ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 856

สรุปบท บทที่ 856 ฮวง! โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 856 ฮวง! โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 856 ฮวง! โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 856 ฮวง! โลกช่างกลมเสียเหลือเกิน

……….

ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าราวกับมหาสมุทร มหาสมุทรเป็นสีฟ้าเฉกเช่นท้องฟ้า

ไร้ซึ่งลมและเมฆ

ผิวทะเลมีคลื่นเล็กน้อย ดวงอาทิตย์อันร้อนแรงแขวนอยู่เหนือศีรษะ ลมทะเลที่ปะทะเข้ามาก็ร้อนผะผ่าว

เรือขนาดยาวห้าจั้ง สูงหนึ่งจั้งแล่นฝ่าคลื่น โดยทิ้งไว้เพียงระลอกน้ำที่กระเพื่อมไว้เบื้องหลัง

บนดาดฟ้ากว้าง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเจ้าเสน่ห์กำลังนอนตะแคงเล่นหางที่มีขนปุกปุยเส้นหนึ่ง หลังจากตากแดดจ้ามาหลายวัน เขี้ยวเล็บสวยงาม และใบหน้าขาวสะอาดสวยหยาดเยิ้มยังคงขาวนวลละเอียดอ่อน

สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิบนดาดฟ้า นางเงือกที่ตัวอ่อนปวกเปียกคอยรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย และช่วยเขาแกะเปลือกหอยสีแดงเปล่งปลั่งแวววาวแต่ละตัวที่ดูราวกับหินโมรา

เปลือกหอยชนิดนี้เรียกว่า ‘หอยเพลิงแดง’ เจริญเติบโตบริเวณภูเขาไฟใต้ทะเลในทะเลใต้ พวกมันกินพลังวิญญาณเปลวไฟเป็นอาหาร เป็นธาตุสิ่งมีชีวิตที่พบเจอได้ยาก

เปลือกนอกของหอยเพลิงแดงแฝงไปด้วยพลังระเบิดสูงมาก หลังจากถูกขยี้ละเอียดจะเกิดพลังระเบิดที่พอจะเทียบกับกระสุนปืนใหญ่ได้

แต่สิ่งที่ดึงดูดสวี่ชีอันคือเนื้อของมัน หอมหวานนุ่มลิ้น ละลายในปาก ไม่มีกลิ่นคาว รสชาติยอดเยี่ยม

“อยู่ๆ ก็ไม่อยากจากไปแล้ว โพ้นทะเลโภคทรัพย์อุดมสมบูรณ์ อาหารรสชาติดี สิ่งที่ควรมีก็มีพร้อม”

สวี่ชีอันกินเนื้อหอยเพลิงแดงตัวสุดท้ายลงไป เขามองดูเปลือกหอยที่กองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้า และลูบท้องด้วยความพอใจ

“ขอบคุณราชินีเจินจูมาก ภายหน้ามีปัญหาอันใดก็มาหาข้าได้เลย”

เขารับปากอย่างง่ายๆ

เป็นผู้นำทางเหมือนกัน แต่ราชินีเงือกกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกลับไม่เหมือนกัน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคุ้นชินกับเส้นทางเรือเท่านั้น ทุกครั้งที่ออกทะเลก็ไปมาอย่างเร่งรีบ และแสวงหาสิ่งของอย่างมีจุดหมาย

แต่ราชินีเงือกเป็นชาวโพ้นทะเล ไม่เพียงแต่รู้รูปแบบของโพ้นทะเลเป็นอย่างดี ยังรู้ว่าที่ไหนมีอาหารรสเลิศด้วย

สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวแค่ครู่หนึ่ง พลังก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นางปีศาจผมเงินเอาคำพูดของคนอื่นมาพูดด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าสามารถเชื่อเขาได้ มนุษย์เพศผู้ตัวเหม็นผู้นี้ไม่เคยผิดคำสัญญากับสตรีมาก่อน พูดได้ทำได้”

ข้าเคยผิดคำสัญญากับบุรุษมาก่อนหรือ ใครเลยจะไม่รู้ว่าฆ้องเงินสวี่ยึดถือคำพูดดั่งทองพันชั่ง…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ

เจินจูแสดงออกว่าดีใจมาก และโปรยรอยยิ้มบริสุทธิ์งดงามออกมา

นางย่อมมีความคิดที่จะเอาใจยอดผู้แข็งแกร่งในเผ่ามนุษย์ผู้นี้ มุ่งหวังจะได้รับมิตรภาพจากเขา ตามระบบการแบ่งระดับขั้นของเผ่ามนุษย์ ระดับสุดยอดเทียบเท่ากับเทพมารที่แข็งแกร่งที่สุด และต่ำกว่าระดับสุดยอดลงมาหนึ่งขั้น แม้แต่ในบรรดาเทพมารก็ไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอ

แน่นอนว่าเจินจูยังไม่ค่อยเข้าใจตำแหน่งของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งในระดับขั้นหนึ่ง มิเช่นนั้นคงจะสัมผัสกับความน่ากลัวของสวี่ชีอันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

นางปีศาจผมเงินกล่าวเตือนได้เหมาะเจาะกับเวลา

“แต่เจ้าก็ต้องระแวดระวังตลอดเวลา มิเช่นนั้นไม่แน่ว่าผ่านไปไม่กี่ปี เจ้าต้องอุ้มลูกเลือดผสมกลับไปยังเกาะมนุษย์เงือกด้วย”

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธนั่งฟังเงียบๆ อยู่ตรงกราบเรือ จากการสังเกตมาหลายวัน เขาค้นพบว่ามนุษย์เพศผู้คนนี้อาจเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง

สิ่งนี้สามารถดูได้จากท่าทีของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกับราชินีเงือก

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธระแวดระวังเป็นอย่างมาก แต่ที่มีมากไปกว่านั้นคือความดีใจ พันธมิตรยิ่งแข็งแกร่ง โอกาสในการสืบเสาะเกาะเทพมารก็มีมากขึ้น

สวี่ชีอันลุกเดินไปยังกราบเรืออีกด้าน ทอดสายตามองทะเลไร้ขอบเขต สิ่งที่ยากจะต้านทานไหวในขณะออกทะเลก็คือ ทิวทัศน์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จืดชืดจนทำให้คนบ้าคลั่งได้

จากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ยิ่งลงไปทางใต้ก็ยิ่งร้อนอบอ้าว เขาประเมินการว่าเข้าใกล้เส้นศูนย์สูตรแล้ว

รอภายภาคหน้าหากมหาเคราะห์สงบลง และยังมีชีวิตอยู่ จะพาพวกหลินอันออกทะเลเที่ยวเล่น พาราชินีเงือกที่เป็นผู้นำทางผู้นี้ไปด้วย ไปถึงที่ไหนก็กินของอร่อยที่นั่น…สวี่ชีอันมีความสุขกับชีวิตในอนาคตของเขาอยู่พักหนึ่ง

แม้จะพอใจกับความตื่นเต้นดีอกดีใจ แต่พอคิดว่าหากพาพวกนางไปด้วย ก็จะทำให้เกิดความไม่สะดวกอย่างมาก

เช่นตอนที่เขาเสียบบุปผา ปลาน้อยตัวอื่นๆ จะมาล้อมดูหรือไม่ ตอนที่เขาเกี้ยวพาราสีกับหลินอันปลาน้อยตัวอื่นๆ จะพอใจหรือไม่

มีความเป็นไปได้มากกว่านั้นคือ ข้ากับปลาน้อยแต่ละตัวต่างเคารพซึ่งกันและกัน อีกทั้งต้องถลำอยู่ในทุ่งอสูรอันน่ากลัวตลอดวัน…เขาทอดถอนใจอย่างไร้สุ้มเสียง และละความคิดที่จะพาปลาน้อยออกทะเลไป

ขณะนี้ในขอบเขตสายตาที่มองเห็นของบรรดาระดับเหนือมนุษย์บนเรือ มีจุดสีดำเล็กๆ ปรากฏบนลูกคลื่นสีฟ้าบนผิวทะเลที่อยู่ไกลๆ

ขณะที่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ลดลง สวี่ชีอันก็เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ที่มุ่งหน้าเข้ามาคือใคร ไม่ใช่สิ คือทายาทของเทพมารอะไร

พวกเขาคือ…เต่าเทพนินจา!

อีกทั้งยังเป็นเต่าเทพนินจาที่ขี่พาหนะที่ภายนอกดูคล้ายกับปลาโลมา สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือเต่าเทพนินจาเหล่านี้เป็นสีดำไม่ใช่สีเขียว

นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังสังเกตเห็นว่าเต่าเทพนินจาหลายตัวมีบาดแผลบนตัว บ้างก็มีรอยร้าวปกคลุมบนกระดองเต่า บ้างก็ผิวหนังหนาแน่นบนตัวปริออก ตัวที่สาหัสที่สุดไม่มีแม้แต่แขน

มนุษย์มังกรคลื่นพิโรธเดินมายืนเคียงไหล่สวี่ชีอัน และส่งกระแสจิต

“พวกเขาคือ ‘เผ่าพยากรณ์’ ที่มาจากเกาะเต่าเทพในทะเลตะวันออก ว่ากันว่าเป็นสายเลือดเทพมารที่เชี่ยวชาญการพยากรณ์ท่านนั้น สายเลือดนี้มีพลังต่อสู้ที่อ่อนแอมาก ในเผ่าไม่มีระดับเหนือมนุษย์เลย”

พูดมาถึงจุดนี้มนุษย์มังกรก็หัวเราะเยาะทีหนึ่ง

“ไม่นึกเลยว่าจะกล้ามาสืบเสาะเกาะเทพมารด้วย”

เขาเริ่มใช้ภาษาเทพมารตะโกนออกไป

“ผู้อาวุโสใหญ่เผ่าพยากรณ์ พวกท่านถูกใครโจมตีหรือ”

เดิมทีเต่าเทพนินจากลุ่มนั้นคิดจะหลบเลี่ยงเรือที่ไม่รู้จัก พอเห็นคลื่นพิโรธเอ่ยปากทักทาย ดูเหมือนผู้เฒ่าเต่าเทพที่เป็นหัวหน้าจะรู้จักเจ้าเกาะมนุษย์มังกร จึงรีบบังคับพาหนะเข้ามาประชิด

“เจ้าเกาะคลื่นพิโรธนี่ พวกท่านก็ไปสืบเสาะ ‘เกาะเทพมาร’ ด้วยหรือ”

ผู้เฒ่าเต่าเทพที่เป็นหัวหน้าได้รับบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ดูเหมือนจะอายุมากแล้ว ผิวหนังจึงหย่อนยาน

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธพยักหน้าเล็กน้อย

ผู้เฒ่าเต่าเทพโบกมือติดต่อกัน และกล่าว

“อย่าไปเลย ที่นั่นอันตรายมาก”

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธคิดว่าเขาหมายถึงกลิ่นอายเทพมารที่ทำให้คนบ้าคลั่งได้ จึงกล่าวออกมา

“ข้ารู้ ก่อนที่พวกท่านจะมาถึงที่นี่ข้าเคยค้นหามาแล้ว ข้ารู้ว่าจะหลบเลี่ยงกลิ่นอายมารได้อย่างไร”

ใครจะรู้ล่ะว่าผู้เฒ่าเต่าเทพยังคงโบกมือและส่ายหน้า

“ข้าไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้ หลายวันหลายคืนก่อน มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมาจากนอกเกาะเทพมาร เขากินมายาทเทพมารที่รวมตัวอยู่นอกเกาะไปจำนวนไม่น้อย และขับไล่ทายาทเทพมารออกไปร้อยลี้ ใช้อำนาจคุกคามไม่ให้พวกเราเข้าใกล้เกาะเทพมาร มิเช่นนั้นเห็นหนึ่งคนก็จับกินหนึ่งคน”

‘เทพมารที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวหรือ!’ คลื่นพิโรธ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ราชินีเงือกต่างก็มองหน้ากัน

เป็นเพราะสวี่ชีอันไม่เข้าใจภาษาเทพมาร จึงขับออกจากวงสนทนาชั่วคราว

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธกล่าวอย่างลังเล

และบิดาที่เป็นระดับเหนือมนุษย์ เนื่องจากระดับขั้นไม่เพียงพอจึงโชคดีมีชีวิตรอดมาได้

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธไม่ได้ประสบเหตุจลาจลอันน่าสะพรึงนั้นด้วยตัวเอง แต่เขาได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต

ราชินีเงือกกับผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพเข้าใจคำพูดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตามลำดับ เกล็ดของราชินีเงือกตั้งตรงราวกับลูกแมวที่ขนตั้งชู ใบหน้างดงามราวกับบุปผาหยกซีดขาวอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางอาอากาศที่ร้อนอบอ้าว นางกลับหนาวสะท้าน แขนขาวราวหิมะเกิดอาการขนลุกขึ้นมา

เท้าทั้งสองของผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพสั่นเทา ทั้งรู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง และหวาดหวั่นพรั่นพรึง เขาพูดเสียงติดอ่าง

“ลาก่อน ลาก่อน…”

เขากะจะขี่มัจฉายักษ์จากไปทันที หนีกลับไปเกาะเต่าเทพ

หางจิ้งจอกสีขาวราวหิมะที่มีขนปุกปุยยื่นออกมารัดพันผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพไว้

นางปีศาจผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

“พูดให้จบแล้วค่อยไป ไม่อย่างนั้นกระดองเต่าบนหลังเจ้าจะถูกลอกออกมาทำหม้อ”

“นี่นี่นี่…”

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพมองดูเจ้าเกาะคลื่นพิโรธหลายครั้ง ดีเลวอย่างไรก็เคยพบเจอกันมาก่อน พอมีมิตรภาพอยู่บ้าง หวังว่าเขาจะช่วยพูดสักสองสามประโยค

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพผิดหวังก็คือ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีทีท่าจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมให้

อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพทำได้แค่พูดต่อ

“พวกเราไม่กล้าปะทะจึงถอยออกไป คิดว่าเกาะแห่งนั้นมีสิ่งผนึกต้องห้ามอันทรงพลังกั้นอยู่ ถึงอย่างไรเขาก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่า เขาไม่เพียงแต่สามารถเข้าใกล้เกาะเทพมารได้ ยังใช้เขาบนหัวทำลายสิ่งกีดขวางโดยตรง…หากเป็นท่านนั้นล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย“

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธขมวดคิ้วมุ่น

“ทายาทเทพมารคนอื่นๆ ล่ะ ติดตามผู้นั้นเข้าไปหรือ”

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเต่าเทพส่ายหน้า

“หลังจากเขาเข้าไปแล้ว ผนึกต้องห้ามก็ปิดลงอีกครั้ง นอกจากนี้เขายังปราบวาฬมังกร อาชาดำ และวิหคเพลิงให้อยู่มือได้ ให้ทายาททั้งสามเฝ้าประตูและขับไล่ทายาทเทพมารที่เข้าใกล้เกาะเทพมาร พวกเขาทรงพลังเกินไป ก่อนข้าถอยออกมาก็มีทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ตายในเงื้อมมือของพวกเขาแล้ว”

ในบรรดาทายาทเทพมารทั้งสาม ราชินีเงือกเคยได้ยินแต่อาชาดำ

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธพยักหน้าและถ่ายทอดความคิดของเขา

“วาฬมังกร อาชาดำ และวิหคเพลิงล้วนเป็นทายาทเทพมารที่ทรงพลังสุด พลังต่อสู้ของอาชาดำเทียบเท่ากับข้า วาฬมังกรก็แข็งแกร่งกว่าข้ามาก”

ส่วนวิหคเพลิงนั้น ท้องฟ้าและมหาสมุทรไม่ใช่อาณาจักรเดียวกัน ใครจะแข็งแกร่ง ใครจะอ่อนแอนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นเจ้าของสนามรบ

หลังจากผู้อาวุโสแห่งเต่าเทพพูดทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ขี่พาหนะพาคนในเผ่าถอนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ไปให้ห่างจากสถานที่ถูกผิดแห่งนี้

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธใช้สายตามองส่งเต่าเทพ จากนั้นก็หันไปมองจิ้งจอกสวรรค์ก่อนกล่าว

“กลับกันเถอะ เกาะเทพมารถูกผู้นั้นครอบครองแล้ว เข้าใกล้ก็มีแต่ตายสถานเดียว”

นี่ยังไม่รวมถึงผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนเกาะ

………………………………………

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง