ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 858

บทที่ 858 เข้าเกาะ

……….

ฉากตรงนั้นทำให้เหล่าทายาทของเทพมารอ้าปากค้าง เงียบอยู่นานสองนาน วาฬมังกร อาชาดำ และวิหคเพลิงต่างเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของโพ้นทะเล คนกลุ่มน้อยที่ยืนอยู่จุดสูงสุด

แต่ทายาทเทพมารทั้งสามที่แกร่งกล้าเช่นนี้ แต่ถูกหญิงพราวเสน่ห์บนดาดฟ้าเรือฉีกขาดอย่างง่ายดาย การป้องกันร่างกายอันแข็งแกร่งและพละกำลังปราณโลหิตอันน่าภาคภูมิใจเทียบสามหางของอีกฝ่ายไม่ติดสักนิด

เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเลิกคิ้วเล็กน้อยท่ามกลางความเงียบอย่างต่อเนื่อง เขารู้ว่าจิ้งจอกเก้าหางสูงกว่าตนหนึ่งระดับ เป็นขั้นสองในระดับที่แบ่งตามเผ่ามนุษย์

นึกไม่ถึงว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจจะแข็งแกร่งเช่นนี้

ทายาทเทพมารขั้นสามที่ทัดเทียมกันเช่นอาชาดำ เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยจริงๆ วาฬมังกรก็เป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยที่ทรงพลังเท่านั้น

‘แล้วข้าล่ะ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของคลื่นพิโรธก็สับสนขึ้น หลังจากเขาเห็นสวี่ชีอันที่น่าจะเป็นขั้นสองก็สับสนยิ่งกว่าเดิม

“โพ้นทะเลยังมีผู้แข็งแกร่งระดับนี้ด้วยหรือ ทายาทเทพมารที่เพิ่งเลื่อนขั้นหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ด้วยระดับของนางไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเรียงนามก่อนที่จะเลื่อนขั้น”

ทายาทเทพมารเกินกว่าร้อยที่กระจายไปทั่วทุกที่ พวกเขาเดาระดับของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้จากบทสนทนาฉับพลันท่ามกลางความหวาดผวา

ในเมื่อฆ่าอาชาดำและวาฬมังกรได้ง่ายดายเช่นนี้ คงอยู่คนละระดับกับพวกมันแน่นอน

ขณะที่เหล่าทายาทเทพมารที่เฝ้ามองพากันผุดความคิดขึ้น นางปีศาจผมขาวก็ดูดกลืนแก่นโลหิตบนร่างศพของอาชาดำและวิหคเพลิง ‘อึก อึก อึก’ เหมือนกับปลิงดูดเลือด

ท่ามกลางฟากฟ้าเหนือพื้นทะเล จิตเดิมของอาชาดำและวิหคเพลิงคำรามอย่างโกรธแค้น ชิ้นเนื้อของพวกมันขยับเขยื้อนอย่างบ้าคลั่ง พยายามรวมตัวใหม่ ทว่าเมื่อการทำงานลดลง แก่นสำคัญก็เหือดหาย ได้แต่เปลี่ยนเป็น ‘เนื้อตาย’ อย่างช่วยไม่ได้

ร่างกายตายไปในที่สุด

ชิ้นส่วนศพของวาฬมังกรไม่ได้ลอยขึ้นมา ทว่าเลือดที่ย้อมสีผืนทะเล ในระหว่างนี้ก็จางหายไปอย่างช้าๆ กระทั่งฟื้นคืนกลับมาเป็นคลื่นสีฟ้าใส

บัดนี้หางจิ้งจอกทั้งเก้าก็เปลี่ยนเป็นหางสีแดง แดงสดและแวววาว

“นางเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ทายาทของจิ้งจอกชิงชิว เล่ากันว่าสายเลือดนี้ได้สร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจในแผ่นดินจิ่วโจว ทายาทเทพมารเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้ถูกปรมาจารย์เต๋าขับไล่ออกจากจิ่วโจว”

“มะ มิน่าอาชาดำกับวาฬมังกรถึงเหมือนสุนัขโดนเชือด”

ในที่สุดก็มีคนจำนางจิ้งจอกเก้าหางได้

เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจออกทะเลมาหลายครั้ง แม้จะบอกว่าไม่ได้สร้างความวุ่นวายก่อน ไม่ได้ก่อเรื่อง ทว่าโพ้นทะเลก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับนางอยู่บ้าง ทว่ามีไม่มากก็เท่านั้น

นางจิ้งจอกเก้าหาง ‘สูด’ ลมหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ข้าช่วยเจ้าเก็บแก่นโลหิตของพวกมัน อีกประเดี๋ยวจะหลอมเป็นยาโลหิตให้เจ้า อืม หากเจ้ารอไม่ไหวก็ดูดหางข้าได้”

นางขยิบตาอย่างมีเลศนัย

การจะหลอมแก่นโลหิตของระดับเหนือมนุษย์ให้เป็นยาโลหิตต้องใช้เวลาสักหน่อย เมื่อครู่นางลงมือหนักเกินไป จึงเลือกเก็บพวกมันไว้ในหางเพื่อไม่ให้แก่นโลหิตหายไป

“หางหรือ”

สวี่ชีอันทำหน้ารังเกียจ เพ่งมองปากเล็กสีแดงสดของนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เปลี่ยนที่ได้หรือไม่”

คนกับนางจิ้งจอกพูดคุยกันอย่างโจ่งแจ้ง ทายาทเทพมารรอบตัวไม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

จิ้งจอกเก้าหาง ‘ตื่นตกใจ’ แล้วเอื้อมมือปิดบั้นท้ายอันเชิดงอนด้วยใบหน้าซีดเผือด

“เจ้ากำลังคิดอะไร ตรงนี้ไม่ได้!”

ข้าคิดอะไรน่ะหรือ สวี่ชีอันไม่ได้โต้ตอบอะไรในคราแรก ก่อนจะรู้ว่าถูกนางจิ้งจอกหยอกเย้าเข้าอีกครั้ง จึงรู้สึกไม่สบายใจชั่วขณะ

ไม่เคยมีหญิงคนใดกล้าหยอกล้อเขาซ้ำไปซ้ำมา

ส่วนใหญ่เขาเริ่มเองทั้งหมด

บัดนี้ เรือล่องไปถึงขอบเกาะเทพมาร อยู่ห่างจากขอบชายฝั่งทะเลไม่ถึงสิบจั้ง เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเตือนด้วยสีหน้าเล็กน้อย

“อย่าเข้าไปใกล้ เดี๋ยวกลิ่นอายภายในเกาะจะติดเอา”

สวี่ชีอันออกแรงฝ่าเท้าเล็กน้อย เรือหยุดลงอย่าง ‘ว่าง่าย’ เขาสังเกตหมอกที่ปกคลุมเกาะพลางเอ่ยถาม

“หยกดำติดเชื้อได้อย่างไร”

เจ้าแห่งเกาะพิโรธเอ่ยเสียงเบา

“มันสัมผัสเข้ากับหมอกหนา”

สวี่ชีอันลังเลสักพัก ก่อนจะมองจิ้งจอกเก้าหางพร้อมเอ่ย

“ข้าไปเอง”

เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แก่นแท้ ลมปราณและจิตสามสิ่งรวมเป็นหนึ่ง ลักษณะพิเศษเช่นนี้ทำให้เขามีความสามารถ ‘หมื่นวรยุทธ์กล้ำกราย’ ก็ว่าได้ พลังจากภายนอกผสานรวมกับร่างกายเขาได้ยาก

นางปีศาจผมขาวไม่ได้อวดเบ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

สวี่ชีอันเดินหน้าสองก้าวออกจากดาดฟ้าเรือ การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ทายาทเทพมารที่อยู่ห่างออกไปชะงัก

พวกมันมองออกว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจที่มาจากแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวคิดจะเข้าเกาะ แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าเพศชายที่น่าจะเป็นเผ่ามนุษย์จะเข้าใกล้เกาะเทพมารก่อน

ทายาทเทพมารโพ้นทะเลจำนวนมากไม่เคยเจอเผ่ามนุษย์ตัวจริงมาก่อน

มาเป็นเป้าปืนใหญ่ทดสอบความอันตรายหรือ

เทพมารทุกคนต่างผุดความคิดขึ้น สวี่ชีอันเหยียบความว่างเปล่าทีละก้าวและมาถึงขอบชายฝั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงที่เกิดจากหมอกใกล้เพียงเอื้อม

เขายื่นนิ้วออกไปสัมผัสหมอก

วืด!

พริบตาที่นิ้วสัมผัสกับหมอก หมอกที่ลอยล่องช้าๆ ก็สั่นไหว จากนั้นไอหมอกก็เริ่มโถมเข้าใส่สวี่ชีอันราวกับหนอนแมลงวันไต่กระดูกเท้า นิ้วมือถูก ‘วาด’ ด้วยรอยประหลาดและไม่สมบูรณ์ ก่อนจะตามด้วยฝ่ามือ…

หัวของสวี่ชีอันสั่นไหว ‘ครืน’ จากการรุกล้ำของหมอก สักพักความ ‘ความทรงจำ’ ก็ปรากฏขึ้นมากมาย ความทรงจำนี้ราวกับส่วนลึกทางกรรมพันธุ์ที่ตราตรึง เป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

ตัวอย่างเช่น เดินด้วยสองเท้าหรือใช้สองมือหยิบสิ่งของ เพียงแต่ตอนนี้ความทรงจำที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีมูลเป็นวิธีควบคุมธาตุของฟ้าดินอาทิ ลม ฝน สายฟ้า และพายุ

พลังวิเศษฟ้าประทาน…หมอกเหล่านี้มอบพลังวิเศษที่ไม่ใช่ของเขาจริงๆ…สวี่ชีอันสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณกำลังพังทลายอย่างช้าๆ กรรมพันธุ์ถูกดัดแปลง

หากเป็นจิ้งจอกเก้าหาง แม้จะฝืนบีบของกำนัลจาก ‘หมอก’ ออกจากร่างก็ต้องทุกข์ทรมานมาก

แต่ไม่ใช่สำหรับสวี่ชีอัน เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ทั้งเหม็นและแข็งเป็นหิน

“ดูสิ นี่ก็คือผลจากการสัมผัสกำแพง”

“มีเพียงใต้เท้าผู้นั้นที่ต้านการกัดกินของหมอกได้ หากเปื้อนกลิ่นอายจะคลุ้มคลั่ง ชายผู้นั้นสิ้นท่าแล้ว”

ทายาทเทพมารหลายคนที่มาถึงซากที่อยู่อาศัยรกร้างก่อนหน้านี้แบ่งปันประสบการณ์ของตนให้กับคนที่มาทีหลัง

“ไม่เป็นไร!”

สายตาของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองสองมือของสวี่ชีอันจากบนหัวเรือ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ปลอดภัย!”

สวี่ชีอันส่งเสียงเรียก สองมือผสานกันและเจาะเข้าไปในหมอกอย่างแรง คล้ายกับมีดเจาะกำแพงอันแข็งกร้าว

สองมือของสวี่ชีอันเจาะทะลุกำแพงที่รวมตัวจากหมอก สองแขนยืดไปข้างนอก แล้วฉีกมันออกทีละน้อย

ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าวินาทีนี้หมอกทั่วทั้งเกาะสั่นไหวขึ้นและถูกกระแทกอย่างรุนแรง

หมอกรวมตัวกันไปทางสิ่งแปลกปลอมอย่างบ้าคลั่ง พยายามกลืนกลายและดูดกลืนเขา ทว่ารอยที่ติดอยู่บนสองมือของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมักจะถูกพลังที่แกร่งกว่าระเหยและกำจัดออกก่อนที่จะเป็นรูปเป็นร่างทุกที

“อ๊าก…”

กล้ามเนื้อของสวี่ชีอันขยายตัวทั่วทั้งร่าง หมอกเลือดพุ่งออกจากรูขุมขน

สังเวยเลือด!

กำแพงหมอกถูกเปิดออกอีกครั้ง ภายในช่องว่างนั้น ทิวทัศน์ภายในเกาะไม่พร่ามัวอีกต่อไป สะท้อนเข้าไปในตาของทายาทเทพมารทั้งสามบนดาดฟ้าเรืออย่างชัดเจน

หมอกที่ปกคลุมทั่วทั้งเกาะไม่ได้สั่นไหวเท่านั้น พวกมันเดือดพล่านเต็มที่ คล้ายกับโดนกระแสน้ำขุ่นทำให้หมองมัว

เมื่อเห็นช่องว่างถูกฉีกออก นางปีศาจผมขาวเอ่ยกับราชินีเงือกและเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธ

“พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก ไม่จำเป็นต้องตามมา”

ทายาทเทพมารทั้งสอง ‘ปรารถนา’ ในเกาะเทพมารอย่างแรงกล้า ความปรารถนาที่มาจากสัญชาตญาณ ทว่าเหตุผลที่บอกพวกเขา เมื่อเข้าไปในเกาะส่วนใหญ่จะไม่ได้ออกมา

เมื่อพวกเขาพยักหน้า นางปีศาจผมขาวก็กระโดดและทะลวงเข้าไปในช่องอย่างปราดเปรียว

สวี่ชีอันหันข้างและทะลวงเข้าไปเช่นกัน

หมอกพวยพุ่งประหนึ่งน้ำ เติมเต็มช่องว่างที่ถูกฉีก

เหล่าทายาทเทพมารที่อยู่ไกลออกไปยืนตะลึง สีหน้าคล้ายกับแข็งทื่อไปแล้ว

ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ทายาทเทพมารเหนือมนุษย์ที่มีร่างหลักเป็นหอยกาบพึมพำเสียงเบา

“คนผู้นั้นภูมิหลังเป็นอย่างไรกันแน่…”

เจ้าแห่งคลื่นพิโรธหันหน้าด้วยความงุนงงบนดาดฟ้าเรือ มองราชินีเงือกพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่นผสมความเกลียดชัง

“จะ เจ้ารู้พลังบำเพ็ญของเขาอยู่แล้วหรือ”

ตอนนี้เมื่อนึกย้อนถึงราชินีเงือกที่ประจบตลอดทาง เขาก็พลันตระหนักได้ว่าตนช้าเกินไปแล้ว

มีคนแข็งแกร่งอยู่เช่นนี้ ข้าพลาดโอกาสประจบเขาไปเสียได้ ไม่ได้พูดคุยกันด้วยซ้ำ

ณ ทุ่งรกร้างอันเงียบสงัดสักแห่งในเกาะเทพมาร

ร่างยักษ์ราวกับขุนเขาของฮวงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ไหวติง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็เดินไปครึ่งก้าวอย่างช้าๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง