ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 840

สรุปบท บทที่ 840 ความน่ากลัวของระดับสุดยอด: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 840 ความน่ากลัวของระดับสุดยอด – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 840 ความน่ากลัวของระดับสุดยอด ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 840 ความน่ากลัวของระดับสุดยอด

อรหันต์ตู้เอ้อร์หันกลับมาด้วยสีหน้าสงบและมองดูภิกษุหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขา

“ท่านแพ้ใคร?”

ภิกษุหนุ่มปากแดงฟันขาวถามซ้ำอีกครั้ง

ใบหน้าของอรหันต์ตู้เอ้อร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาพนมมือ

“โค่วหยางโจว”

เขาไม่ได้พยายาม ‘โต้แย้ง’ หรืออธิบายมากเกินไป เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ต่อให้จอมยุทธ์หยาบคายเพียงใด ก็ไม่มีระบบใดที่สามารถบดขยี้หรือเอาชนะจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่อรหันต์ขั้นสองจะไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสองได้

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้าเล็กน้อย

“แล้วพระโพธิสัตว์อีกสององค์ล่ะ?”

ตู้เอ้อร์มองไปทางเหล่าภิกษุจากระยะไกล แต่ไม่เห็นหลิวหลีกับเจียหลัวซู่

“คงออกไปทำอะไรสักอย่าง” กว่างเสียนพูดสุ้มเสียงใจเย็น

ตู้เอ้อร์พยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า

“พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?”

กว่างเสียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า

“พระพุทธองค์ทรงอยู่ใต้เท้าเรา…”

ในความมืด รอยยิ้มของภิกษุหนุ่มดูแปลกตาน่าขนลุกเล็กน้อย

อรหันต์ตู้เอ้อร์รู้สึกหนาวเหน็บในใจอย่างเห็นได้ชัด เขาท่องพุทโธ พุทโธ เบาๆ อย่างรวดเร็วเพื่อสะกดอารมณ์ไว้

จากนั้นก็ได้ยินกว่างเสียนพูดว่า

“พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชโองการห้ามเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามไปเทศนาหรือเทศน์ที่ไหนอีก”

‘สงครามครั้งนี้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ เมื่อเหตุการณ์สงบลง ไม่ช้าก็เร็วเขาจะจัดการเรื่องนี้และดับไฟของศาสนาพุทธนิกายมหายานให้หมดสิ้น’…คำพูดของเว่ยเยวียนดังขึ้นอีกครั้งในใจอรหันต์ตู้เอ้อร์

เขามองลึกไปที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียน จากนั้นก็มองกลับไปยังเหล่าภิกษุสำนักพุทธ ละสายตาและพูดเบาๆ ว่า

“เข้าใจแล้ว!”

กว่างเสียนพูดต่อไปว่า

“ข้าได้ปรึกษากับพระโพธิสัตว์หลิวหลีและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่แล้ว หลังหมดฤดูใบไม้ร่วง เราจะจัดประชุมธรรมะเพื่อเรียกผู้ศรัทธาทุกคนในดินแดนประจิมทิศให้ไปแสวงบุญที่อรัญตา!”

หลังจากพูดเช่นนั้น ก็ไม่รอให้อรหันต์ตู้เอ้อร์ขานตอบ พลันกลายร่างเป็นแสงสีทองหายวับไปทันที

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ยืนนิ่งเงียบ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็ลงนั่งขัดสมาธิสวดพระสูตรเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นโดยมีเหล่าภิกษุอยู่ไกลออกไป

ในยามค่ำคืน ใบหน้าที่มักขมวดคิ้วมุ่นของเขากลับไม่แสดงออกว่าสุขหรือเศร้า

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าอรหันต์ตู้เอ้อร์หันหลังให้อรัญตาและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

เมืองหลวง อารามรัตนะ

ลั่วอวี้เหิงที่เพิ่งเสร็จสิ้นการบำเพ็ญคู่ ได้แต่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างสระน้ำเล็กๆ เท้าขาวผ่องนุ่มนิ่มของนางแช่อยู่ในน้ำและวักน้ำไปมาเบาๆ

เสื้อคลุมขนนกห้อยหลวมๆ ทั่วตัว คอเสื้อเผยอออกเล็กน้อยเผยให้เห็นผิวสัมผัสสีขาวและร่องลึก

บนผิวน้ำห่างออกไปสองฉื่อ สวี่ชีอันหลับตาและยืนนิ่ง มีระลอกคลื่นเป็นวงกลมบนผิวน้ำใต้ฝ่าเท้าของเขา

ทันใดนั้น ระลอกคลื่นก็เปลี่ยนทิศทางวุ่นวายจากภายนอกสู่ภายใน ระลอกคลื่นที่แผ่ออกจากเท้าเป็นวงกลมพลันกลับไปบรรจบที่เท้าของเขาอีกครั้ง

กระบวนการนี้กินเวลากว่าสิบวินาที ทันทีที่เสร็จสิ้น ระลอกคลื่นพลันลดลงผิวน้ำจับตัวแข็งทันที ไม่มีคลื่นอีกต่อไปแล้ว

ลั่วอวี้เหิงหรี่ดวงตางดงามของนางลงครึ่งหนึ่งพลางพูดเสียงเกียจคร้านราวหญิงสาวสูงศักดิ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล นางสูญเสียกลิ่นอายนางอัปสรผู้เยือกเย็นไปโดยสิ้นเชิง ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของนางขยับเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“การควบคุมพลังปราณในระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องได้พลังต่อสู้พิเศษมากมายแน่เลย”

สวี่ชีอันลืมตาขึ้น กึ่งสุขสันต์กึ่งหนักใจ

“นี่เป็นทักษะประเภทหนึ่ง เมื่อช่องว่างแคบลง ทักษะย่อมกำหนดผลลัพธ์ได้”

แต่ถ้าความแข็งแกร่งมีช่องว่างห่างกันมากเกินไป ทักษะก็ย่อมไร้ความหมาย

แข็งแกร่งกว่าเพียงครั้งเดียวย่อมมีชัยเหนือความเพียรพยายามเป็นสิบครั้ง

การฝึกฝนอย่างหนักทุกวี่ทุกวันก็มิได้ไร้ผล การใช้พลังปราณของเขามาถึงระดับสูงสุดแล้ว อุปมาเหมือนจอมยุทธ์สลายแรงขั้นห้า เพียงแต่ว่าจอมยุทธ์สลายแรงผู้นั้นสามารถควบคุมกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เขาสามารถควบคุมโชคชะตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะปลดปล่อยพลังปราณของเขาออกมาแล้ว เขาก็ยังสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการ

“ท่านราชครู เซียนครองพิภพจะเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับวิถีแห่งความรู้แจ้งได้อย่างไร?” สวี่ชีอันเอ่ยปากถาม

ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดึงดูดใจว่า

“ต้องปรับปรุงสองด้าน หนึ่งคือควบคุม ‘ดิน ลม น้ำ และไฟ’ ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น สองต้องระดมพลังธาตุให้มีพลังมากขึ้น แล้วทักษะกระบี่ทั้งสามประการของลัทธิเต๋าอันได้แก่ ‘ปราณ หัวใจ และการควบคุม’ ก็จะแข็งแกร่งขึ้น

“เทพสวรรค์ก็น่าจะกึ่งๆ เซียนครองพิภพแล้ว เขาไม่มีวิธีการอะไรมากกว่าข้า แต่เขามีพลังมากกว่าข้า น่าจะเป็นเพราะพลังธาตุที่เขาระดมมาได้นั้นแข็งแกร่งกว่าข้า”

สวี่ชีอันพยักหน้า

“ดูเหมือนระบบจอมยุทธ์จะพิเศษจริงๆ”

จอมยุทธ์ระดับขั้นหนึ่งกับสูงสุดขั้นหนึ่ง ช่างเป็นสองระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งกับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน สวี่ชีอันตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้หลังจากได้เห็นเสินซูในร่างสมบูรณ์

ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ ยืดเอวเขา ดันส่วนโค้งอันงดงามของเขาจนสุด ทว่ายังดูง่วงงุนท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย

“ตั้งแต่กลับมาจากดินแดนประจิมทิศ เจ้าดูค่อนข้างหดหู่ ระดับสุดยอดที่นั่นมีพลังมากแค่ไหนรึ?”

สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกระซิบบอก

“ทรงพลังอย่างไม่อาจคาดเดาได้”

“เมื่อเผชิญหน้ากับพระพุทธเจ้า ทุกวิธีการที่ข้ามีก็ไร้ความหมาย ความรู้สึกลึกๆ ของข้าคือความรุนแรงเท่านั้นที่จะเอาชนะระดับสุดยอดได้”

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว

“รุนแรงสุดขีดเหมือนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวรึ?”

“ไม่!” สวี่ชีอันส่ายหัว

“เทพยุทธ์ครึ่งก้าวมีคุณสมบัติมากพอจะแข่งขันกับระดับสุดยอดได้ จนถึงทุกวันนี้ ข้ายังไม่สามารถประมาณขีดจำกัดของระดับสุดยอดได้เลย”

มีคุณสมบัติในการเข้าแข่งขันมิได้หมายความว่ามีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ

ในเวลานี้ ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วและกระชับเสื้อคลุมขนนกอันแสนหมิ่นเหม่ปกปิดไหล่และหน้าอกที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง

มีคนจงใจรื้อสิ่งกีดขวางที่วางอยู่นอกลาน

แล้วนักบวชลัทธิเต๋าวัยฉกรรจ์ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็ว เขาหยุดอยู่นอกประตูลานโค้งแล้วพูดว่า

“ฆ้องเงินสวี่ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สำนักโหราจารย์!”

“จุดสูงสุดของเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนล่ะ?” ท่านโหราจารย์ถาม

ฮวงตอบว่า

“เจ้าไม่สามารถคาดเดาพลังของระดับสุดยอดได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพพ่อมด พระพุทธเจ้าหรือเทพกู่ เมื่อพวกเขาพร้อมจะกลืนกินต้าฟ่ง ก็ไม่มีใครในที่ราบลุ่มภาคกลางสามารถแข่งขันกับพวกเขาได้ นั่นคือเหตุผลที่ข้าเลือกยอมแพ้ในเวลานั้นและไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเหตุผลของสวี่ชีอัน”

“ข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าต้องตื่น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปแข่งขันกับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง”

เมื่อเขาพูดถึงเทพพ่อมดกับพระพุทธเจ้า น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึม ไม่มีการดูถูกใดๆ

“ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าในตอนนั้น ‘มังกร’ กับ ‘กรงเล็บ’ ได้ต่อสู้กันอย่างเด็ดขาดในทะเลลึก มหาสมุทรเดือดพล่านบังเกิดคลื่นยักษ์ท่วมแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเป็นระยะทางสามพันลี้ การต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างเทพมารในเวลาต่อมาได้พังทลายทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจิ่วโจวก็แยกจากกัน”

“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บำเพ็ญขั้นหนึ่งจะทำอะไรได้”

พูดได้คำเดียวว่า ระดับสุดยอดน่ากลัวขนาดไหน…ทำลายได้ทั้งสวรรค์และพิภพ!

“แล้วเจ้าจะพาข้าไปไหน” ท่านโหราจารย์ถาม

“เจ้าไม่ใช่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้ารึ เจ้ายังต้องถามข้าอีกหรือ?” ฮวงยิ้มเยาะ

“นี่เจ้าไม่ได้ปิดผนึกไว้รึ?” ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ

“หากไม่มีข้า สำนักโหราจารย์ก็ไร้ผู้นำ ข้าหวังว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ ท้ายที่สุดแล้ว มันคือความพยายามชั่วชีวิตของข้า”

ฮวงเยาะเย้ยและพูดว่า

“สำนักโหราจารย์เปลี่ยนผู้นำไปนานแล้ว เจ้าควรยอมรับชะตากรรมของตัวเองดีกว่า”

ท่านโหราจารย์คำรามหยามเหยียด

“แม้ศิษย์ข้าจะไม่ได้เรื่อง แต่หลักการพื้นฐานเรื่องเคารพครูและคำสอนก็ไม่อาจดูแคลน เปลี่ยนโหราจารย์รึ ข้ายังไม่ตาย ผู้ใดกล้า!”

ฮวงพูดอย่างใจเย็น

“เนื่องจากเจ้าเป็นผู้เฝ้าประตู เจ้าก็ควรรู้รายละเอียดเรื่องเทพพ่อมด”

สำนักโหราจารย์

เมื่อมองไปรอบๆ เวทีแปดทิศอันกว้างใหญ่ ก็พบว่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนเป็นโหรอาภรณ์ขาวทั้งสิ้น

เหล่าโหรอาภรณ์ขาวทั้งหลายต่างแบ่งเป็นห้าค่ายชัดเจน ผู้นำของพวกเขา ได้แก่ ศิษย์พี่รองซุนเสวียนจี ศิษย์พี่สามหยางเชียนฮ่วน ศิษย์พี่สี่ซ่งชิง ศิษย์พี่หญิงห้าจงหลีและศิษย์น้องหญิงคนเล็กฉู่ไฉ่เวย

เป็นที่น่าสังเกตว่ามีโหรอาภรณ์ขาวหกคนอยู่ด้านหลังฉู่ไฉ่เวย คนเล็กสุดอายุหกขวบและคนโตสุดอายุสิบสองปีที่มีใบหน้าเหมือนเด็ก

ทุกคนมีกระเป๋าหนังกวางพร้อมที่เก็บของห้อยอยู่ที่เอว ซึ่งบรรจุความรักจากพี่สาวคนโต ฉู่ไฉ่เวย นั่นคือขนมอบและของว่าง

คนเหล่านี้เป็นศิษย์ใหม่ของฉู่ไฉ่เวย ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขาทำหน้าที่เป็นปรมาจารย์ พวกเขาเป็นกระดูกสันหลังชุดแรกของพรรคและเป็นผู้ติดตามชุดแรกของฉู่ไฉ่เวย

ซุนเสวียนจีมีสีหน้าปกติ มีอารมณ์ปานกลางและมีส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย เหลือบมองผู้พิทักษ์หยวน

ผู้พิทักษ์หยวนก้าวออกไป มองไปรอบๆ เหล่าโหรอย่างสง่าผ่าเผยและพูดเสียงทุ้มต่ำ

“ท่านโหราจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เราควรดูแลสำนักโหราจารย์แทนเขา หยุดเข้ามาก้าวก่ายแล้วกลับไปซะ”

ซ่งชิงได้ยินเช่นนี้ก็พูดออกไปอย่างใจเย็น

“หากเจ้าไม่ต้องการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งโหราจารย์ เจ้าก็ควรสมัครใจยอมแพ้และออกไปอยู่กับคนของเจ้าสิ”

ผู้พิทักษ์หยวนหันไปมองซุนเสวียนจี น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป มีแรงบันดาลใจมากขึ้น

“นับเนื่องตั้งแต่สมัยโบราณ เรามักสถาปนาผู้อาวุโสมากกว่าผู้เยาว์ เลือกผู้สืบทอดสายตรงมากกว่าสายรอง ดังนั้นตำแหน่งโหราจารย์ต้องเป็นของข้า”

………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง