บทที่ 840 ความน่ากลัวของระดับสุดยอด
อรหันต์ตู้เอ้อร์หันกลับมาด้วยสีหน้าสงบและมองดูภิกษุหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขา
“ท่านแพ้ใคร?”
ภิกษุหนุ่มปากแดงฟันขาวถามซ้ำอีกครั้ง
ใบหน้าของอรหันต์ตู้เอ้อร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาพนมมือ
“โค่วหยางโจว”
เขาไม่ได้พยายาม ‘โต้แย้ง’ หรืออธิบายมากเกินไป เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ต่อให้จอมยุทธ์หยาบคายเพียงใด ก็ไม่มีระบบใดที่สามารถบดขยี้หรือเอาชนะจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่อรหันต์ขั้นสองจะไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นสองได้
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพยักหน้าเล็กน้อย
“แล้วพระโพธิสัตว์อีกสององค์ล่ะ?”
ตู้เอ้อร์มองไปทางเหล่าภิกษุจากระยะไกล แต่ไม่เห็นหลิวหลีกับเจียหลัวซู่
“คงออกไปทำอะไรสักอย่าง” กว่างเสียนพูดสุ้มเสียงใจเย็น
ตู้เอ้อร์พยักหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า
“พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?”
กว่างเสียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“พระพุทธองค์ทรงอยู่ใต้เท้าเรา…”
ในความมืด รอยยิ้มของภิกษุหนุ่มดูแปลกตาน่าขนลุกเล็กน้อย
อรหันต์ตู้เอ้อร์รู้สึกหนาวเหน็บในใจอย่างเห็นได้ชัด เขาท่องพุทโธ พุทโธ เบาๆ อย่างรวดเร็วเพื่อสะกดอารมณ์ไว้
จากนั้นก็ได้ยินกว่างเสียนพูดว่า
“พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชโองการห้ามเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามไปเทศนาหรือเทศน์ที่ไหนอีก”
‘สงครามครั้งนี้ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ เมื่อเหตุการณ์สงบลง ไม่ช้าก็เร็วเขาจะจัดการเรื่องนี้และดับไฟของศาสนาพุทธนิกายมหายานให้หมดสิ้น’…คำพูดของเว่ยเยวียนดังขึ้นอีกครั้งในใจอรหันต์ตู้เอ้อร์
เขามองลึกไปที่พระโพธิสัตว์กว่างเสียน จากนั้นก็มองกลับไปยังเหล่าภิกษุสำนักพุทธ ละสายตาและพูดเบาๆ ว่า
“เข้าใจแล้ว!”
กว่างเสียนพูดต่อไปว่า
“ข้าได้ปรึกษากับพระโพธิสัตว์หลิวหลีและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่แล้ว หลังหมดฤดูใบไม้ร่วง เราจะจัดประชุมธรรมะเพื่อเรียกผู้ศรัทธาทุกคนในดินแดนประจิมทิศให้ไปแสวงบุญที่อรัญตา!”
หลังจากพูดเช่นนั้น ก็ไม่รอให้อรหันต์ตู้เอ้อร์ขานตอบ พลันกลายร่างเป็นแสงสีทองหายวับไปทันที
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ยืนนิ่งเงียบ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็ลงนั่งขัดสมาธิสวดพระสูตรเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นโดยมีเหล่าภิกษุอยู่ไกลออกไป
ในยามค่ำคืน ใบหน้าที่มักขมวดคิ้วมุ่นของเขากลับไม่แสดงออกว่าสุขหรือเศร้า
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าอรหันต์ตู้เอ้อร์หันหลังให้อรัญตาและหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
…
เมืองหลวง อารามรัตนะ
ลั่วอวี้เหิงที่เพิ่งเสร็จสิ้นการบำเพ็ญคู่ ได้แต่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างสระน้ำเล็กๆ เท้าขาวผ่องนุ่มนิ่มของนางแช่อยู่ในน้ำและวักน้ำไปมาเบาๆ
เสื้อคลุมขนนกห้อยหลวมๆ ทั่วตัว คอเสื้อเผยอออกเล็กน้อยเผยให้เห็นผิวสัมผัสสีขาวและร่องลึก
บนผิวน้ำห่างออกไปสองฉื่อ สวี่ชีอันหลับตาและยืนนิ่ง มีระลอกคลื่นเป็นวงกลมบนผิวน้ำใต้ฝ่าเท้าของเขา
ทันใดนั้น ระลอกคลื่นก็เปลี่ยนทิศทางวุ่นวายจากภายนอกสู่ภายใน ระลอกคลื่นที่แผ่ออกจากเท้าเป็นวงกลมพลันกลับไปบรรจบที่เท้าของเขาอีกครั้ง
กระบวนการนี้กินเวลากว่าสิบวินาที ทันทีที่เสร็จสิ้น ระลอกคลื่นพลันลดลงผิวน้ำจับตัวแข็งทันที ไม่มีคลื่นอีกต่อไปแล้ว
ลั่วอวี้เหิงหรี่ดวงตางดงามของนางลงครึ่งหนึ่งพลางพูดเสียงเกียจคร้านราวหญิงสาวสูงศักดิ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล นางสูญเสียกลิ่นอายนางอัปสรผู้เยือกเย็นไปโดยสิ้นเชิง ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของนางขยับเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“การควบคุมพลังปราณในระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องได้พลังต่อสู้พิเศษมากมายแน่เลย”
สวี่ชีอันลืมตาขึ้น กึ่งสุขสันต์กึ่งหนักใจ
“นี่เป็นทักษะประเภทหนึ่ง เมื่อช่องว่างแคบลง ทักษะย่อมกำหนดผลลัพธ์ได้”
แต่ถ้าความแข็งแกร่งมีช่องว่างห่างกันมากเกินไป ทักษะก็ย่อมไร้ความหมาย
แข็งแกร่งกว่าเพียงครั้งเดียวย่อมมีชัยเหนือความเพียรพยายามเป็นสิบครั้ง
การฝึกฝนอย่างหนักทุกวี่ทุกวันก็มิได้ไร้ผล การใช้พลังปราณของเขามาถึงระดับสูงสุดแล้ว อุปมาเหมือนจอมยุทธ์สลายแรงขั้นห้า เพียงแต่ว่าจอมยุทธ์สลายแรงผู้นั้นสามารถควบคุมกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เขาสามารถควบคุมโชคชะตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะปลดปล่อยพลังปราณของเขาออกมาแล้ว เขาก็ยังสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการ
“ท่านราชครู เซียนครองพิภพจะเลื่อนขั้นเข้าสู่ระดับวิถีแห่งความรู้แจ้งได้อย่างไร?” สวี่ชีอันเอ่ยปากถาม
ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดึงดูดใจว่า
“ต้องปรับปรุงสองด้าน หนึ่งคือควบคุม ‘ดิน ลม น้ำ และไฟ’ ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น สองต้องระดมพลังธาตุให้มีพลังมากขึ้น แล้วทักษะกระบี่ทั้งสามประการของลัทธิเต๋าอันได้แก่ ‘ปราณ หัวใจ และการควบคุม’ ก็จะแข็งแกร่งขึ้น
“เทพสวรรค์ก็น่าจะกึ่งๆ เซียนครองพิภพแล้ว เขาไม่มีวิธีการอะไรมากกว่าข้า แต่เขามีพลังมากกว่าข้า น่าจะเป็นเพราะพลังธาตุที่เขาระดมมาได้นั้นแข็งแกร่งกว่าข้า”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ดูเหมือนระบบจอมยุทธ์จะพิเศษจริงๆ”
จอมยุทธ์ระดับขั้นหนึ่งกับสูงสุดขั้นหนึ่ง ช่างเป็นสองระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งกับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน สวี่ชีอันตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้หลังจากได้เห็นเสินซูในร่างสมบูรณ์
ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ ยืดเอวเขา ดันส่วนโค้งอันงดงามของเขาจนสุด ทว่ายังดูง่วงงุนท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย
“ตั้งแต่กลับมาจากดินแดนประจิมทิศ เจ้าดูค่อนข้างหดหู่ ระดับสุดยอดที่นั่นมีพลังมากแค่ไหนรึ?”
สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกระซิบบอก
“ทรงพลังอย่างไม่อาจคาดเดาได้”
“เมื่อเผชิญหน้ากับพระพุทธเจ้า ทุกวิธีการที่ข้ามีก็ไร้ความหมาย ความรู้สึกลึกๆ ของข้าคือความรุนแรงเท่านั้นที่จะเอาชนะระดับสุดยอดได้”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว
“รุนแรงสุดขีดเหมือนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวรึ?”
“ไม่!” สวี่ชีอันส่ายหัว
“เทพยุทธ์ครึ่งก้าวมีคุณสมบัติมากพอจะแข่งขันกับระดับสุดยอดได้ จนถึงทุกวันนี้ ข้ายังไม่สามารถประมาณขีดจำกัดของระดับสุดยอดได้เลย”
มีคุณสมบัติในการเข้าแข่งขันมิได้หมายความว่ามีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ
ในเวลานี้ ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วและกระชับเสื้อคลุมขนนกอันแสนหมิ่นเหม่ปกปิดไหล่และหน้าอกที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง
มีคนจงใจรื้อสิ่งกีดขวางที่วางอยู่นอกลาน
แล้วนักบวชลัทธิเต๋าวัยฉกรรจ์ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็ว เขาหยุดอยู่นอกประตูลานโค้งแล้วพูดว่า
“ฆ้องเงินสวี่ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สำนักโหราจารย์!”
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง