ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 857

สรุปบท บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ

……….

เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธผู้แสนขี้ขลาดก็มีเหตุผล อีกอย่างสิ่งนั้นที่สามารถเรียกว่าเป็นแผลใจในวัยเด็ก จริงๆ แล้วหากอยู่นอกเหนือทะเลก็จะเป็นสัญลักษณ์อันไร้เทียมทานแทน

ในเมื่อเขาตัดสินใจจะนำจิ้งจอกเก้าหางและผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ล่วงหน้าไปยังเกาะเทพมาร ถ้า ‘จะลอง’ ความคิดนี้ก็คงไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ต้องสืบเสาะให้วุ่นวาย

นางปีศาจผมขาวยิ้มแย้มเอ่ย

“เจ้าจะไปก็ได้นะ!”

ถึงอย่างไรซากที่อยู่อาศัยรกร้างก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยนำทางพาไป

จะให้ข้าไป? เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเริ่มใจโลเลแล้ว หลังจากนั้นก็พบว่าแม้ราชินีเงือกจะใบหน้าซีดขาว ราวกับตื่นตกใจจนไร้เรี่ยวแรง ทว่านางกลับไม่มีทีท่าจะยอมถอยแต่อย่างใด

เมื่อเจินจูเห็นเขามองมาที่ตน ก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า

“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ก็แค่ไม่เข้าไปใกล้มากก็พอ”

บุรุษร่างสูงกำยำจากเผ่ามังกรผู้หนึ่งแสดงท่าทีลังเลชั่วขณะ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มว่า

“ขะ…ข้าเองก็จะลองดูเช่นกัน…”

แม้เขาจะยังขุ่นเคืองใจอยู่ แต่กระนั้นก็จะลองไปเกาะเทพมารดู

เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเชื่อว่าจิ้งจอกเก้าหางและผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ไม่ใช่พวกไร้สมองหรือหยิ่งยโส อีกทั้งยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์แต่ละคนก็ไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย ดังนั้นสาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมถอย คงเพราะอยากจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เกาะเทพมาร’

“ไม่อาจปล่อยให้ฮวงกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง มิเช่นนั้นอนาคตของต้าฟ่งคงได้เผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเก่า อาจย่ำแย่ถึงขั้นให้ผู้คนสิ้นหวังได้เลย”

จิ้งจอกเก้าหางลูบปอยผมส่วนหน้าผากที่ปกปิดใบหน้างามไร้ที่ติ ยามนี้นางเพียงแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังเท่านั้น ซึ่งหาได้ยากที่ไม่มีพฤติกรรมยั่วยวนดั่งปกติ

“เข้าเกาะกันก่อนเถอะ!”

แน่นอนเขารู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้ ‘ฮวง’ กลับไปสู่จุดสูงสุดอีก ทว่าปัญหาคือ ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ หรือแม้ว่าจะรวมกับพลังจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของฮวงอยู่ดี

ส่วนราชินีเงือกกับเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธก็แค่เหมือนเป็นส่วนเสริมที่ทำให้ดูดีขึ้นเพียงภายนอก ซึ่งไม่สามารถถ่วงดุลพลังต่อสู้ของฮวงได้

จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า แล้วส่งกระแสจิตว่า

‘เจ้าอย่าลืม ท่านโหราจารย์ก็อยู่ด้วย’

นางมองออกว่าสวี่ชีอันกำลังเคร่งเครียดและท้อแท้ใจอยู่หน่อยๆ

ข้ารู้ว่าท่านโหราจารย์ยังอยู่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถเดิมพันทุกอย่างกับท่านโหราจารย์ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่…สวี่ชีอันถอนหายใจ แล้วกลืนคำพูดดังกล่าวลงไป

อีกอย่างเพราะเขาเองก็รู้สึกว่าจะเชื่อใจท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้เสียหายอะไร

และแน่นอนว่านี่หมายไม่ได้ความว่าเขาเดิมพันทุกอย่างกับท่านโหราจารย์ ถ้าตาแก่นั่นทำเป็นหมดทุกอย่าง ก็คงไม่โดนผนึกอยู่ในเขายาวของฮวงหรอก และสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามีบางคำพูดของท่านโหราจารย์ที่บอกว่าจะลองไปเกาะดูก็ไม่เป็นไร

ฉะนั้นก็ลองไปเกาะดูก่อน

ยังไม่ทันได้เลื่อนขั้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับฮวง ช่างดวงซวยจริงๆ…สวี่ชีอันคิดเช่นนี้พลางพูดในใจว่า ไม่ใช่ว่าข้าคือบุตรแห่งโชคชะตาหรอกหรือ? มันคือเรื่องหลอกงั้นรึ!

“อาชาดำมีนิสัยกลับกลอกและต่ำช้า แต่ก็ปรับตัวตามสถานการณ์ได้เก่งมากที่สุด ข้าไม่แปลกใจเลยที่มันจะยอมจำนนต่อคนผู้นั้น ด้านวาฬมังกรก็ทรงพลังแต่กำเนิด กล้าหาญชอบทำสงคราม และมีนิสัยโหดเหี้ยม แม้ว่าพลังจะอยู่ระดับเดียวกับข้า แต่ก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย

“ส่วนวิหคเพลิง เขาไม่น่าจำนนต่อคนผู้นั้นเลย ท้องนภากว้างไกลเยี่ยงนี้ เขาสามารถเหาะบินไปได้ไกลแท้ๆ ไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่งเลย เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นให้คำมั่นสัญญาว่าจะได้รับผลประโยชน์ต่อกัน”

ตอนนั้นเองเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธพินิจมองสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็พบว่าไม่ว่าจะราชินีเงือก จิ้งจอกเก้าหาง หรือผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ล้วนมีท่าทีไม่สดใสดูหม่นหมองกันทั้งสิ้น

เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม แล้วนิ่งเงียบไปแทน

บัดนี้เรือกำลังแล่นไปทางใต้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้เพิ่มความเร็ว ทว่าหลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าก็ปรากฏแนวชายฝั่งให้เห็นแล้ว ซึ่งเป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา

หากมองด้วยตาเปล่า แล้วคิดว่านี่คือแผ่นดินผืนใหญ่ก็ไม่แปลกใจเลย

เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

“ที่นี่คือซากที่อยู่อาศัยรกร้างโผล่ออกมาจากเกาะเทพมาร ทว่ามันปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวไปแล้ว คลื่นน้ำทะเลจึงไม่อาจเข้าไปยังส่วนนั้นได้”

นี่เรียกว่าเกาะไม่ได้ด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันแอบแขวะอยู่ในใจ ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็กำลังจับจ้องไปที่เกาะเทพมาร

แผ่นดินผืนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจางๆ ตอนนั้นเองก็ราวกับว่าในท่ามกลางส่วนลึกของม่านหมอกได้มียักษ์หกกรสูงร้อยจั้งกำลังเดินออกมา

ลวดลายบนผิวเขียวแกมน้ำเงินของยักษ์ตนนั้นแปลกตายิ่งนั้น ประกอบกับกล้ามเนื้อพองโต และลวดลายดังกล่าวที่กลับดูเรียบง่าย แต่ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกถึงพลังต่อสู้อันไร้คู่ต่อกรได้โดยสัญชาตญาณ

ใบหน้าของเขาดูดุร้ายหาใดเทียบเคียง อีกทั้งบริเวณมุมปากยังมีเขี้ยวสองซี่ยื่นโค้งงอออกมาเล็กน้อย และดวงตาปูดโปนสีแดงฉาน

หลังจากเขาก้าวย่างเดินบนริมชายฝั่งอย่างช้าๆ อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็หันตัวกลับไปยังส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ ก่อนจะหายลับไปจากสายตาของสวี่ชีอัน

จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขาดูสงบนิ่งยิ่งยวด ส่วนสถานการณ์นอกเกาะนั้นก็หาได้สนใจแม้แต่น้อยไม่ เสมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น

มีเทพมารจริงๆ ด้วย ทว่าสถานการณ์ดูผิดปกติ…จนแยกไม่ออกไปชั่วขณะเลยว่าเป็นภาพลวงตาหรือเรื่องจริง มีแต่ต้องจอดเทียบท่าเข้าเกาะก่อนแล้วค่อยไปตรวจสอบเท่านั้นแล้ว…สวี่ชีอันทอดถอนใจพลางดึงสายตากลับ จากนั้นก็หันไปมองดูสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบๆ เกาะเทพมาร

โดยไกลออกไปสิบจั้งมีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายม้าสูงสามจั้งตัวหนึ่ง มันกำลังยืนนิ่งอยู่บนผิวน้ำ

ตัวของมันดำสนิททั้งร่าง รูปร่างไม่ได้แตกต่างจากม้ามากนัก แต่ตรงศีรษะมีเขางอกออกมาหนึ่งอัน และส่วนท้ายมีหางยาวดั่งงู ส่วนคอเรียวบางไร้แผงขน ทว่ากลับแทนที่ด้วยเหงือกเหมือนของปลาดวงตาของมันเป็นรูม่านตาแนวตั้งสีทองอร่าม ดูเฉียบขาดและเย็นชาประหนึ่งอสรพิษ ซึ่งกำลังจับจ้องไปยังเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีพลังระดับเหนือมนุษย์

อาชาดำ!

ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันก็เห็นแผ่นหลังขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาผิวทะเลอยู่รำไรจากทางด้านซ้ายของอาชาดำ มันสูงใหญ่ประหนึ่งเนินเขา ทว่ากลับถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ

ยามนี้น้ำทะเลรอบข้างอาชาดำและวาฬมังกรเป็นสีแดงอ่อน ไม่รู้ว่าเปื้อนเลือดจากสิ่งมีชีวิตใด

หากลองใคร่ครวญจากคำบอกเล่าของเต่าเทพ ก็คงโดนฮวงตามฆ่า หรือไม่ก็ถูกลูกหลานเทพมารที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์ทั้งสามร่วมมือกันสังหาร

พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับพลังเหนือมนุษย์สองตน อีกทั้งลูกหลานเทพมารนับร้อยที่กระจัดกระจายอยู่ที่แห่งนี้ โดยมีทั้งพวกที่แข็งแกร่งสูงและอ่อนแอ สวี่ชีอันหรี่ตามองสำรวจ จากนั้นเขาก็พบว่าลูกหลานเทพมารที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์มีอยู่หกตนเท่านั้น

และที่แน่ๆ เขายังไม่รู้ว่าที่ใต้น้ำมีอีกมากน้อยเพียงใด

“อาชาดำ สุดท้ายแล้วเจ้าก็เลือกจะภักดีกับเจ้าคนสติฟั่นเฟือนนั่น และเต็มใจที่จะเป็นลูกสมุนของเขา! ลืมไปแล้วหรือว่าบรรพบุรุษของตัวเองตายอย่างไร?”

ลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์ตนหนึ่ง กล่าวตำหนิจากที่ไกลๆ

เหล่าลูกหลานเทพมารที่สามารถขึ้นอยู่ระดับพลังเหนือมนุษย์ได้นั้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนจะมีสายเลือดบริสุทธิ์กันอย่างมาก ปกติแล้วหากถัดไปอีกสักรุ่นสองรุ่น มักจะเป็นสายรอง มีจำนวนน้อยมากที่จะเป็นสายหลัก

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจุบันนี้ลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์ที่อยู่พื้นที่นอก พวกเขามีความแค้นฝังลึกกับฮวงที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

อาชาดำที่ตัวเป็นสีนิลกาฬทั่วร่างพลันพ่นลมหายใจออก เชิดคอเรียวยาว พลางมองไปเหล่าลูกหลานเทพมาด้วยความดูถูก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสว่า

“นับตั้งแต่โลกถูกสร้างขึ้นมา การเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากพวกเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ก็จะสามารถทำให้ข้าเชื่อฟังได้ แต่หากทำไม่ได้ ก็รีบถอยไปให้ไวเสีย นายท่านไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก เพราะพวกเจ้าคงอับอายจนไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ

“และหากยังไปป้วนเปี้ยนต่อแถวๆ ซากที่อยู่อาศัยรกร้าง หลังจากนายท่านกลับมา ข้าก็จะขอร้องให้นายท่านฆ่าพวกเจ้าจนหมดสิ้น และแบ่งเลือดแก่พวกข้าทั้งสาม”

คำพูดคำจาของมันหาได้มีความอับอายในนั้นสักครึ่งไม่ กลับเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ ดวงตาที่พินิจมองเหล่าลูกหลานเทพมาร ก็ราวกับไม่ได้เห็นทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน

อาชาดำพูดพลางพ่นลมทางจมูก และแสยะยิ้มไปด้วย

“รสชาติเฉิงหวงไม่เลวเลยจริงๆ”

เฉิงหวงคือลูกหลานเทพมารที่มีระดับพลังเหนือมนุษย์ ซึ่งถูกพวกเขากินไปไม่นานมานี้

จากคำพูดดังกล่าว สีหน้าของเหล่าลูกหลานเทพมารที่อยู่ห่างไกลก็พลันเปลี่ยน ก่อนจะค่อยๆ ล่าถอยทีละน้อย

ตอนนั้นเองศีรษะของวาฬมังกรก็โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ และเผยดวงตาของมันที่แดงฉาน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ไอ้พวกเศษสวะ รีบไสหัวออกไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเจ้าแต่ละคนก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อเลย”

จังหวะนั้นเอง ลูกหลานเทพมารที่มีหัวเป็นนกร่างดั่งเสือและมีปีกแต่กำเนิดผู้หนึ่ง ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า

“พวกข้าเพียงแค่จะดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่ออย่างเงียบๆ และมาสำรวจสถานการณ์ของเกาะเทพมารเท่านั้น มิได้จะขึ้นฝั่ง พวกเจ้าทั้งวาฬมังกรและอาชาดำ พวกเราทุกคนมาทำความรู้จักกันเถิด เหตุใดต้องทำตัวเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยเล่า”

“ทำความรู้จักกัน เจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”

อาชาดำแสยะยิ้ม

“อย่าได้พูดเชียวว่าก่อนหน้านี้ข้ารังเกียจพวกเจ้า ตอนนี้หากเทียบกับนายท่านแล้ว พวกเศษสวะอย่างพวกเจ้า ก็พอคู่ควรกับมิตรภาพของข้า เดิมทีพวกเจ้าไม่รู้ความเป็นมาของนายท่านด้วยซ้ำ

“คลื่นพิโรธ นายท่านของมันคือลูกหลานผู้กลืนกินอำนาจในยุคเก่า เป็นผู้ไร้พ่ายที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด คนที่ผู้แข็งแกร่งทั้งหกเผ่าในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูอย่างพวกเจ้าเคยพบเจอคนนั้น”

ลูกหลานเทพมารพลังระดับเหนือมนุษย์ตนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างไกลนักเอ่ยเตือนขึ้นมา

รูปลักษณ์ของมันเป็นหอยกาบสีเงินขนาดใหญ่ ครั้นเปลือกหอยเปิดอ้าออก เนื้อภายในหอยก็แปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจทราบเพศ

‘ข้ารู้แล้ว แต่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของข้า…’ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธพยักผงกศีรษะโดยไม่แสดงสีหน้า

“รู้แล้ว!”

‘รู้แล้วยังไม่หยุดเรือ แถมยังกล้ามาก่อเรื่องอีก? รนหาที่ตายหรือไร!’

ในเวลานั้นเอง เหล่าลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์หลายคนที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่อาจเข้าใจได้

ตอนที่กำลังพูดคุยกันในจุดนี้นั้น เรือก็ได้แล่น ‘ผ่าน’ เหล่าลูกหลานเทพมารไปอย่างราบรื่น และได้เข้าสู่ ‘ระยะร้อยจั้ง’ ที่เป็นเขตอันตรายอันราวกับมีทุ่นระเบิดในนั้นแล้ว

อาชาดำยิ้มด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด

“เจ้าคงจะเคยชินกับการใช้อำนาจในหมู่เกาะอาเอ่อร์ซูสิท่า ถึงได้ไม่รู้จักตำแหน่งตัวเองแบบนี้ หากวันนี้ฆ่าเจ้าเสีย หมู่เกาะอาเอ่อร์ซูก็จะกลายเป็นของนายท่านแล้ว”

เมื่อสิ้นประโยคนี้ อาชาดำก็กลายเป็นสายฟ้าสีดำมืด แล้วพุ่งไปโจมตีที่เรือลำนั้น เดิมทีเขาจะต้องประจำอยู่ตำแหน่งเดิม ทว่า ‘รู้ตัวอีกที’ คลื่นก็เริ่มสูงชันขึ้นมาแล้ว

“โฮก!”

อาชาดำคำรามเสียงดังกึกก้องที่ถึงขั้นทำให้หูหนวกได้ โดยยอดเขาบนศีรษะก็ปล่อยลำแสงสีดำออกมาเป็นระลอกคลื่น เขาพุ่งชนใส่ผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์บนดาดฟ้าเรือสี่คน

ขณะเดียวกัน เสียงหวีดแหลมคมบนท้องนภาก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ วิหคเพลิงที่คอยบินวนเพื่อเตือนก่อนหน้าก็พลันบินโฉบลงมา เสมือนกับดาวตกสีแดงสดลูกหนึ่ง

นัยน์ตาอันดุร้ายของมันยามนี้กำลังเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น และเปล่งประกายด้วยความกระหายต่อเลือดของผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์

ส่วนด้านวาฬมังกร แม้ความเร็วของมันจะเทียบกับสองตัวที่กล่าวถึงก่อนหน้าไม่ได้ แต่ด้วยร่างขนาดมหึมาของมันยามจู่โจมหรือเคลื่อนไหวก็ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สั่นสะเทือนตามมา ซึ่งดูเล่นใหญ่กว่าอาชาดำและวิหคเพลิงอยู่มากโข

ปราณโลหิตของเหล่าผู้มีพลังระดับเหนือมนุษย์พลันปะทุและระเบิดออก ทำให้ลูกหลานเทพมารในที่แห่งนี้ต่างพากันรู้สึกจิตใจสั่นวูบ ซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับวาฬมังกรโดยตรงเลยด้วยซ้ำ

‘ท่าไม่ดีแล้ว รีบถอยเร็ว ต้องหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะตามมา…’ จากนั้นพวกลูกหลานเทพมารต่างก็ตอบสนองกันทันที

ในชั่วเวลานั้นเองบนดาดฟ้าเรือ นางปีศาจผมขาวที่สวมหนังสัตว์คาดอกและกระโปรงขนสัตว์ ก็ยกเท้าที่ขาวดุจหิมะขึ้น แล้วย่ำก้าวออกจากดาดฟ้าเรือ

“ฟู่วว…”

โดยด้านหลังจิ้งจอกเก้าหางเสมือนหางนกยูงที่รำแพนหาง ไม่นานนัก แต่ละหางก็ดูราวกับหนวดของเตียนเอี๋ยง[1]ก็พุ่งไปยังท้องฟ้าและทะเลที่อยู่เบื้องหน้า

สายฟ้าสีดำจึงหยุดชะงักกะทันหัน บัดนี้อาชาดำหยุดอยู่หน้าเรือโดยเว้นระยะห่างไว้สามจั้ง มันหาได้เต็มใจยอมเองไม่ แต่เป็นเพราะหางจิ้งจอกสามหางกำลังจับมันไว้อยู่ต่างหาก

ยามนั้นมีเงาสีขาวดั่งดาวตกพุ่งไปยังกลางอากาศ หางจิ้งจอกที่ดูราวกับหนวดพันธนาการพวกมันไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร หรือกระพือปีกเพียงใด ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ เสมือนว่าวลมที่ลอยค้างอยู่กลางท้องนภา

ส่วนอีกสามหางที่เหลือพุ่งลงใต้ท้องทะเล ทะลุไปยังส่วนลึกของทะเล ปะทะคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาจนมันทลายตัวลง

ผิวน้ำพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เกิดคลื่นลูกใหญ่โหมกระหน่ำ และเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของวาฬมังกรดังตามมา

ยามนี้ทั้งสองฝ่ายประหนึ่งกำลังประชันความแข็งแกร่งกันอยู่

“ไอ้พวกสวะสามตัว กล้ามาโอ้อวดกำลังตนต่อหน้าเจ้าอาณาจักรเช่นข้ารึ”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกำลังเย้ยหยัน พลางบิดเอวน้อยๆ จากนั้นก็เกิดดังแควกๆๆ ที่บริเวณหางจิ้งจอก…อาชาดำเป็นตัวแรกที่ถูกฉีกร่าง จากนั้นก็เป็นวิหคเพลิงที่อยู่กลางอากาศ เริ่มแรกส่วนปีกจะถูกฉีกกระชากออกก่อน แล้วหางจิ้งจอกก็บีบรัดแน่นจนร่างของมันหักเป็นสองส่วน

แต่นี่ยังไม่จบ เสียงคำรามอันน่าเวทนาของวาฬมังกรดังขึ้นมาอีกครั้งจากใต้ท้องทะเล แต่ไม่นานนักผิวน้ำทะเลที่ปั่นป่วนก็สงบจากนั้นกระแสโลหิตสีแดงเข้มก็ ‘ผุดโผล่’ ออกมา โดยไร้การเคลื่อนไหวที่ใต้ท้องทะเล

เวลานั้นเอง เหล่าลูกหลานเทพมารที่กำลังจะเตรียมถอยหนี เพื่อเลี่ยงความทรมานก่อนหน้า

แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว บัดนี้ผิวน้ำมีลม มีเมฆ ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว เหลือแต่ความเงียบเท่านั้น

………………………………………………………….

[1] เตียนเอี๋ยง เป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องสามก๊ก มีฐานะเป็นเจ้าเมืองเสียงตง และเป็นหนึ่งในเจ้าเมืองที่ร่วมกองทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองเพื่อปราบตั๋งโต๊ะ

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง