บทที่ 857 พลานุภาพของผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจ
……….
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธผู้แสนขี้ขลาดก็มีเหตุผล อีกอย่างสิ่งนั้นที่สามารถเรียกว่าเป็นแผลใจในวัยเด็ก จริงๆ แล้วหากอยู่นอกเหนือทะเลก็จะเป็นสัญลักษณ์อันไร้เทียมทานแทน
ในเมื่อเขาตัดสินใจจะนำจิ้งจอกเก้าหางและผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ล่วงหน้าไปยังเกาะเทพมาร ถ้า ‘จะลอง’ ความคิดนี้ก็คงไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ต้องสืบเสาะให้วุ่นวาย
นางปีศาจผมขาวยิ้มแย้มเอ่ย
“เจ้าจะไปก็ได้นะ!”
ถึงอย่างไรซากที่อยู่อาศัยรกร้างก็อยู่เบื้องหน้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยนำทางพาไป
จะให้ข้าไป? เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเริ่มใจโลเลแล้ว หลังจากนั้นก็พบว่าแม้ราชินีเงือกจะใบหน้าซีดขาว ราวกับตื่นตกใจจนไร้เรี่ยวแรง ทว่านางกลับไม่มีทีท่าจะยอมถอยแต่อย่างใด
เมื่อเจินจูเห็นเขามองมาที่ตน ก็กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า
“ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ก็แค่ไม่เข้าไปใกล้มากก็พอ”
บุรุษร่างสูงกำยำจากเผ่ามังกรผู้หนึ่งแสดงท่าทีลังเลชั่วขณะ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มว่า
“ขะ…ข้าเองก็จะลองดูเช่นกัน…”
แม้เขาจะยังขุ่นเคืองใจอยู่ แต่กระนั้นก็จะลองไปเกาะเทพมารดู
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเชื่อว่าจิ้งจอกเก้าหางและผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ไม่ใช่พวกไร้สมองหรือหยิ่งยโส อีกทั้งยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์แต่ละคนก็ไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย ดังนั้นสาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมถอย คงเพราะอยากจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘เกาะเทพมาร’
“ไม่อาจปล่อยให้ฮวงกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง มิเช่นนั้นอนาคตของต้าฟ่งคงได้เผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเก่า อาจย่ำแย่ถึงขั้นให้ผู้คนสิ้นหวังได้เลย”
จิ้งจอกเก้าหางลูบปอยผมส่วนหน้าผากที่ปกปิดใบหน้างามไร้ที่ติ ยามนี้นางเพียงแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังเท่านั้น ซึ่งหาได้ยากที่ไม่มีพฤติกรรมยั่วยวนดั่งปกติ
“เข้าเกาะกันก่อนเถอะ!”
แน่นอนเขารู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้ ‘ฮวง’ กลับไปสู่จุดสูงสุดอีก ทว่าปัญหาคือ ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ หรือแม้ว่าจะรวมกับพลังจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของฮวงอยู่ดี
ส่วนราชินีเงือกกับเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธก็แค่เหมือนเป็นส่วนเสริมที่ทำให้ดูดีขึ้นเพียงภายนอก ซึ่งไม่สามารถถ่วงดุลพลังต่อสู้ของฮวงได้
จิ้งจอกเก้าหางพยักหน้า แล้วส่งกระแสจิตว่า
‘เจ้าอย่าลืม ท่านโหราจารย์ก็อยู่ด้วย’
นางมองออกว่าสวี่ชีอันกำลังเคร่งเครียดและท้อแท้ใจอยู่หน่อยๆ
ข้ารู้ว่าท่านโหราจารย์ยังอยู่ แต่เจ้าก็ไม่สามารถเดิมพันทุกอย่างกับท่านโหราจารย์ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่…สวี่ชีอันถอนหายใจ แล้วกลืนคำพูดดังกล่าวลงไป
อีกอย่างเพราะเขาเองก็รู้สึกว่าจะเชื่อใจท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
และแน่นอนว่านี่หมายไม่ได้ความว่าเขาเดิมพันทุกอย่างกับท่านโหราจารย์ ถ้าตาแก่นั่นทำเป็นหมดทุกอย่าง ก็คงไม่โดนผนึกอยู่ในเขายาวของฮวงหรอก และสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามีบางคำพูดของท่านโหราจารย์ที่บอกว่าจะลองไปเกาะดูก็ไม่เป็นไร
ฉะนั้นก็ลองไปเกาะดูก่อน
ยังไม่ทันได้เลื่อนขั้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับฮวง ช่างดวงซวยจริงๆ…สวี่ชีอันคิดเช่นนี้พลางพูดในใจว่า ไม่ใช่ว่าข้าคือบุตรแห่งโชคชะตาหรอกหรือ? มันคือเรื่องหลอกงั้นรึ!
“อาชาดำมีนิสัยกลับกลอกและต่ำช้า แต่ก็ปรับตัวตามสถานการณ์ได้เก่งมากที่สุด ข้าไม่แปลกใจเลยที่มันจะยอมจำนนต่อคนผู้นั้น ด้านวาฬมังกรก็ทรงพลังแต่กำเนิด กล้าหาญชอบทำสงคราม และมีนิสัยโหดเหี้ยม แม้ว่าพลังจะอยู่ระดับเดียวกับข้า แต่ก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย
“ส่วนวิหคเพลิง เขาไม่น่าจำนนต่อคนผู้นั้นเลย ท้องนภากว้างไกลเยี่ยงนี้ เขาสามารถเหาะบินไปได้ไกลแท้ๆ ไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่งเลย เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นให้คำมั่นสัญญาว่าจะได้รับผลประโยชน์ต่อกัน”
ตอนนั้นเองเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธพินิจมองสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็พบว่าไม่ว่าจะราชินีเงือก จิ้งจอกเก้าหาง หรือผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามนุษย์ล้วนมีท่าทีไม่สดใสดูหม่นหมองกันทั้งสิ้น
เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม แล้วนิ่งเงียบไปแทน
บัดนี้เรือกำลังแล่นไปทางใต้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้เพิ่มความเร็ว ทว่าหลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าก็ปรากฏแนวชายฝั่งให้เห็นแล้ว ซึ่งเป็นแนวชายฝั่งที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
หากมองด้วยตาเปล่า แล้วคิดว่านี่คือแผ่นดินผืนใหญ่ก็ไม่แปลกใจเลย
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธกล่าวน้ำเสียงจริงจัง
“ที่นี่คือซากที่อยู่อาศัยรกร้างโผล่ออกมาจากเกาะเทพมาร ทว่ามันปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวไปแล้ว คลื่นน้ำทะเลจึงไม่อาจเข้าไปยังส่วนนั้นได้”
นี่เรียกว่าเกาะไม่ได้ด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันแอบแขวะอยู่ในใจ ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็กำลังจับจ้องไปที่เกาะเทพมาร
แผ่นดินผืนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจางๆ ตอนนั้นเองก็ราวกับว่าในท่ามกลางส่วนลึกของม่านหมอกได้มียักษ์หกกรสูงร้อยจั้งกำลังเดินออกมา
ลวดลายบนผิวเขียวแกมน้ำเงินของยักษ์ตนนั้นแปลกตายิ่งนั้น ประกอบกับกล้ามเนื้อพองโต และลวดลายดังกล่าวที่กลับดูเรียบง่าย แต่ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกถึงพลังต่อสู้อันไร้คู่ต่อกรได้โดยสัญชาตญาณ
ใบหน้าของเขาดูดุร้ายหาใดเทียบเคียง อีกทั้งบริเวณมุมปากยังมีเขี้ยวสองซี่ยื่นโค้งงอออกมาเล็กน้อย และดวงตาปูดโปนสีแดงฉาน
หลังจากเขาก้าวย่างเดินบนริมชายฝั่งอย่างช้าๆ อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็หันตัวกลับไปยังส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ ก่อนจะหายลับไปจากสายตาของสวี่ชีอัน
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขาดูสงบนิ่งยิ่งยวด ส่วนสถานการณ์นอกเกาะนั้นก็หาได้สนใจแม้แต่น้อยไม่ เสมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
มีเทพมารจริงๆ ด้วย ทว่าสถานการณ์ดูผิดปกติ…จนแยกไม่ออกไปชั่วขณะเลยว่าเป็นภาพลวงตาหรือเรื่องจริง มีแต่ต้องจอดเทียบท่าเข้าเกาะก่อนแล้วค่อยไปตรวจสอบเท่านั้นแล้ว…สวี่ชีอันทอดถอนใจพลางดึงสายตากลับ จากนั้นก็หันไปมองดูสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบๆ เกาะเทพมาร
โดยไกลออกไปสิบจั้งมีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายม้าสูงสามจั้งตัวหนึ่ง มันกำลังยืนนิ่งอยู่บนผิวน้ำ
ตัวของมันดำสนิททั้งร่าง รูปร่างไม่ได้แตกต่างจากม้ามากนัก แต่ตรงศีรษะมีเขางอกออกมาหนึ่งอัน และส่วนท้ายมีหางยาวดั่งงู ส่วนคอเรียวบางไร้แผงขน ทว่ากลับแทนที่ด้วยเหงือกเหมือนของปลาดวงตาของมันเป็นรูม่านตาแนวตั้งสีทองอร่าม ดูเฉียบขาดและเย็นชาประหนึ่งอสรพิษ ซึ่งกำลังจับจ้องไปยังเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีพลังระดับเหนือมนุษย์
อาชาดำ!
ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันก็เห็นแผ่นหลังขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาผิวทะเลอยู่รำไรจากทางด้านซ้ายของอาชาดำ มันสูงใหญ่ประหนึ่งเนินเขา ทว่ากลับถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ
ยามนี้น้ำทะเลรอบข้างอาชาดำและวาฬมังกรเป็นสีแดงอ่อน ไม่รู้ว่าเปื้อนเลือดจากสิ่งมีชีวิตใด
หากลองใคร่ครวญจากคำบอกเล่าของเต่าเทพ ก็คงโดนฮวงตามฆ่า หรือไม่ก็ถูกลูกหลานเทพมารที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์ทั้งสามร่วมมือกันสังหาร
พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับพลังเหนือมนุษย์สองตน อีกทั้งลูกหลานเทพมารนับร้อยที่กระจัดกระจายอยู่ที่แห่งนี้ โดยมีทั้งพวกที่แข็งแกร่งสูงและอ่อนแอ สวี่ชีอันหรี่ตามองสำรวจ จากนั้นเขาก็พบว่าลูกหลานเทพมารที่อยู่ระดับเหนือมนุษย์มีอยู่หกตนเท่านั้น
และที่แน่ๆ เขายังไม่รู้ว่าที่ใต้น้ำมีอีกมากน้อยเพียงใด
“อาชาดำ สุดท้ายแล้วเจ้าก็เลือกจะภักดีกับเจ้าคนสติฟั่นเฟือนนั่น และเต็มใจที่จะเป็นลูกสมุนของเขา! ลืมไปแล้วหรือว่าบรรพบุรุษของตัวเองตายอย่างไร?”
ลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์ตนหนึ่ง กล่าวตำหนิจากที่ไกลๆ
เหล่าลูกหลานเทพมารที่สามารถขึ้นอยู่ระดับพลังเหนือมนุษย์ได้นั้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนจะมีสายเลือดบริสุทธิ์กันอย่างมาก ปกติแล้วหากถัดไปอีกสักรุ่นสองรุ่น มักจะเป็นสายรอง มีจำนวนน้อยมากที่จะเป็นสายหลัก
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจุบันนี้ลูกหลานเทพมารระดับพลังเหนือมนุษย์ที่อยู่พื้นที่นอก พวกเขามีความแค้นฝังลึกกับฮวงที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อาชาดำที่ตัวเป็นสีนิลกาฬทั่วร่างพลันพ่นลมหายใจออก เชิดคอเรียวยาว พลางมองไปเหล่าลูกหลานเทพมาด้วยความดูถูก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสว่า
“นับตั้งแต่โลกถูกสร้างขึ้นมา การเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากพวกเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ก็จะสามารถทำให้ข้าเชื่อฟังได้ แต่หากทำไม่ได้ ก็รีบถอยไปให้ไวเสีย นายท่านไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก เพราะพวกเจ้าคงอับอายจนไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ
“และหากยังไปป้วนเปี้ยนต่อแถวๆ ซากที่อยู่อาศัยรกร้าง หลังจากนายท่านกลับมา ข้าก็จะขอร้องให้นายท่านฆ่าพวกเจ้าจนหมดสิ้น และแบ่งเลือดแก่พวกข้าทั้งสาม”
คำพูดคำจาของมันหาได้มีความอับอายในนั้นสักครึ่งไม่ กลับเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ ดวงตาที่พินิจมองเหล่าลูกหลานเทพมาร ก็ราวกับไม่ได้เห็นทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน
อาชาดำพูดพลางพ่นลมทางจมูก และแสยะยิ้มไปด้วย
“รสชาติเฉิงหวงไม่เลวเลยจริงๆ”
เฉิงหวงคือลูกหลานเทพมารที่มีระดับพลังเหนือมนุษย์ ซึ่งถูกพวกเขากินไปไม่นานมานี้
จากคำพูดดังกล่าว สีหน้าของเหล่าลูกหลานเทพมารที่อยู่ห่างไกลก็พลันเปลี่ยน ก่อนจะค่อยๆ ล่าถอยทีละน้อย
ตอนนั้นเองศีรษะของวาฬมังกรก็โผล่พ้นเหนือผิวน้ำ และเผยดวงตาของมันที่แดงฉาน จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ไอ้พวกเศษสวะ รีบไสหัวออกไปเสีย มิเช่นนั้นพวกเจ้าแต่ละคนก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อเลย”
จังหวะนั้นเอง ลูกหลานเทพมารที่มีหัวเป็นนกร่างดั่งเสือและมีปีกแต่กำเนิดผู้หนึ่ง ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า
“พวกข้าเพียงแค่จะดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่ออย่างเงียบๆ และมาสำรวจสถานการณ์ของเกาะเทพมารเท่านั้น มิได้จะขึ้นฝั่ง พวกเจ้าทั้งวาฬมังกรและอาชาดำ พวกเราทุกคนมาทำความรู้จักกันเถิด เหตุใดต้องทำตัวเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยเล่า”
“ทำความรู้จักกัน เจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
อาชาดำแสยะยิ้ม
“อย่าได้พูดเชียวว่าก่อนหน้านี้ข้ารังเกียจพวกเจ้า ตอนนี้หากเทียบกับนายท่านแล้ว พวกเศษสวะอย่างพวกเจ้า ก็พอคู่ควรกับมิตรภาพของข้า เดิมทีพวกเจ้าไม่รู้ความเป็นมาของนายท่านด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง