ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 837

บทที่ 837 อดีตสองช่วง

เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจยืดเอวตรงแล้วลุกขึ้นจากตั่งนุ่ม ความอวบอิ่มหนักหลายกิโลบนทรวงอกของนางสั่นไหวเนื่องจากการเคลื่อนไหวครั้งนี้

ยอดฝีมือเหนือสามัญอย่างพวกหลี่เมี่ยวเจินและอาซูหลัวต่างก็พากันลุกขึ้นจากโต๊ะเช่นกัน

ปีศาจสาวผมเงินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก พวกหลี่เมี่ยวเจินก็ตามไปทันที เดิมทีจ้าวโส่วก็อยากจะแสดงท่าทางแบบผู้ฝึกตนในลัทธิขงจื๊ออยู่บ้าง แต่เขาบาดเจ็บหนักเกินไปจริงๆ จึงล้มเลิกความคิดที่จะแสดงท่าทีอันงามสง่าออกมา

แล้วเดินตามอยู่ด้านหลังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปตรงๆ

ท้องฟ้ายามค่ำคืนแจ่มจรัส จันทร์กลมโตแขวนอยู่กลางท้องนภา ดาราเปล่งประกายทั่วผืนฟ้ามืดมิด

เมืองหมื่นปีศาจตกอยู่ในความเงียบงันของราตรีกาล เผ่าพันธุ์ปีศาจคือเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมีกฎเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้มีสีสันเหมือนอย่างมนุษย์ที่สามารถเล่นสนุกได้ตั้งครึ่งค่อนคืนและกินดื่มอย่างจุใจ

ทุกคนมาถึงยังเจดีย์ผนึกอย่างรวดเร็ว ประตูเจดีย์เปิดอยู่ แสงตะเกียงสว่างจ้าส่องสะท้อนเข้าไปข้างใน

สวี่ชีอันและเสินซูนั่งพูดคุยตรงข้ามกันอยู่ในเจดีย์ เมื่อเห็นทุกคนพากันเดินเข้ามา ทั้งคู่ก็หันไปมองพร้อมกัน คนหนึ่งกวักมือพร้อมรอยยิ้มบางๆ อีกคนพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พวกจ้าวโส่วก้าวเข้าไปในเจดีย์ผนึกแล้วคำนับให้กับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์อย่างเคร่งขรึม

มีเพียงจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นที่ยังมีท่าทีครึ่งๆ กลางๆ ราวกับสาวน้อยบ้านป่านิสัยเงียบๆ ที่ไม่รู้กฎเกณฑ์

หลังจากทุกคนเข้ามานั่งที่แล้ว เสินซูก็ค่อยๆ เอ่ยพูด

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องมากมายที่อยากถามข้า ข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าให้ฟัง”

ทุกคนต่างตั้งตารออย่างตื่นเต้น

เสินซูไม่ได้เอ่ยพูดทันที เขาย้อนนึกเรื่องในอดีตอยู่พักหนึ่งจึงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องของตัวเองออกมาอย่างเนิบนาบ

“ห้าร้อยกว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าหลุดออกจากผนึกส่วนหนึ่งและได้รับอิสระในการดูดซับพลังจากภายนอกมากมาย เพื่อทำลายการกักขังของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาครุ่นคิดอย่างหนัก จนในที่สุดก็คิดวิธีหนึ่งออก

“นั่นก็คือแยกวิญญาณบางส่วนของตัวเองออกมาและบรรจุความรู้สึกของตัวเองเข้าไปในวิญญาณส่วนนี้ จากนั้นก็ผสานมันเข้าไปในร่างกายของราชันอสูร ตอนนั้นราชันอสูรใกล้จะวิญญาณแตกสลายแล้ว ภายในร่างเหลือเพียงเศษวิญญาณสายหนึ่งเท่านั้นที่ยังไม่ถูกทำลาย วิญญาณส่วนนี้ของพระพุทธเจ้าจึงผสานเข้ากับเศษวิญญาณของราชันอสูร แล้วกลายเป็นจิตวิญญาณใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือข้า ข้ามีวิญญาณส่วนนั้นและความทรงจำของพระพุทธเจ้า ทั้งยังมีความทรงจำและวิญญาณของราชันอสูรอยู่ จึงมักจะแยกไม่ออกว่าที่แท้แล้วตนเป็นราชันอสูรหรือว่าพระพุทธเจ้ากันแน่”

ผู้อยู่เหนือสามัญทุกคนในเจดีย์ต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต่างจากที่ข้าคาดเดาไว้นัก เสินซูเป็น ‘อีกด้านหนึ่ง’ ของพระพุทธเจ้าอย่างที่คิดเลย ไม่ได้มีผู้อยู่เหนือระดับจากภายนอกคนใดแย่งชิงพระพุทธเจ้าไป อืม พระพุทธเจ้านั้นอยู่เหนือระดับ ใช่ว่าคิดจะช่วงชิงแล้วจะชิงไปได้ที่ไหนกัน…สวี่ชีอันพลันตระหนักอยู่ในใจทันที

จากนั้นเขาก็มองไปที่อาซูหลัวและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง พบว่า ‘สองพี่น้อง’ มีสีหน้าที่ซับซ้อนเหมือนกัน

อย่าว่าแต่ตัวเจ้าเองยังแยกไม่ออกเลย ลูกชายและลูกสาวของเจ้าก็ยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าบิดาของตัวเองเป็นราชันอสูรหรือพระพุทธเจ้ากันแน่…สวี่ชีอันแอบบ่นอยู่ในใจเงียบๆ

“พระพุทธเจ้ากับข้าทำข้อตกลงกัน ขอเพียงข้าช่วยกอบกู้อาณาจักรหมื่นปีศาจให้ปีศาจทางใต้หันมานับถือสำนักพุทธเพื่อช่วยให้เขารวบรวมโชคชะตาจนหลุดจากผนึก เขาก็จะตัดสายสัมพันธ์กับข้าโดยสิ้นเชิง แล้วคืนอิสรภาพให้กับข้า

เขาบรรจุอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาในวิญญาณของข้า ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกว่าตนคือพระพุทธเจ้าอย่างล้ำลึก นั่นก็เพราะกลัวว่าข้าจะกลับคำภายหลัง ข้าจึงตอบรับเขาไป หลังจากฝึกตนสำเร็จ ข้าก็ออกจากอรัญตาแล้วไปยังซินเจียงตอนใต้”

เสินซูเอ่ยเล่าเรื่องในอดีตที่ถูกฝังอยู่ในประวัติศาสตร์อย่างฉะฉาน

“ครั้งแรกที่พบนางคือเดือนแปด นั่นคือฤดูร้อนที่ร้อนระอุที่สุดของซินเจียงตอนใต้ ทางทิศตะวันตกของภูเขาหมื่นปีศาจสามร้อยลี้ มีทะเลสาบฝาแฝดที่มีผิวน้ำกระจ่างใส ข้างทะเลสาบมีดอกไม้วิญญาณที่ชื่อว่า ‘ดอกฝาแฝด’ ว่ากันว่าเมื่อกินเข้าไปจะสามารถคลอดลูกแฝดได้

“ข้าลงใต้มาจากดินแดนประจิมทิศและผ่านทางทะเลสาบฝาแฝดนี้พอดี ตอนที่กำลังพักดื่มน้ำอยู่ริมทะเลสาบนั้น ผิวน้ำก็พลันกระเพื่อมเป็นคลื่น นางโผล่ขึ้นมาจากในน้ำทั้งร่างกายเปลือยเปล่า แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า ร่างกายขาวสล้างมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ทั่วจนสะท้อนรัศมีแสงสีสันสดใส ด้านหลังยังมีหางจิ้งจอกอันงดงามอยู่เก้าหาง

นางมองมาที่ข้า ไม่เขินอายแม้แต่นิด จากนั้นก็หัวเราะคิกคักแล้วถามข้าว่า มาแอบมองเจ้าอาณาจักรอย่างข้านานแค่ไหนแล้ว?”

เวลาแบบนี้เจ้าควรจะขโมยเสื้อผ้าของนางที่อยู่บนฝั่งแล้ววอนขอให้นางแต่งกับเจ้าแล้ว บางทีนางอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อแล้วเลือกแต่งให้เจ้าก็ได้…สวี่ชีอันคิดมาถึงตรงนี้ก็มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณและพบว่าผู้พิทักษ์หยวนไม่อยู่ เขาจึงถอนหายใจออกมา

จิ้งจอกนั้นช่างอบอุ่นและใจกว้างจริงๆ…สวี่ชีอันเหลือบมองไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง

ปีศาจสาวผมเงินและหลี่เมี่ยวเจินคิ้วตั้งขึ้นมาพร้อมกันทันที

สวี่ชีอันถอนสายตากลับไป เสินซูเอ่ยพูดต่อ

“นางถามข้าว่าข้ามาจากดินแดนประจิมทิศหรือไม่ พอข้าบอกว่าใช่ นางก็เปลี่ยนจากท่าทียิ้มแย้มเป็นลงมือโจมตีข้าแล้ว ตอนนั้นสำนักพุทธแดนประจิมกับอาณาจักรหมื่นปีศาจมักจะเกิดความขัดแย้งกัน สำนักพุทธชอบพิชิตเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ทรงพลังเพื่อนำมาทำเป็นพาหนะ นางกล่าวว่าข้ามีใบหน้าหล่อเหลาองอาจ จึงจะเก็บข้าไปเป็นชายบำเรอ”

ตอบรับนางสิ ไต้ซือ เจ้าต้องคว้าอนาคตเอาไว้ให้ดี…สวี่ชีอันหยอกเย้าในใจไปประโยคหนึ่งแล้วขจัดความรู้สึกฉับพลันกะทันหันที่ช่างผันผวนนั่นออกไป

‘หล่อเหลาองอาจ?’ พวกจ้าวโส่วมองพินิจองคาพยพของเสินซูด้วยสายตาตั้งคำถาม พลางสงสัยว่าเสินซูกำลังคุยโวอยู่หรือไม่

แม้แต่อาซูหลัวที่เป็นเผ่าอสุราเช่นกันก็ยังรู้สึกว่าเสินซูคุยโวโอ้อวดเกินไปหน่อย

นางปีศาจผมเงินเอ่ยเสียงเรียบ

“เผ่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางของพวกเราชอบเพียงบุรุษแข็งแกร่งห้าวหาญ ไม่เหมือนสตรีเผ่ามนุษย์ที่ชอบเพียงใบหน้าขาวๆ ที่แต่งหน้าแต่งตาเสียหยาดเยิ้มหรอก”

‘บุรุษแข็งแกร่งห้าวหาญ…’ หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองสวี่ชีอัน เมื่อหันมามองปีศาจสาวผมเงินอีกครา สายตาก็มีความระแวดระวังเพิ่มขึ้นมาอีก

“จากนั้นเล่า!” สวี่ชีอันเอ่ยถาม

“ต่อมาข้าก็ทุบตีนาง นางจึงเอ่ยบอกตรงๆ ว่ายอมรับข้าเป็นเพียงชายบำเรอเท่านั้น ไม่มีทางสองจิตสองใจแน่นอน” เสินซูหัวเราะ “ตอนนั้นข้ากำลังปวดหัวอยู่พอดีว่าจะเข้าไปภายในอาณาจักรหมื่นปีศาจอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจต่อต้านภิกษุจากสำนักพุทธอย่างยิ่ง แม้ข้าจะมีระดับการฝึกตนแข็งแกร่ง สามารถใช้กำลังสยบผู้คนได้ แต่ก็ยากจะใช้เหตุผลพูดคุย”

“ต่อจากนั้น ข้าก็อยู่ในอาณาจักรหมื่นปีศาจในฐานะชายบำเรอของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ และผ่านช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตไปหลายสิบปี”

เมื่อเสินซูเอ่ยถึงตรงนี้ก็หันไปมองจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น

“ในปีที่สามสิบ เจ้าก็คลอดออกมา”

ไม่ใช่สิ เจ้ามาเพื่อหลอมรวมพวกเขา ไม่ใช่ถูกพวกเขาหลอมให้เป็นพวกเดียวกันสิ ไต้ซือ วิถีธรรมของเจ้าไม่หนักแน่นเอาเสียเลย แต่ใครเล่าจะไม่ชอบเสน่ห์สาวจิ้งจอก คนงาม มีเงินเยอะ ทั้งยังแพรวพราว ถ้าเป็นข้า ข้าก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน…สวี่ชีอันจิตใจหวั่นไหว เขาเอ่ย

“เพราะเหตุนี้ ดังนั้นเจ้ากับพระพุทธเจ้าจึงแตกหักกัน?”

เสินซูส่ายหน้ากล่าวเสียงขรึม

“ความจริงแล้วภารกิจของข้าสำเร็จตั้งนานแล้ว นางลังเลอยู่หลายสิบปี จนกระทั่งคลอดลูกออกมา ในที่สุดนางก็หันมานับถือสำนักพุทธและทำให้อาณาจักรหมื่นปีศาจกลายเป็นเมืองบริวารของสำนักพุทธ ตราบใดที่สำนักพุทธรับปากจะให้อาณาจักรหมื่นปีศาจปกครองอย่างอิสระ ข้ากลับมายังสำนักพุทธอย่างยินดีและบอกเรื่องนี้กับพระพุทธเจ้าและเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าก็ตอบตกลง จากนั้นจึงส่งพระโพธิสัตว์แห่งอรัญตา อรหันต์ รวมถึงพวกระดับเพชรไปยังอาณาจักรหมื่นปีศาจ”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็พลันอึมครึม

“นางเปิดประตูรับสำนักพุทธ แต่ที่รออยู่กลับเป็นการสังหารหมู่จากสำนักพุทธ พระพุทธเจ้าก็ผิดคำสัญญา เขาไม่เคยคิดจะคืนอิสรภาพให้ข้าแต่ต้น และไม่เคยคิดรามือจากอาณาจักรหมื่นปีศาจ ข้าเป็นเพียงตัวหมากที่มีหน้าที่สำรวจเส้นทางเท่านั้น เขาต้องการทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจด้วยวิธีที่จ่ายค่าตอบแทนน้อยที่สุดและผสานโชคชะตาของอาณาจักรหมื่นปีศาจเข้าสู่สำนักพุทธ”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเม้มริมฝีปาก สีหน้าอึมครึม

จ้าวโส่วหวนนึกถึงบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ พลันเอ่ยขึ้นมา

“มิน่าเล่า ในหนังสือประวัติศาสตร์กล่าวว่าสำนักพุทธสังหารจักรพรรดินีหมื่นปีศาจตายที่เขาหมื่นปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยอย่างตื่นตระหนกและต่อสู้ต้านทานกับสำนักพุทธอยู่ที่ภูเขาสือว่าน ใช้เวลาถึงหกสิบปีเต็ม สงครามจึงสงบลงอย่างแท้จริง ประวัติศาสตร์เรียกช่วงนี้ว่า การกวาดล้างปีศาจหกสิบปี”

หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมีการป้องกันและรวมพลังแห่งอาณาจักร เมื่อสำนักพุทธคิดจะทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจ ก็เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น ในตอนนั้นพวกเขาใช้วิธีการลอบโจมตีมาจัดการกับพลังอำนาจสูงสุดของอาณาจักรหมื่นปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจส่วนใหญ่ก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งในภูเขาสือว่าน ครานั้นจึงไม่ได้มีการโต้ตอบอะไร

ดังนั้นจึงมีสงครามหกสิบปีตามมา

เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สูญเสียพลังอำนาจสูงสุดไปแล้วยังคงต่อสู้มาถึงหกสิบปี แค่คิดก็รู้ว่าในปีนั้น กลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ใหญ่ที่สุดในจิ่วโจวแข็งแกร่งทรงพลังมากเพียงใด

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“ข้าได้ยินองค์หญิงกล่าวว่า ในตอนแรกร่างธรรมพระมหาไวโรจนะออกมาจากภายในร่างของท่าน พระพุทธเจ้ายังสามารถควบคุมท่านได้อยู่หรือ?”

เสินซูพยักหน้า

“นี่คือไม้ตายของเขา เป็นวิธีลับที่เขาทิ้งเอาไว้ในตอนแรกที่แยกตัวข้าออกมา ในตอนนั้นข้าเพียงสัมผัสได้ถึงพลังที่ยากจะควบคุมเท่านั้น แต่ไม่รู้ถึงแก่นของมัน พระพุทธเจ้าบอกข้าว่านี่คือความเชื่อมโยงที่ยากจะแยกออกระหว่างตัวเขากับข้า หากข้าต้องการกายอิสระก็มีแต่ต้องกำจัดพลังสายนี้ไปเท่านั้น ส่วนสิ่งที่ต้องแลกก็คือช่วยเขาผสานอาณาจักรหมื่นปีศาจและช่วยให้เขาหลุดพ้น”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…สวี่ชีอันและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าเข้าใจ

ฝ่ายหลังเอ่ยถาม

“จนถึงวันนี้ พวกท่านยังผสานกันได้อยู่หรือ? สภาพของพระพุทธเจ้าคืออะไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่ปกติอย่างยิ่ง”

นางเอ่ยถามข้อสงสัยของหลี่เมี่ยวเจินก่อนหน้านี้ออกมา

เหล่าผู้อยู่เหนือสามัญต่างกระตือรือร้นขึ้นมาและตั้งตารอฟัง

เสินซูขมวดคิ้วมุ่น

“เท่าที่ข้าจำได้ พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เรื่องนี้ไม่ผิดแน่ ถึงแม้ในความทรงจำของข้าจะหยุดอยู่แค่เรื่องหลังจากเขาเป็นผู้อยู่เหนือระดับก็ตาม แต่เขาก็คือข้า ข้าก็คือเขา ข้าเป็นตัวอะไร ข้าย่อมรู้ตัวเองดี”

สวี่ชีอันถามต่อ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง