค์ที่สวี่ชีอันเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

ในคุก แสงตะเกียงเล็กราวกับเม็ดถั่วส่องแสงสีเหลืองสลัวราง อรหันต์ตู้ฉิงนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบ

“ผู้ละทิ้งทางโลกไม่มุสา ดังนั้นจึงนิ่งเงียบ ถือเป็นการยอมรับเรื่องปลอมกายใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันหัวเราะ

“ตอนแรกในหมู่ยอดฝีมือเหนือสามัญที่ยงโจวนั้น นอกจากเจ้ากับระดับเพชรสองคนแล้ว ก็ยังมีเทพเจ้าหยางสองคนจากนิกายสวรรค์และข้ากับราชครู สองคนท้ายตอนนี้ตัดออกไปได้เลย ดังนั้นผู้ที่สังหารศพโบราณยงโจว นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครทำได้อีกเล่า”

ในตอนนั้นศพโบราณอยู่ในสภาวะถูกผนึก หากระดับเพชรขั้นสามคิดจะสังหารศพโบราณก็ไม่นับว่ายากเย็น แต่จะต้องทำให้เกิดความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ทว่าในเวลานั้นเมื่อสวี่ชีอันกลับไปยังสุสานโบราณของวังใต้ดินก็เห็นเพียงแค่ศพโบราณที่ถูกทำลายสติปัญญาไปโดยที่ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ดุเดือดใดๆ

ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ จะต้องมีระดับพลังขั้นกดดันจนแหลกลาญและอรหันต์ขั้นสองคนหนึ่งก็สอดคล้องอยู่พอดี

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วเอ่ย

“แต่ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเจ้ากล่าวว่าเจ้าของสุสานโบราณกลับมาหรอกหรือ? อีกอย่าง เหตุใดตู้ฉิงถึงต้องสังหารศพโบราณด้วย?”

ความชอบความสนใจในด้านสืบสวนคดีของหลานเหลียนถูกดึงออกมาแล้ว

ทุกคนต่างพากันมองไปที่สวี่ชีอัน

จากนั้นก็เป็นการเชื่อมโยงเบาะแสของฆ้องเงินสวี่ที่ใครๆ ต่างก็จับจ้อง…สวี่ชีอันเล่นมุกตลกอยู่ในใจ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวอธิบายเสียงเบา

“เริ่มแรกข้าก็มีความคิดนี้อยู่จริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจพวกสำนักพุทธ แต่ถ้าหากผู้ที่สังหารศพโบราณคือเจ้าของสุสานคนนั้น ด้วยระดับขั้นของข้าและพลังฝึกตนของเขา เหตุใดเขาไม่พุ่งมาที่ข้าตรงๆ เลยล่ะ?

กลับไปฆ่าปิดปากศพโบราณเหมือนกับทำลายหลักฐานอย่างนั้น”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ความคิดของเขาในตอนนั้นคือ เจ้านายของสุสานกังวลเรื่องเหตุต้นผลกรรมที่อยู่บนตัวของฆ้องเงินสวี่ จึงไม่ได้หุนหันลงมือ

ความคิดนี้ก็ย่อมมีเหตุผล บวกกับตอนนั้นพลังฝึกตนยังมีจำกัด ศัตรูตัวฉกาจที่สุดคือสวี่ผิงเฟิงจากสำนักพุทธ ดังนั้นสวี่ชีอันจึงไม่ได้สนใจเจ้าของสุสานโบราณ ถือคติว่าปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก ไม่ใช่ต้องคิดจนสมองแตกเพื่อไปไล่ตาม

“ต่อมาตอนที่ไปนิกายสวรรค์เพื่อพาตัวเมี่ยวเจินไป ข้าก็ได้รู้จากเทพสวรรค์ว่าร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นข้าจึงคิดว่าถ้าหากร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋ายังไม่ตาย เขาจะเป็นใครกันนะ? วันเวลาผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เขาไปที่ใดแล้วนะ?”

“เขาคิดจะพูดอะไรกันแน่” อาซูหลัวขมวดคิ้ว

“อย่ามาทำอุบอิบจะได้หรือไม่”

สวี่ชีอันไม่สนใจเขา เพียงหัวเราะหึๆ “ความจริงข้าเคยพบกับร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋าแล้วล่ะ”

นักบวชเต๋าจินเหลียนชะงักนิ่ง น้ำเสียงร้อนใจเล็กน้อย

“เจ้าของสุสานโบราณก็คือร่างอวตารนิกายมนุษย์ของปรมาจารย์เต๋า!”

เมื่อเอ่ยออกมา เหล่าเหนือสามัญที่อยู่ในที่นั้นก็พากันตกตะลึง

อาซูหลัว ซุนเสวียนจี และจ้าวโส่วเพียงรู้สึกว่าได้พบเจอเรื่องครั้งใหญ่ ทั้งยังได้รู้ความลับโบราณอีกด้วย

ในสมองของหลี่เมี่ยวเจินกลับคิดถึงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับภายในสุสานขึ้นมา…หลังจากพวกสวี่ชีอันออกมาจากวังใต้ดินก็ได้บรรยายสภาพของวังใต้ดินอย่างละเอียดลออให้กับพรรคฟ้าดินแล้ว

ตอนนี้เบาะแสทั้งสองอย่างได้รับการยืนยันแล้วและยังสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจ

นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจ

“อาตมารู้สึกแปลกๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่เอาชนะด่านเคราะห์ล้มเหลวจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต แต่ผู้อาวุโสแห่งนิกายมนุษย์ผู้นั้นไม่เพียงรอดชีวิตมาได้ ทว่ายังละทิ้งกายเนื้อและได้เกิดใหม่อีกด้วย ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ในลัทธิเต๋ามีเพียงปรมาจารย์เต๋าเท่านั้นจึงจะทำให้คนตะลึงถึงขนาดนี้ได้”

สวี่ชีอันกล่าวเสริม

“อีกอย่างยังสอดคล้องในเรื่องเวลาด้วย ยังจำได้หรือไม่ ฉู่หยวนเจิ่นเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มา จากเบาะแสด้านเครื่องแต่งกายของบุคคลในภาพฝาผนังและกฎเกณฑ์กับเครื่องมือยามทำพิธีเซ่นไหว้แล้ว เมื่อคิดวิเคราะห์ออกมาอย่างน้อยนั่นก็เป็นเวลาสองพันปี ถึงขั้นอาจเป็นยุคสมัยที่เนิ่นนานกว่าด้วยซ้ำ ทว่าในภาพฝาผนังยังบันทึกว่าผู้อาวุโสนิกายมนุษย์ท่านนั้นเคยสังหารงูยักษ์ และได้รับการขนานนามว่าเป็นราชครู นอกจากนี้ยังสามารถคาดเดาได้ว่า ในยุคสมัยนั้นเป็นยุคสมัยที่ทายาทรุ่นหลังของเทพมารแผลงฤทธิ์”

ซุนเสวียนจีขมวดคิ้วแล้วกระแอมไอเสียงดัง

ผู้พิทักษ์หยวนเริ่มอ่านใจอย่างไม่ต้องให้บอก จึงเอ่ยถามแทนเขา

“แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับสำนักพุทธด้วยเล่า?”

สวี่ชีอันกวาดตามองทุกคน กล่าวว่า

“ในหมู่พวกเจ้าอาจมีคนที่ไม่ค่อยรู้นัก ศพโบราณนั่นหลับใหลอยู่ในวังใต้ดินมาหลายพันปี มันทำหน้าที่เฝ้าตราหยกแห่งโชคชะตาและรอให้เจ้าของกลับมา แต่เจ้าของของมันไปทีหนึ่งก็หลายพันปี ไม่เคยกลับมาเลย จนลี่น่าเข้าไปในวังใต้ดิน มันจึงตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ โชคชะตานั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้อยู่เหนือระดับมาก ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอ่ยซ้ำ แต่เพราะเหตุใดของที่สำคัญขนาดนี้ เจ้าของวังใต้ดินจึงไม่เคยกลับมาเอามันไปเลยล่ะ?”

อาซูหลัวเอ่ยพึมพำ

“บางทีโอกาสอาจยังมาไม่ถึง หรือไม่ก็เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายบางอย่าง…”

สวี่ชีอันเม้มปากยิ้มแล้วพูดว่า

“เช่นถูกผนึก!”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนในที่นั้นก็เข้าใจแล้ว แต่ละคนต่างพากันปากอ้าตาค้าง สีหน้าตะลึงงัน

คำพูดของสวี่ชีอันนั้นมีเพียงความหมายเดียว…พระพุทธเจ้าคือเจ้าของวังใต้ดินแห่งนี้ เขาคือนักพรตนิกายมนุษย์ผู้นั้น

คิ้วขาวของอรหันต์ตู้ฉิงยกขึ้นมาทันที ใบหน้าแก่ชราไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป ในแววตาฉายประกายความสับสนและรู้ชัดแจ่มแจ้ง

ความเงียบงันดังอยู่พักหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันเผาไหม้อยู่เงียบๆ

อาซูหลัวถอนหายใจยาวดั่งกำลังทอดถอนใจเป็นการทำลายความเงียบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา

“ปรมาจารย์เต๋าก็คือพระพุทธเจ้า…เจ้ามีหลักฐานอะไร”

หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นในจิ่วโจวเป็นแน่

คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร พวกเขายังคงกำลังขบคิดข้อมูลเรื่องนี้อยู่ พร้อมทั้งพยายามตามหาช่องโหว่เพื่อพลิกทฤษฎีวิเคราะห์ของสวี่ชีอัน

เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะต้องยืนยันให้ได้แน่ชัด จะให้มี ‘ความไม่แน่ใจ’ สักนิดไม่ได้

จ้าวโส่วที่ไม่ได้เอ่ยอะไรมาตลอดก็ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ไม่ถูกสิ ถ้าหากเป็นเช่นนี้เขาย่อมไม่จำเป็นต้องให้เสินซูไปพิชิตอาณาจักรหมื่นปีศาจหรอก บุกเข้ามาภาคกลางตรงๆ แล้วนำโชคชะตาในสุสานโบราณกลับไปก็เป็นพอ หากถอยออกมาก้าวหนึ่ง ต่อให้โชคชะตานั้นมีไม่พอ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ถ้าหากพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของวังใต้ดิน เขาก็มีวิธีการมากมายที่จะส่งคนไปนำตราหยกกลับมา”

หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกว่าจ้าวโส่วพูดได้มีเหตุผล นางขมวดคิ้วกล่าวว่า

“แต่ถ้าหากพระพุทธเจ้าไม่ใช่เจ้าของวังใต้ดิน แล้วเหตุใดเขาต้องส่งอรหันต์ตู้ฉิงไปสังหารศพโบราณด้วยล่ะ?”

อรหันต์ตู้ฉิงเอ่ยพูดอย่างทนไม่ไหว

“อาตมายังไม่ได้ยอมรับ!”

นักพรตหญิงคนนี้ช่างเอาตัวเองเป็นที่ตั้งจริงๆ ตัดสินไปตรงๆ แล้วว่าเขาเป็นมือสังหารศพโบราณตัวนั้น…

สวี่ชีอันเหลือบมองอรหันต์คิ้วขาวแล้วเอ่ย

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง”

จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวโส่วแล้วตอบข้อสงสัยของเขา

“นั่นคือความเป็นไปได้แบบที่สอง โอกาสวาสนายังไม่มา ตอนนี้พวกเราสามารถตัดสินได้แล้วว่าผู้อยู่เหนือระดับมีเป้าหมายที่จะช่วงชิงโชคชะตา ถึงขั้นก่อสงครามเพื่อโชคชะตา เช่นนั้นการที่พระพุทธเจ้าซ่อนโชคชะตาชิ้นนี้ไว้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด”

‘ใช้เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาไว้ที่ก้นหีบสมบัติ…’ ทุกคนพยักหน้าช้าๆ และยอมรับคำพูดของสวี่ชีอัน

“อีกทั้งยังมีเรื่องหนึ่งที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่าสำนักพุทธมีความคิดจะให้ข้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เมื่อใด?” เขาเอ่ยถาม

“พิธีประลองสำนักพุทธ!” หลี่เมี่ยวเจินไม่แม้แต่จะคิด

“แต่หลังจากที่ข้าเข้าไปในวังใต้ดินและได้ตราหยกมา นับตั้งแต่นั้น สำนักพุทธก็คลั่งและพยายามให้ข้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ให้ได้ นั่นเป็นเพราะพุทธมหายานเท่านั้นจริงๆ หรือ?”

‘อ่า เรื่องนี้ ภายนอกทำเพื่อพุทธมหายาน แต่ความจริงคิดจะชิงโชคชะตาภายในร่างของสวี่หนิงเยี่ยนกลับไป…’ หลี่เมี่ยวเจินเม้มปากแล้วชำเลืองมองสวี่ชีอัน รู้สึกชื่นชมเล็กน้อย

คนผู้นี้กลับคิดวิเคราะห์อะไรมากมายอยู่ข้างหลัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง