ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 859

สรุปบท บทที่ 859 ความฝันอันงดงาม: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 859 ความฝันอันงดงาม จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 859 ความฝันอันงดงาม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 859 ความฝันอันงดงาม

……….

‘ไอ้สิบแปดมงกุฎ’…จิ้งจอกเก้าหางกลอกตา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลดระดับความสูงลงมา นางป้องกันการจู่โจมจากสวี่ชีอันไปพลาง ถามไปพลางว่า “เจ้าเหยียบอะไร?”

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับ เขากระโจนเข้าไปในหินหนืด คลำอยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงวัตถุบางอย่างออกมาจากด้านล่างของหินหนืด

นางปีศาจผมขาวเยื้องกรายลงมาลอยอยู่บนหินหนืด ชะโงกหน้ามองกระดูกสีแดงเพลิงชิ้นหนึ่งในมือของสวี่ชีอัน มันมีขนาดใหญ่เท่ากับอ่างทองแดง พื้นผิวของมันแกะสลักลายเปลวเพลิงที่ดูไม่เป็นระเบียบ

“นี่ดูเหมือนจะเป็นกระดูกสันหลังของสัตว์ใหญ่บางชนิด พูดให้ถูกก็คือกระดูกสันหลังของหนึ่งในนั้น”

สวี่ชีอันก้มศีรษะลงไปตรวจสอบกระดูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากับอ่างทองแดงและกล่าววิเคราะห์ว่า “เจ้าของมันน่าจะมีรูปร่างสูงกว่าห้าจั้ง แต่เตี้ยในหมู่เทพปีศาจ เจ้าว่านี่เป็นสถานที่ที่เทพปีศาจตนนี้ตายหรือไม่?”

เมื่อวิเคราะห์จากประสบการณ์ของเขา กระดูกสันหลังชิ้นนี้น่าจะเป็นศูนย์กลางที่เก็บจิตวิญญาณโดยกำเนิดของเทพปีศาจตนนี้

กระดูกอยู่ที่นี่ เช่นนั้นบริเวณที่ถูกปกคลุมไปด้วยหินหนืดก็น่าจะเป็นสถานที่ที่เทพปีศาจตนนี้ล่มสลาย

“เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในสนามรบโบราณของเทพปีศาจ เช่นนั้นสถานที่นี้ย่อมเป็นสถานที่ที่มันล่มสลาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากการสิ้นขององค์เทพ จะมีเทพปีศาจใจดีฝังมันไว้ใต้ดิน?”

จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่าสิ่งที่เขาถามล้วนไร้สาระ

“แต่ข้าคิดไม่ตกมาโดยตลอด เหตุใดหลังจากที่เทพปีศาจสิ้นแล้วถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเกินจริงเช่นนี้ กลายสภาพเป็นหมู่เกาะและเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นทะเลเพลิง…ถ้าจะพูดว่าพลังการต่อสู้ของพวกมันไม่ด้อยไปกว่าระดับสุดยอด ข้าไม่เชื่อ”

พวกมันไม่ได้ดีไปกว่าข้าเสียด้วยซ้ำไป แต่หากข้าล่มสลาย อย่างมากที่สุดก็เป็นร่างกายที่มิอาจทำลายได้

สวี่ชีอันมองนางโดยหวังว่าจะได้รับคำตอบ

นางปีศาจผมขาวช้อนดวงตาคู่สวยขึ้นมามอง พลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครตอบคำถามของเจ้าได้ เทพปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษ เจ้าคงแค่คิดว่าพวกมันเกิดมาพร้อมกับความสามารถกระมัง”

รอจนสวี่ชีอันพยักหน้า นางก็กล่าวว่า “เจ้าเก็บกระดูกไว้ มันเป็นวัสดุยอดเยี่ยมที่หาได้ยากยิ่ง ส่งมันไปให้โหร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลั่นอาวุธวิเศษที่ไม่มีใครเทียบได้ออกมาได้”

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงเก็บไว้ด้วยความยินดีอย่างมาก

ผ่านพื้นที่ที่อบอวลไปด้วยเปลวเพลิงเหล่านี้ พวกเขามีประสบการณ์กับสถานที่ล่มสลายของเทพปีศาจหลายแห่ง มีสถานที่ที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดซึ่งเทียบได้กับภัยพิบัติจากสวรรค์ หนองน้ำที่มีมนุษย์หินเดินเตร่ พื้นที่ซึ่งน้ำไหลออกอย่างรวดเร็วหลังจากที่เข้าไป เมื่อทั้งสองออกมาก็เกือบจะกลายเป็นมัมมี่

โชคดีที่สถานการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นวิกฤตการณ์ที่สามารถจัดการได้ ซึ่งไม่เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงถึงชีวิตต่อทั้งสองคน

ซากโบราณสถานของเทพปีศาจนี้ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ สวี่ชีอันประเมินว่าพวกเขาทั้งสองเดินทางมาอย่างน้อยหนึ่งร้อยลี้แล้ว แต่ยังคงสำรวจเกาะเทพปีศาจนี้อยู่

หลังจากพวกเขาบุกเข้าไปยังพื้นที่ที่เหลือไว้หลังจากการสิ้นของเทพปีศาจ เบื้องหน้าก็ปรากฏเพียงความรกร้างว่างเปล่าอันมืดมิด ไม่มีพืชพรรณ เปล่าเปลี่ยวและเงียบสงบ

จิ้งจอกเก้าหางและสวี่ชีอันมองหน้ากัน สถานที่ที่ไม่มีความผิดปกติเช่นนี้ มักจะเป็นที่ที่อันตรายที่สุด

เนื่องจากมองไม่เห็นความผิดปกติ เจ้ายิ่งไม่สามารถป้องกันและตกเป็นเป้าหมายได้

“ดูเหมือนจะมีรอยเท้าอยู่ตรงนั้น”

ดวงตาคมกริบของจิ้งจอกเก้าหางจ้องไปทางทิศตะวันตกและพูดเสียงเบา

ทั้งสองบินต้านสายลมแล้วมองลงมาจากที่สูง นั่นคือรอยเท้าจริงๆ รอยเท้าของแกะ เมื่อวิเคราะห์จากขนาดของรอยเท้า เจ้าของรอยเท้าน่าจะมีรูปร่างสูงกว่ากำแพงเมืองเสียอีก

“มีแค่รอยเดียวรึ?”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วและต้องการที่จะเพิ่มระดับความสูง แต่มีหมอกที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อยู่ที่เหนือศีรษะแล้ว

เขาและจิ้งจอกเก้าหางกลับมาที่พื้นดินทันที สวี่ชีอันกล่าวว่า “ตามกฎเดิม ข้าจะไปค้นหาเส้นทาง!”

ฮวงสามารถผ่านสถานที่นี้ไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ไม่มีเหตุผลที่เขาทำไม่ได้

ในแง่ของความสามารถในการป้องกันทางกายภาพและการฟื้นฟู สวี่ชีอันคิดว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพปีศาจระดับสุดยอดในอดีตตนนั้น

“ระวังหน่อย” จิ้งจอกเก้าหางส่งสัญญาณเตือน นางเชื่อใจสวี่ชีอันมาก

สวี่ชีอันเดินไปทางพื้นที่ราบอันรกร้างและมืดมิด หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…ในระหว่างกระบวนการนี้ นางปีศาจผมขาวจ้องมองเขาไม่วางตา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สี่ก้าว ห้าก้าว…ในขณะที่สวี่ชีอันก้าวเท้าก้าวที่หก จู่ๆ เขาก็หายตัวไป หายไปอย่างแปลกประหลาด

“สวี่หนิงเยี่ยน!?”

จิ้งจอกเก้าหางเปิดจิตคำนึงศักดิ์สิทธิ์ทันทีเพื่อสำรวจสถานการณ์โดยรอบพร้อมกับตะโกนชื่อของสวี่ชีอัน

เสียงของนางดังก้องเข้าไปในสถานที่อันรกร้างโดยไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา

‘รอยเท้าของฮวงก็มีเพียงรอยเดียว มันหายไปโดยไม่มีเหตุผลเหมือนกันรึ?’ นางปีศาจผมขาวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเกิดการคาดเดาในใจแล้ว นางก็ตัดสินใจบินอย่างรีบเร่งไปทางสถานที่อันรกร้าง

ในขณะที่นางบินออกไปในระยะทางสั้นๆ ฉากเบื้องหน้าก็พร่ามัว ทิวทัศน์เปลี่ยนไป จากนั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระทบเข้าที่หน้าอกของตนเอง

คำพูดของสวี่ชีอันดังทุ้มอยู่ที่ข้างหู “อะไรบังตาข้า?”

นางปีศาจผมขาวกระตุกริมฝีปากและก้มศีรษะลง พอดีกับที่เห็นสวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าอกของนาง ทั้งสองประสานสายตากัน สวี่ชีอันอุทานว่า “เกรงใจเกินไปแล้ว เกรงใจเกินไปแล้ว!”

จิ้งจอกเกาหางสะบัดเขาออกด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไม่ให้โอกาสเขาแต๊ะอั๋งอีกต่อไป ในขณะที่มองไปรอบๆ นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พื้นที่ว่างเปล่า?”

สวี่ชีอันยังคงจมอยู่กับเสน่ห์ของกลิ่นโฟมล้างหน้า หลังจากล่าช้าไปครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้ากล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น สิ่งที่ควบคุมเทพปีศาจที่ล่มสลายลงที่นี่น่าจะเป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ว่างเปล่า พื้นที่ชุลมุนวุ่นวายกระจายไปทั่ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเจ้าของคอยควบคุม สิ่งมีชีวิตที่ผลีผลามเข้ามาสถานที่แห่งนี้ก็จะถูกส่งตัวไปอย่างไม่เป็นระเบียบ”

จิ้งจอกเก้าหางกล่าวพึมพำว่า “เช่นนั้นจะฝ่าฟันสถานที่แห่งนี้ไปได้อย่างไร?”

สวี่ชีอันยักไหล่แล้วกล่าวว่า “เดินทีละก้าว ว่ากันไปทีละก้าว พื้นที่ว่างเปล่าเป็นวรยุทธ์ที่ลึกซึ้งมาก เท่าที่ข้ารู้จนถึงตอนนี้ มีเพียงการส่งตัวของโหรและเขตอาคมล่องหนของพระโพธิสัตว์หลิวหลีเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตความว่างเปล่า”

จิ้งจอกเก้าหางกล่าวว่า “ระวังตัวด้วย พื้นที่ที่จิตวิญญาณของเทพปีศาจยังหลงเหลืออยู่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ย่อมไม่สามารถส่งตัวแบบสุ่มได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ก็อย่าลืมว่า ฮวงอาจจะยังอยู่ในพื้นที่แห่งนี้”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ ลางสังหรณ์ของข้าจะคัดค้านข้าเอง”

เหตุผลที่เมื่อครู่ถูกจิ้งจอกเก้าหางใช้โฟมล้างหน้าฉาบใบหน้า เป็นเพราะลางสังหรณ์ขั้นวิกฤติไม่มีการตอบสนองใดๆ ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันไม่มีภัยอันตรายจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่มีอันตราย แต่ยังสดชื่นขึ้นเล็กน้อยด้วย

ในขณะที่เขากล่าวก็เดินไปด้านหน้าด้วย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานของจิ้งจอกเก้าหางดังมาจากด้านหลัง

หันกลับไปมองก็ต้องตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นร่างกายท่อนล่างของนางปีศาจผมขาวหายไปแล้ว ตั้งแต่เอวลงมาถูกตัดออกเป็นสองท่อน ร่างส่วนบนยังอยู่ที่เดิม ร่างส่วนล่างไม่รู้ว่าหายไปไหน

นี่…สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น

“พื้นที่ว่างเปล่าแตกกระจัดกระจายรึ?”

จิ้งจอกเก้าหางก้มลงไปมองร่างกายส่วนล่างที่หายไปและกล่าวเสียงทุ้มว่า “ไม่เพียงแต่แตกกระจัดกระจาย แต่ยังเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา”

หากเปรียบเทียบพื้นที่ปกติกับกระจกที่มั่นคง เช่นนั้นพื้นที่ตรงนี้ก็เป็นกระจกที่ประกอบด้วยเศษชิ้นส่วน ที่แต่ละชิ้นเคลื่อนที่ไปอย่างต่อเนื่อง

สิ่งมีชีวิตที่เข้ามาที่นี่ เมื่อร่างอยู่ในชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่ง ก็จะเคลื่อนที่ไปตามการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนต่างๆ ราวกับกำลังเคลื่อนย้ายมวลสาร

แต่เมื่อร่างไม่ได้อยู่ในชิ้นส่วนเดียวกัน เมื่อพวกมันเคลื่อนไหวก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับจิ้งจอกเก้าหาง

ร่างกายจะถูกตัดกระจายออกเป็นชิ้นๆ

สวี่ชีอันครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจ้ารู้สึกได้หรือไม่ว่าส่วนของร่างกายที่ถูกแยกออกไปอยู่ที่ใด?”

จิ้งจอกเก้าหางวางคางไว้บนไหล่ของเขาพอดีจึงเกือบถูกเขาจุมพิต นางเด้งตัวขึ้นมาจากแผ่นหลังของเขาพลางกลอกตากล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้ารู้เรื่องเทพปีศาจไม่มากนัก ตามกฎเดิม เจ้าไปดูสิ”

สวี่ชีอันพยักหน้า หายใจเข้าลึกๆ อยู่ที่เดิม ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในกลุ่มหมอกหนา

เขาเดินไปได้ไม่ไกล หลังจากเข้าสู่บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาแล้วก็หยุดทันที หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน

ในขณะที่จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขา สวี่ชีอันก็ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อนที่แฝงไปด้วยความหวาดผวา

“เกิดอะไรขึ้น?”

นางตะโกนมาจากที่ไกลๆ

“สบายดีมาก!”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

‘สบายดีมาก? สบายดีตรงไหนกัน’…นางปีศาจผมขาวขมวดคิ้วรอคำอธิบายจากเขา

สวี่ชีอันกล่าวว่า “ที่นี่คือขอบเขตแดนแห่งความฝัน ความฝันที่ทำให้คนลุ่มหลงจนไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ ช่างงดงามแต่ก็น่ากลัวมากเช่นกัน หากข้าไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ข้าอาจจะติดอยู่ในความฝันอันสวยงาม ไม่มีทางหลุดพ้นจนกระทั่งตายไป”

“เช่นนั้นเจ้าเห็นอะไร?” จิ้งจอกเก้าหางถาม

“เมื่อครู่เห็นร่างของเจ้าไม่ใช่รึ ความฝันแรกของข้าก็คือการนอนกับเจ้าที่นี่ อย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ใช่คนประเภทบีบบังคับจิตใจคนอื่น เป็นเจ้าที่ต้องการก่อน เจ้ายังพูดด้วยว่า ข้าเห็นร่างของเจ้าแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับข้า”

สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านและทอดถอนใจกล่าวอีกว่า “เจ้าในความฝันช่างเชื่อฟังดีจริงๆ”

…นางปีศาจผมขาวยิ้มเยาะ “ยังมีอีกหรือไม่”

นางรู้ว่าสิ่งที่สวี่ชีอันพูดกับนางเป็นความสามารถในการอธิบายความฝันอย่างใจเย็นและไม่ลำเอียง

แต่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกโกรธมาก!

อะไรคือการทำอะไรไม่ได้ นอกจากมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง? ด้วยนิสัยของข้าแล้ว ต้องฆ่าเจ้าให้ตายด้วยการลงดาบครั้งเดียว

ช่างเป็นความฝันอันแสนหวานจริงๆ!

“หลังจากนั้นพวกเราทั้งสองก็พบกับฮวงและฆ่ามันได้สำเร็จ ช่วยท่านโหราจารย์ออกมาได้อย่างปลอดภัย จากนั้นก็กลับจิ่วโจวด้วยกัน แล้วพลังเทพของข้าก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ข้าบำเพ็ญจนเป็นเทพยุทธ์ไร้พ่าย เอาชนะเทพพ่อมด เทพกู่และพระพุทธเจ้าได้ จิ่วโจวสงบสุข เพราะผลงานของข้ายิ่งใหญ่มาก ฮว๋ายชิ่งก็รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากแต่งงานกับข้าจึงจะสามารถตอบแทนที่ข้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อราชสำนัก เพื่อประชาชนของต้าฟ่ง ต่อมาข้าก็สร้างพระราชวังหลังหนึ่งที่เมืองหลวง ชื่อที่ตั้งก็คือ พระราชวังไป๋ฮวา เหล่าเพื่อนสนิทต่างเพศของข้าล้วนอยู่ที่นั่นทั้งหมดและยังอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี พวกนางสละสิทธิ์การนอนกับข้าอย่างเป็นมิตร และยังขอร้องให้ข้าพระราชทานพระเมตตาอย่างทั่วถึง อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ทุกคนในฝันล้วนเชื่อฟังเป็นอย่างดี…”

‘ไร้สาระ เพราะนี่คือความฝันอันงดงามของเจ้าอย่างไรล่ะ!’ สมองของจิ้งจอกเก้าหางเต็มไปด้วยคำตำหนิ แต่ฟังไปฟังมา จู่ๆ นางก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ นางจึงกล่าวด้วยความโกรธว่า “ข้าล่ะ? นี่เจ้าลืมข้าไปแล้วรึ?”

สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “ไม่ลืม เจ้าและหางทั้งเก้าอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ รอคอยข้าด้วยความลุ่มร้อนใจ ข้ามักจะมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าเป็นระยะๆ วันปีต่างๆ ผ่านไปอย่างสงบและมีความสุข จุ๊ๆ…”

จิ้งจอกเก้าหางมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่งและระเบิดเสียงหัวเราะ “เหอะๆ”

สวี่ชีอันยักไหล่ “แต่ต่อมาข้าก็พบว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าก็ดี ฝูเซียงก็ดี หรือลั่วอวี้เหิง ฮว๋ายชิ่ง หลินอัน และมู่หนานจือ พวกนางล้วนใช่ย่อย หากจัดให้พวกนางอยู่ด้วยกันก็มีแต่จะทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวันจนถึงขั้นดึงผมจิกหน้า ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล สุดท้ายข้าก็หลุดพ้นจากแดนแห่งความฝัน”

จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวในฉับพลันว่า “เจ้าหมายความว่า วิธีการหลุดพ้นจากความฝันคือบอกใบ้ตัวเองในใจอยู่ตลอดเวลาโดยเน้นว่าสิ่งที่เจ้าเห็นในความฝันนั้นไม่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่?”

สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ “เป็นเช่นนั้น!”

ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดว่า “เข้ามาเถอะ” จู่ๆ ก็เห็นสีหน้าของจิ้งจอกเก้าหางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางชี้ไปที่ด้านหลังตนเองและกล่าวว่า “สิ่งต่างๆ ในความฝันจะปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมหรือไม่?”

สวี่ชีอันตกตะลึง “หมายความว่าอะไร?”

จิ้งจอกเก้าหางตะโกนสุดเสียง “ฮวงอยู่ด้านหลังเจ้า!”

………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง