ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 836

บทที่ 836 บทสรุปหลังสงคราม

เหนือเศียรพระพุทธรูป ดวงตะวันดวงใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา

ทันใดนั้น ผืนพิภพและท้องนภาสว่างไสวด้วยแสงพุทธะอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั่วทั้งปฐพีเหมือนกลายเป็นดินแดนพุทธก็มิปาน

แสงอรุณส่องทะลุผ่านเกลียวคลื่นพายุ ทำให้ปุยเมฆแตกกระจัดกระจาย พายุทรายที่กำลังเริงระบำพลอยหยุดลง ฝุ่นผงหลอมรวมกันเป็นธารลาวาตกลงมาดั่งฝนปรอย

ด้วยเหตุนี้ท้องฟ้าจึงร่ำไห้ลงมาเป็นฝนเพลิง ซึ่งฝนเพลิงส่วนใหญ่ยังไม่ทันตกถึงพื้นดีก็กลายเป็นเถ้าถ่านบินปลิวว่อน

เป็นภาพที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ

ร่างธรรมวชิระ ‘หลอมละลาย’ อย่างรวดเร็วภายใต้แสงพุทธะ ตั้งแต่ชั้นผิวหนังจวบจนเลือดเนื้อ ทุกกระเบียดนิ้วกลายเป็นเถ้าธุลีแล้วงอกขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“โฮก!”

เสินซูคำรามเสียงโหยหวนด้วยความเคียดแค้นสั่นสะเทือนลั่นทั่วสารทิศ

‘ตึง ตึง ตึง’…ผืนดินสั่นไหว ร่างธรรมเสินซูก้าวไปข้างหน้า มุ่งสู่ดวงสุริยน

เขาเดินเชื่องช้า ทุกย่างก้าวราวกับแบกของหนัก แต่ละฝีก้าวมีขี้เถ้าร่วงหล่นนับไม่ถ้วน รอยเท้าสีดำทมิฬค่อยๆ ปรากฏเรียงเป็นแนวบนพื้น

เขาเจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการถึง

น่าหลันเทียนลู่หลับตาลง ปล่อยน้ำตาไหลราวกับหยาดฝน

“ว่ากันว่าพระพุทธเจ้ามีร่างธรรมปรากฏเก้าร่าง เหตุไฉนพระองค์จึงทรงแสดงเฉพาะพระมหาไวโรจนะเล่า? หรือเพราะตราผนึกยังคงอยู่? ดูเหมือนเทพพ่อมดจะทะลวงพลังอันแข็งแกร่งนี้ไปไม่ได้สินะ

“สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าหลุดพ้นจากผนึกได้เหนือกว่าเทพพ่อมด นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย การฆ่าเจียหลัวซู่ยากขึ้นไปอีก

“ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะสามารถสังหารระดับเหนือมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย…

“อืม เสินซูเพิ่งจัดระเบียบร่างกายใหม่ พลังต่อสู้ของเขายังไม่ถึงขีดสูงสุด ถ้าเขาเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้ บางทีอาจพอมีหวัง มิเช่นนั้น วันนี้ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่อาจเป็นเพียงเวลาสั้นๆ”

ต้าฟ่งและอาณาจักรหมื่นปีศาจพยายามชิงส่วนหัวคืนมา ส่วนสำนักพุทธกำลังรอให้พวกเขาตกหลุมพรางเสียเอง

“ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าใครมีไพ่มากกว่าและมีวิธีที่แข็งแกร่งกว่ากัน ถ้าเสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งบาดเจ็บ สำหรับสำนักพ่อมดของพวกเราแล้ว เป็นเรื่องการดีที่ไม่ต้องเสียเงินสักแดง

น่าหลันเทียนลู่ปาดน้ำตา พร้อมใช้วิชาวิญญาณโลหิตบรรเทาอาการปวดแสบดวงตา

หลังจากเสินซูเยื้องย่างด้วยฝีก้าวที่มั่นคงกว่าสิบก้าว ความถี่เริ่มถดถอยลง ทุกย่างก้าวต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อออมแรงไว้ อุณหภูมิที่สูงจนยากจะจินตนาการกำลังแผดเผาร่างกายเขา และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือพลังพุทธะที่แฝงอยู่ในนั้น

พลังขนาดเท่าจุลภาคนี้จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายเสินซู พลางทำลายเซลล์ร่างกายของเขา ตามด้วยสลายระบบร่างกายและโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนที่สุด

ร่างธรรมวชิระค่อยๆ แผดเผากะโหลกจนดำสนิท ดวงตากลวงโบ๋ เหลือเพียงลูกไฟวิญญาณเพียงสองดวงเท่านั้น

เขาไม่ได้ก้าวต่อสักระยะแล้ว

นางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองออกไปไกลสุดสายตา ดวงตาคู่งามมีน้ำตาไหลอาบ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน พลางเอ่ยอย่างร้อนรน

“พระอาทิตย์รอบนี้แรงกว่าครั้งที่แล้วมาก”

นางหลั่งน้ำตาไม่ใช่เพราะเสินซูตกอยู่ในอันตราย แต่เป็นเพราะมอง ‘ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง’ ตรงๆ ทำให้ลูกตาถูกแสงพุทธะบาดจนน้ำตาไหลออกมา

อาซูหลัวก็แสบร้อนจนน้ำตาไหลแบบเดียวกัน เอ่ยเสียงขรึม

“ไม่เป็นไร เรายังมีไพ่ตาย!”

ถึงพูดแบบนั้น ในใจเขาก็เป็นกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ได้กังวลในตัวเสินซู ตอนนี้เสินซูเข้าสู่ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธแล้ว แม้ระดับเหนือมนุษย์ก็ไม่อาจฆ่าเสินซูได้

แต่อีกฝ่ายเป็นถึงระดับเหนือมนุษย์ แม้จะวางแผนอย่างรอบคอบ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ข้อผิดพลาด

เหนือศีรษะเสินซูปรากฏเงาร่างหนึ่งไม่ได้สวมอาภรณ์

ทันทีที่เขาปรากฏตัว เสื้อผ้าก็ถูกพลังร่างธรรมพระมหาไวโรจนะแผดเผา

หลี่เมี่ยวเจิน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและระดับเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ยืนขึ้นทีละคนพลางมองโดยไม่ละสายตา แม้น้ำตาจะไหล ดวงตาแสบร้อนจนทนไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากพลาดรายละเอียดสักจุด

นั่นก็คือไพ่ตายที่อาซูหลัวพูดถึง ในแผนของพวกเขา ขั้นต่อไปคือขั้นตอนท้ายที่สุด

จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

“สะ…สวี่ชีอัน?”

น่าหลันเทียนลู่ที่เฝ้าดูอยู่ระยะไกลตกตะลึง พูดในใจว่าเขากำลังรนหาที่ตายหรือเปล่า ไม่ว่าจอมยุทธขั้นหนึ่งจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่สามารถทนต่อการ ‘แผดเผา’ ของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะได้ตลอด

ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธเกือบจะไร้พลัง เลยอาศัยพลังขั้นหนึ่งจากเขาอย่างนั้นหรือ?

แต่ภาพต่อมา ทำให้น่าหลันเทียนลู่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สวี่ชีอันที่ยืนอยู่เหนือศีรษะเสินซู ถูกเสินซูกลืนกิน

ถึงแม้ว่าแสงจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะจะรุนแรง แต่เขายังคงเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน

น่าหลันเทียนลู่มองไม่ผิดแน่ ทว่านี่ไม่ใช่การกลืนกิน แต่เป็นการหลอมรวมชั่วคราว

ในขอบเขตจอมยุทธขั้นหนึ่ง สิ่งนี้เรียกว่า ‘การครอบงำร่าง’ โดยผสมผสานเลือดเนื้อของเป้าหมาย เพื่อครอบครองร่างกายอีกฝ่าย

เพียงแต่แตกต่างจากการครอบงำวิญญาณ การครอบงำร่างไม่ทารุณขนาดนั้น ผู้ครอบงำสามารถเลือกร่างที่จะแฝง แล้วค่อยถ่ายโอนความคิดให้กับร่างพักพิง หรือจะอยู่ร่วมกับร่างพักพิงแล้วควบคุมร่างกายไปพร้อมๆ กันก็ได้เช่นกัน

หลังยึดร่างแล้วก็สามารถใช้พลังควบคุมเลือดเนื้อตนให้แยกออกจากกัน

ท่วงท่านี้มีเพียงจอมยุทธขั้นสูงเท่านั้นที่ใช้ได้ เป็นวิธีเดียวกับที่แขนขวาของเสินซูใช้กับสวี่ชีอันตอนนั้น

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ ‘การครอบงำร่าง’ คือพลังชีวิตและความแข็งแกร่งทางกายภาพ สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ แต่กําลังรบและขอบเขตกลับยากที่จะเพิ่มขึ้น

เนื่องจากเสินซูแข็งแกร่งกว่าสวี่ชีอัน ถึงจะเข้ากันได้ แต่การรองรับจอมยุทธขั้นหนึ่งไม่สามารถเพิ่มขีดจำกัดครึ่งก้าวสู่เทพยุทธได้

หลังจากผสานเข้ากับสวี่ชีอัน ร่างธรรมวชิระอันดำมืดก็เปลี่ยนไปทันตาเห็น หัวกะโหลกสีแดงไหม้เกรียมกลับมามีเลือดเนื้ออีกครั้ง ส่วนต่างๆ ของร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

เขาได้รับพลังจากสวี่ชีอัน รวมถึงหลิงอวิ้นจากต้นไม้อมตะ

พลังของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะยังคงเผาไหม้ร่างกาย แต่ความสามารถในการฟื้นฟูทำให้เขาทั้งสองอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างสมดุล

ในช่วงเวลาอันสั้น การที่พระอาทิตย์จะสร้างความเสียหายให้เสินซูอย่างหนักหน่วงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

‘ตึง ตึง ตึง’…ในที่สุด เขาก็เดินจนถึงหน้าพระพุทธรูป ร่างธรรมสีดำใช้แขนทั้งยี่สิบสามข้างโอบพระอาทิตย์ที่อยู่เหนือเศียรพระพุทธเจ้า

จากนั้นแขนข้างสุดท้ายก็เหยียดออก เสียงของสวี่ชีอันดังสะท้อนออกมาจากทุ่งร้างแดนประจิม

“ดาบ!”

ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ในมือจ้าวโส่วพุ่งออกมา

ระหว่างพุ่งมา มันเปลี่ยนจากแสงจางๆ กลายเป็นมวลแสงคล้ายอุกกาบาต แสงสีใสพลุ่งพล่าน เติมเต็มจักรวาลด้วยพลังงานบริสุทธิ์

ดาบสลักไม่เคยระเบิดพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้

วินาทีนี้ มันดูเหมือนอาวุธวิเศษระดับสุดยอดอย่างแท้จริง

ดวงตาจ้าวโส่ววาววาบ รู้สึกซับซ้อนอยู่พักหนึ่ง เขามองนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและเอ่ยว่า

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไมข้าถึงคัดค้านสวี่ชีอันที่เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์?”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้ละจากระยะไกล ดวงหน้าขาวผ่องงดงามยังคงมีคาบน้ำตา เอ่ยเสียงเรียบ

“การเรียกวิญญาณปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้บาดเจ็บจนรักษาไม่ได้”

จ้าวโส่วขานรับ ‘อืม’ พลางเอ่ยเนิบนาบ

“ราคาของการเรียกวิญญาณปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คือกลไกของกฎแห่งสวรรค์ บาดแผลที่ไม่ธรรมดา หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้สามารถรักษาให้หายได้ แต่ไม่อาจรักษากฎสะท้อนได้”

เขาชะงักแล้วเอ่ยต่อ

“ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของข้า เป็นของล้ำค่ามาแต่ไหนแต่ไร ยกเว้นสองครั้งนั้นที่เว่ยเยวียนและท่านโหราจารย์เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ มันไม่เคยแสดงพลานุภาพของอาวุธวิเศษขั้นเหนือธรรมดา รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นมองหน้ากันและกัน พลางส่ายหน้า

จ้าวโส่วกล่าว

“ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้มีมหาโชค ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีโชคมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”

ทุกคนเข้าใจทันที

การจะใช้พลังดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มกำลัง หากไม่ใช่ผู้มีโชคก็ใช้ไม่ได้

แม้ว่าจ้าวโส่วจะเดินตามรอยขงจื๊อ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เคยถูกฝังอยู่กลางทุ่งนา จนบัดนี้กลายเป็นข้าหลวงประจำสำนัก แต่ห้วงเวลายังสั้นไม่พอให้กระตุ้นพลังดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์

“หลังค้อนก่อกวนชะตากรรมเปิดโลกให้แก่เขา สวี่หนิงเยี่ยนก็ควบคุมชะตาบ้านเมืองในตัวเขาได้อย่างอิสระ” จ้าวโส่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์”

ขณะพูด แสงจางๆ ก็ส่งตนเข้าไปอยู่ในฝ่ามือเสินซู

ร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมคืบคลานไต่ไปตามลำแขนปกคลุมร่างธรรมสีดำ เพื่อต้านทานการแผดเผาอันร้อนแรงจากพระมหาไวโรจนะอย่างเต็มกำลัง

“พระพุทธองค์!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง