บทที่ 849 เจินจู
……….
เหตุผลที่อาจื่อไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือไม่เพราะในชีวิตนี้นางไม่เคยพบเจอเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อน เคยแต่ได้ยินผู้อาวุโสในเผ่าบรรยายรูปร่างหน้าตาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ฟังจากปากต่อปากเท่านั้น
ลูกหลานเทพมารมักอาศัยอยู่แถบโพ้นทะเลและไม่เคยติดต่อกับจิ่วโจว แม้จะมีบ้างบางครั้งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกขึ้นฝั่งมาสอบถามเหตุการณ์และทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์ของจิ่วโจว
จึงมักมีตำนานเกี่ยวกับมนุษย์เงือกแถวชายฝั่งแต่ก็ไม่แพร่หลายนัก
ยิ่งใกล้บ้าน ลูกหลานเทพมารก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น ถึงพวกมันจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ แต่พวกมันยังคงลักษณะร่างกายรูปร่างหน้าตาดั้งเดิมบางอย่างไว้ เว้นแต่พวกมันจะปกปิดด้วยภาพลวงตา ซึ่งก็ยากที่จะควบคุม
อย่างเช่น เมื่อราชินีแปลงร่างเป็นมนุษย์ สีตาและสีผมของนางกลับไม่เปลี่ยนแปลงและในร่างกายของนางยังมีบางส่วนเป็นเกล็ด
อาจื่อไม่เห็นว่าชายผู้นั้นมีลักษณะอะไรแปลกไป ดังนั้นนางจึงเดาอย่างกล้าหาญว่าเขาเป็นผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์
‘ใช่แล้วและยังมีจิ้งจอกเก้าหางอยู่ด้วย’…อาจื่อพูดเสริมว่า
“ผู้หญิงอีกคนเป็นลูกหลานเทพมาร นาง…”
อาจื่อบรรยายลักษณะของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอย่างละเอียด เน้นยกย่องความงามไร้ผู้เปรียบและเสน่ห์อันเร้าใจของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องความแข็งแกร่ง
เพราะนางไม่เห็นจิ้งจอกเก้าหางลงมือ
ราชินีเงือกขมวดคิ้วงดงามของนาง จากนั้นแสดงท่าทางประหลาดใจและรำพึงเบาๆ
“ข้ารู้แล้ว เป็นนางนั่นเอง”
นางมองอาจื่อ รอยยิ้มของนางอ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับสายน้ำไหลริน นางพูดเสียงแผ่วเบา
“เจ้าผิดแล้ว ควรเป็นมังกรชั่วร้ายยอมจำนนต่อจิ้งจอกเก้าหาง ไม่ใช่ผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์”
อาจื่อประหลาดใจและคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าผู้ชายเผ่าพันธุ์มนุษย์แข็งแกร่งมาก นางเห็นด้วยตาตัวเองว่ามังกรชั่วร้ายเคารพนบนอบเขา แล้วใครคือจิ้งจอกเก้าหางล่ะ?
หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ
ราชินีเงือกพยักหน้าเล็กน้อย
“ทางชายแดนตอนใต้ของแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว มีดินแดนหนึ่งชื่อว่าอาณาจักรหมื่นปีศาจ เจ้าอาณาจักรเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง นางเป็นลูกหลานสุนัขจิ้งจอกชิงชิวเทพมารสมัยโบราณ เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว จิ้งจอกเก้าหางเคยมาที่เกาะมนุษย์เงือก ขณะนั้น อาจื่อยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทรงพลังมาก เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นแนวหน้าในแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวและแถบโพ้นทะเล”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่นานมานี้ ข้าสัมผัสกลิ่นอายของนางได้ พูดตามหลักการแล้ว นางไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไปทะเล หรือเป็นไปได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินใหญ่จิ่วโจว…”
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นางสัมผัสกลิ่นอายของเจ้าอาณาจักรได้บนเกาะมนุษย์เงือก อีกฝ่ายเพิ่งผ่านไปแท้ๆ แต่กลิ่นอายของนางกลับหายวับไปแล้ว นางไม่ได้หยุดอยู่ที่เกาะมนุษย์เงือก
สิ่งที่ราชินีพูดนั้นสมเหตุสมผล อาจื่อพลันตระหนักว่านางพลาดไปแล้ว กลายเป็นว่าแท้จริงแล้วคนสำคัญก็คือจิ้งจอก ไม่สิ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
นางเป็นผู้กำราบมังกรชั่วร้าย
หัวหน้าองครักษ์ยิ้ม
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่นางกำราบมังกรชั่วร้ายให้ก็เป็นเมตตาอันใหญ่หลวงต่อพวกเรา เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกแล้ว”
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือก
อาจื่อใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้จึงรีบพูดว่า
“ข้าเจอนางอยู่ข้างนอก นางมาขอพบท่าน”
ราชินีเงือกไม่ได้ตกลงทันที หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็พยักหน้าช้าๆ
“พวกนางอยู่ที่ไหน? ข้าจะพาคนในเผ่าออกไปทักทายพวกนางเป็นการส่วนตัว”
นางคิดทำข้อตกลงกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ถึงแม้จิ้งจอกจะมีเสน่ห์และดื้อรั้น แต่ท่าทีที่นางมีต่อมนุษย์เงือกกลับอ่อนโยน อย่างน้อยพวกนางก็มิใช่ศัตรู
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระดับตบะของอีกฝ่าย การจะใช้กำลังบุกเข้าไปในเกาะมนุษย์เงือกย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่อาจื่อไม่จำเป็นต้องแจ้งเรื่องนี้ให้รู้
ขณะที่พูดนางก็ลุกขึ้นจากเตียงหินโมราและถลาลงไปในน้ำเบาๆ ดูเหมือนน้ำจะกลับฟื้นคืนชีวิตและพวยพุ่งขึ้นราวน้ำพุ เข้ารองรับร่างบอบบางของราชินีเงือกไว้
‘คลื่น’ พานางออกจากวัง โดยมีหัวหน้าองครักษ์กับอาจื่อตามหลังราชินีมาติดๆ
ทั้งสามคนออกจากวัง ในเวลานี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกรวมตัวกันอยู่นอกวังค่อนข้างหนาแน่น บ้างก็ยืนอยู่ในน้ำบ้างก็นั่งที่โต๊ะ พูดคุยกันเสียงดัง
ข่าวที่อาจื่อนำมาทำให้เกิดการถกเถียงมากมาย แต่ไม่มีใครกล้าไปตรวจสอบ
ในเวลานี้ประตูพระราชวังเปิดออก ราชินียืนอยู่บนน้ำพุ โน้มตัวเข้าหาคนในเผ่า
เผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกหยุดพูดคุยกันทันที พวกเขาตระหนักว่าราชินีจะให้คำตอบที่ถูกต้องแก่พวกเขา
“พี่น้องร่วมเผ่า!”
ราชินีเงือกมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาสีทองของนาง เสียงของนางช่างนุ่มนวลอ่อนหวานเสียจริง
“มังกรชั่วร้ายถูกสหายจากแดนไกลกำราบแล้ว วิกฤตของพวกเราสิ้นสุดลงแล้ว”
มนุษย์เงือกมองหน้ากัน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังก้องถ้ำและดังก้องอยู่เป็นเวลานาน
อาจื่อไม่ได้โกหก
ผู้แข็งแกร่งที่กำราบมังกรชั่วร้ายคือใครกัน?
…
“ท่านราชครู การแผดเผาร่างกายด้วยไฟแห่งกรรมไม่ใช่การละเล่นของเด็กๆ ผิดพลาดเพียงครั้งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจแก้ไข”
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้ววิตกกังวลแล้วพูดว่า
“นอกจากนี้ เมื่อบุคคลหนึ่งได้ปลูกฝังพลังภายในของลัทธิเต๋าจนถึงระดับเหนือมนุษย์แล้ว เมื่อนั้นก็จำต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกไฟแห่งกรรมแผดเผา ข้าควรทำเช่นไร…”
พูดจบ เขาก็เห็นไม้ปัดฝุ่นในมือลั่วอวี้เหิงกระทบตัวเขาเบาๆ สัญชาตญาณของฉู่หยวนเจิ่นบอกให้หนี แต่เขายังควบคุมตัวเองได้
ไม้ปัดฝุ่นปัดโดนแขนเขาไม่แรงนัก แต่สิ่งที่ตามมาคือความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ความรัก ความชั่วร้ายและความปรารถนา…อารมณ์เหล่านี้รุนแรงมากเหมือนน้ำท่วมทลายเขื่อน ท่วมทับเหตุผลของฉู่หยวนเจิ่นทันที
บางครั้งก็โกรธจนอยากทำลายโลกทั้งใบ โลกมนุษย์ที่แสนขุ่นมัว บางครั้งก็เศร้า คิดว่าตัวเองเป็นคนขี้แพ้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย บางครั้งก็มีความสุข จนอยากลุกขึ้นมาร้องเพลงและเต้นรำ…
ในเวลานี้ เสียงดึงดูดใจของลั่วอวี้เหิงก็แจ่มชัด เยือกเย็นดังน้ำแข็งกระทบกันพลันก้องอยู่ในหู
“กอดหยวนกลับหนึ่ง หมั่นใช้วิธีลับขัดเกลาจิตวิญญาณเลี้ยงจิตไว้เพื่อควบคุมอารมณ์ทั้งเจ็ด”
คำพูดของนางมีพลังบางอย่างที่ช่วยบรรเทาวิญญาณอันวุ่นวายของฉู่หยวนเจิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาคว้าด้ายแห่งความชัดเจนนี้เพื่อรักษาจิตเดิมของเขาให้มั่นคง จากนั้นก็เริ่มใช้พลังภายใน ‘เลี้ยงจิต’ ซึ่งก็คือการพยายามเปลี่ยนอารมณ์ทั้งเจ็ดให้เป็นกระบี่
สิ่งที่เรียกว่าการเลี้ยงจิตคือการสะสมและบีบอารมณ์ลงไปในกระบี่ วันแล้ววันเล่า จากเล็กๆ น้อยๆ ก็เพิ่มมากขึ้นและในที่สุดก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน
โดยแก่นแท้แล้ว จำต้องใช้อารมณ์และความตั้งใจอันแข็งกล้า
ไฟแห่งกรรมที่เผาผลาญกายอยู่ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ลั่วอวี้เหิงกวาดตาไปทั่วใบหน้าฉู่หยวนเจิ่นและมองไปที่กระบี่ยาวด้านหลังเขา กระบี่อยู่ในฝัก แต่แสดงความคมออกมาแล้ว
หลังถอดออกจากฝัก พลังของมันจะเป็นเช่นไร?
นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและใช้ไม้ปัดฝุ่นปัดไหล่ฉู่หยวนเจิ่นอีกครั้ง เพื่อดึงอารมณ์ที่ฝังอยู่ในร่างกายเขากลับคืนมา
ในระดับเซียนครองพิภพ ไฟแห่งกรรมมิใช่ภัยคุกคามอีกต่อไปและยังสามารถจัดการเพื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูได้อีกด้วย
หลังจากนำไฟแห่งกรรมกลับมา อาการของฉู่หยวนเจิ่นก็ดีขึ้นทันที เขาลืมตาขึ้น รู้สึกทั้งมีความสุขและหวาดกลัวไปพร้อมกัน เขาจ้องมองใบหน้าไร้ที่ติของท่านราชครูลั่วอวี้เหิง แล้วถอนหายใจ
“ปรากฏว่านี่คือไฟแห่งกรรมเผาผลาญร่างกาย ปรากฏว่าท่านราชครูต้องอดทนกับความเจ็บปวดเช่นนี้”
แน่นอนว่าทุกคนที่สามารถบรรลุความสำเร็จในขั้นแรกได้คือบุคคลผู้มีความอุตสาหะ มีความสามารถยอดเยี่ยมและมีโอกาสอันยิ่งใหญ่
หากไม่มีอะไรอื่น หากไฟแห่งกรรมของลัทธิเต๋าเผาผลาญร่างกายทว่าจิตตานุภาพไม่แข็งแกร่งพอ ผู้คนจะถูกลดสถานะลงกลายเป็นทาสของอารมณ์ทั้งเจ็ดเป็นเวลานาน จนจิตอาจสลายแล้วตายจากไป
แต่ลั่วอวี้เหิงอดทนกับมันมายี่สิบปี
“ท่านราชครู ข้าจะรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดด้วยตัวเองเช่นไร?” ฉู่หยวนเจิ่นขอคำแนะนำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว
เขาไม่ได้ปลูกฝังพลังภายในลัทธิเต๋า แม้ว่าวิธีการของลั่วอวี้เหิงจะถูกต้อง แต่ก็ไม่มีความหมายหากไม่สามารถผลิต ‘พลังงาน’ ได้ด้วยตัวเอง
ลั่วอวี้เหิงพูดเบาๆ
“สำรวจดูด้วยตัวเอง!”
…
ฉู่หยวนเจิ่นอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ
นิสัยของท่านราชครูนั้นไม่น่าคบจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง