ตอน บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น
……….
เห็นสวี่ชีอันลังเลไม่พูดอะไร เจินจูจึงส่งกระแสจิตไปอธิบาย
“ตำนานเล่าว่า ในสมัยบรรพกาล โลกใบนี้มีแผ่นดินใหญ่แค่ผืนเดียว ต่อมาหลังจากยุคเทพมารสิ้นสุดลง ท้องฟ้าพังทลาย แผ่นดินแตกสลาย แผ่นดินจิ่วโจวถูกโจมตีจนแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเกาะนับไม่ถ้วน เกาะที่ลอยออกจากซากปรักหักพังนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจิ่วโจว”
สวี่ชีอันพยักหน้า ขณะที่มองไปทางเจ้าเกาะ ‘คลื่นพิโรธ’ ไปพลางก็กล่าวไปพลาง
“ถามเขาหน่อยว่ามีความคิดใดที่เป็นรูปธรรมบ้าง”
เจินจูแปลคำพูดของสวี่ชีอันให้เจ้าเกาะคลื่นพิโรธฟัง พอเขาได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าสงสัยว่าเทพมารบางส่วนไม่ได้แตกดับ แต่ถูกปิดล้อมอยู่บนเกาะ พวกเขาดูสมจริงและแข็งแกร่งเช่นนี้ พลังที่กระจายออกมาทำให้คนบ้าคลั่งได้ แต่กำแพงอันน่าหวาดกลัวผนึกเกาะไว้ จึงถูกตัดขาดจากภายนอก ตอนที่ข้ากับโม่อวี้เข้าใกล้กำแพงนั้น เขากับบรรดาองครักษ์มังกรแปดเปื้อนกลิ่นอายเทพมาร เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ”
ส่วนเหตุใดกลิ่นอายของเทพมารถึงมอบจิตวิญญาณให้กับโม่อวี้และองครักษ์มังกรนั้น เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเองก็ไม่รู้แน่ชัด ตัวเกาะเองก็เป็นปริศนา จำเป็นต้องได้รับการสำรวจและศึกษา
จิ้งจอกเก้าหางพูดหัวเราะเยาะ
“ใครสามารถปิดล้อมเทพมารไว้บนเกาะได้ ถึงแม้นั่นจะเป็นแผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งก็ตาม”
นางไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเกาะคลื่นพิโรธ แต่เชื่อคำพูดของสวี่ชีอันมากกว่า สวี่ชีอันเคยเห็นภาพการแตกดับของเทพมารในความทรงจำของเทพเจ้ากู่มาก่อน
ทว่าเกาะที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาแห่งนี้ เป็นตัวแทนของสิ่งที่ ‘คาดไม่ถึง’ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกเก้าหางถึงไม่ได้โต้แย้งโดยตรง
“สถานการณ์เป็นอย่างไรนั้น ไปดูด้วยตนเองก็จะรู้เอง”
สวี่ชีอันหันไปมองมนุษย์มังกรเกล็ดเขียวที่มีรูปร่างสูงใหญ่และรูปลักษณ์ดุร้ายก่อนกล่าว
“เจ้ารับผิดชอบนำทาง”
เจินจูแปลคำพูดให้เจ้าเกาะคลื่นพิโรธฟัง มนุษย์มังกรเกล็ดเขียวมองไปทางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
แม้อารยธรรมจะถือกำเนิดขึ้นบนเกาะอาเอ่อร์ซู และมีการก่อตั้งนครรัฐขึ้นมาแล้ว แต่กฎการเอาชีวิตรอดของการเคารพผู้แข็งแกร่งยังคงส่งผลกระทบต่อลูกหลานของเทพมารอย่างกว้างขวาง
ผู้ที่สามารถกึ่งบีบบังคับให้เขาเสี่ยงอันตรายได้นั้น มีแค่เจ้าอาณาจักรปีศาจที่มาจากแผ่นดินจิ่วโจวเท่านั้น
ส่วนเหตุที่ว่าเหตุใดถึงเป็นกึ่งบีบบังคับ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธก็ไม่ยินยอมเช่นกัน อยากกลับไป ‘เกาะเทพมาร’ เพื่อหาสาเหตุ
เทียบกับการเจอหน้าเมื่อครั้งก่อนแล้ว พลังแท้จริงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตัวนี้ ดูเหมือนจะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เกรงว่าใกล้เคียงกับระดับขั้นหนึ่งที่เผ่ามนุษย์แบ่งขึ้นมาแล้ว
หากมีนางอยู่ด้วยล่ะก็ การสืบเสาะ ‘เกาะเทพมาร’ ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น
แต่เจ้าเกาะคลื่นพิโรธยังคงไม่ได้พยักหน้าในทันที
สังเกตเห็นท่าทีครุ่นคิดและลังเลของเขา ปีศาจสาวผมเงินก็ถามกลับด้วยรอยยิ้ม
“มีปัญหาอันใดหรือ?”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าว
“การดำรงอยู่ของเกาะเทพมาร ได้ถูกเปิดเผยก่อนข้ากลับมาแล้ว ผ่านไปนานเช่นนี้ เกรงว่าซากที่อยู่อาศัยรกร้างในทะเลใต้อาจรวบรวมทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ไว้จำนวนมากแล้ว”
‘สหาย’ ท่านนั้นขายข่าวให้เขา แต่จะต้องไม่ขายให้มังกรอย่างเขาแค่ตัวเดียว
นี่หมายความว่าความกดดันในการแข่งขันจะเพิ่มมากขึ้น
แม้จะบอกว่าทายาทเทพมารที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษได้ซบเซาไปนานแล้ว แต่โพ้นทะเลกว้างขวางไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ว่าแผ่นดินจิ่วโจวหลายเท่า หากจะรวบรวมทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมดจริงๆ ยังคงเป็นจำนวนตัวเลขที่น่าตกใจมาก
ต่อให้รวบรวมได้แค่ส่วนหนึ่ง ก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดเรื่องส่วนได้ส่วนเสียให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทำท่าทางโอ้อวดเกินไป และทำให้ทายาทเทพมารลุกฮือขึ้นโจมตี
เจินจูแปลให้สวี่ชีอันฟัง สวี่ชีอันหลุดปากพูดด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ!”
เจ้าเกาะคลื่นพิโรธไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่เมื่อมองดูใบหน้ามนุษย์เพศผู้คนนี้ด้วยตาเปล่า ดูเหมือนจะดีใจเป็นอย่างมาก
‘นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจหรอกหรือ’
…
ดินแดนประจิมทิศ
นครรัฐที่มีชื่อว่า ‘เป่ยชาง’ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา ด้วยเหตุที่ยากจนข้นแค้นและรกร้างว่างเปล่า จึงทำให้นครรัฐแห่งนี้เสื่อมโสมและเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย
เจ้าเมืองคือตระกูลสูงศักดิ์เพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ ที่อรัญตาเคารพเลื่อมใสเขา เพียงเพราะว่าเขาเดินทางพันลี้ไปแสวงบุญที่อรัญตาในวัยหนุ่ม
กำแพงเมืองเป่ยชางใช้หินกับดินเหลืองเป็นหลัก ดูเหมือนจะกลืนเข้ากับทะเลทรายที่อยู่ด้านนอก และแฝงไปด้วยกลิ่นอายโบราณที่ดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว
จู๋ไล่คือขอทานในเมืองเป่ยชาง ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เขาคลุมชุดคลุมขาดๆ ถือท่อนไม้ยันกับพื้น และเดินขากะเผลกไปตามริมถนนของเป่ยชาง เขาเฝ้าปรารถนาให้มีคนใจดีหยิบยื่นของกินให้กับคนที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งสี่วัน
ที่ดินเพาะปลูกในเป่ยชางจืดชืด ประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ไหนเลยจะมีอาหารมาบริจาคทานได้
“เจ้าดูประกาศในป้ายประกาศหรือยัง ได้ยินว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาจะจัดงานชุมนุมพุทธะหลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเชิญผู้ศรัทธาในดินแดนประจิมทิศไปแสวงบุญ”
“เฮ้อ เส้นทางยาวไกล จะไปอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงการถูกโจรท้องถิ่นปล้นสะดม ลำพังแค่ความหนาวเหน็บและหิวโหยก็สามารถฆ่าเจ้าให้ตายได้แล้ว”
“หากไปตอนนี้ล่ะก็ ไม่ต้องกลัวเรื่องความหนาวเหน็บ แต่ตอนกลับมาก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว…”
คำสนทนาของผู้คนริมถนนดึงดูดความสนใจของจู๋ไล่
‘อรัญตาจะจัดงานชุมชนพุทธะ เชิญผู้ศรัทธาไปแสวงบุญหรือ’
จู๋ไล่จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาทันที ราวกับสายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำรดลงมาในฤดูร้อนอันอบอ้าว เขาลากสังขารอันเหนื่อยล้ามุ่งหน้าไปยังป้ายประกาศตรงประตูเมือง
ในช่วงชีวิตขอทานที่ผ่านมาอย่างโชกโชน เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเจ้าเมืองมาก่อน
ว่ากันว่าตอนที่ท่านเจ้าเมืองอายุยังน้อยนั้น เป็นพวกเสเพลเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีโชคเข้ามาและมันสมองก็ปราดเปรื่อง รู้สึกว่าตนเองเกิดมาเพื่อพุทธะ ดังนั้นจึงเดินทางไกลโพ้นเป็นพันๆ ลี้เพื่อแสวงบุญที่อรัญตา
เขาอาบแสงพุทธะในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ได้รับความชื่นชมจากสำนักพุทธ และกลายเป็นศิษย์สำนักพุทธ
นับแต่นั้นมาก็เจริญก้าวหน้าพรวดพราด จนมานั่งตำแหน่งเจ้าเมือง
ผ่านไปอีกหลายปี เรื่องเล่านี้ยังถูกเล่าปากต่อปากในเป่ยชาง สามารถพูดได้ว่าเป็นแบบอย่างในการศรัทธาพุทธะเปลี่ยนแปลงชีวิต
‘ศรัทธาพุทธะ แสวงบุญ สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา…’ ในสมองของจู๋ไล่เหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ‘ไปดูมูลเหตุที่ป้ายประกาศ!’
ระยะทางที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เขาเหมือนกับใช้เวลาเดินครึ่งค่อนชีวิต ตอนที่มาถึงป้ายประกาศนั้นก็หายใจหอบแฮ่กๆ และหน้ามืดตาลายแล้ว
“บนป้ายประกาศเขียนว่าอย่างไร”
เขาจับชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างป้ายประกาศไว้แน่น
“ไอ้ขอทานตัวเหม็น ไสหัวไป”
คนผู้นั้นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ และใช้เท้าถีบจู๋ไล่ออกไป
เดิมทีจู๋ไล่ก็หิวโหยและกระหายอยู่แล้ว จึงล้มลงพื้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าจิตรับรู้เริ่มออกจากร่าง ชีวิตเดินมาถึงจุดสิ้นสุด
ผ่านไปสักพัก เขาถึงค่อยๆ กลับมาควบคุมร่างกายตนเองได้อีกครั้ง
“ต้องการดื่มน้ำหรือไม่”
น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างหู จู๋ไล่ลืมตาขึ้น มองเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาธรรมดายืนอยู่ข้างๆ และยื่นถุงน้ำมาให้
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมเรียบง่าย ผิวหนังดำเกรียม ดูๆ แล้วคงเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ในเมือง แต่แววตาของเขาอบอุ่นและเต็มไปด้วยเจตนาหวังดี
จู๋ไล่เลียริมฝีปากที่แห้งจนแตก เขารับถุงน้ำมาอย่างอดใจไม่ไหว และดื่มอย่างบ้าคลั่ง
เขากระหายน้ำจนแทบจะทนไม่ไหว
หลังดื่มน้ำในถุงหนังหมดเกลี้ยงภายในอึดใจเดียว จู๋ไล่ก็เรอด้วยความพึงพอใจ ขณะนี้เขาถึงเผยสีหน้าไม่สบายใจและระแวดระวังออกมา ไม่รู้ว่าเหตุใดชายวัยกลางคนตรงหน้าถึงช่วยขอทานสกปรกอย่างเขา
“อมิตตาพุทธ!”
ชายวัยกลางคนพนมมือกล่าวอย่างปลื้มปีติยินดี
“เมื่อครู่เกือบคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว”
‘ที่แท้ก็เป็นผู้ศรัทธาสำนักพุทธ…’ จู๋ไล่โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ขณะเดียวกักรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เป่ยชางอยู่ในดินแดนของสำนักพุทธ ย่อมมีผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อย แต่ตามที่เขาเข้าใจ สิ่งที่ผู้ศรัทธาในเมืองเลื่อมใสคือการต่อสู้เพื่อข้ามทะเลแห่งความทุกข์ และบรรลุอภิสัมโพธิญาณ
สิ่งที่ปลดปล่อยคือตัวเอง
น้อยมากที่จะกระตือรือร้นในการสร้างกุศล
“ขอบคุณ!”
แต่เขายังคงพูดขอบคุณออกมา และยื่นถุงหนังคืนกลับไปอย่างระมัดระวัง
ชายวัยกลางคนรับถุงหนังและกล่าว
“บนป้ายประกาศบอกว่า อรัญตาจะจัดงานชุมนุมพุทธะ เชิญผู้ศรัทธาไปแสวงบุญ แต่จะเชิญแค่บุคคลผู้มีอำนาจราชศักดิ์และฐานะทางครอบครัวมั่งคั่งเท่านั้น คนอย่างพวกเราเดินไม่ถึงอรัญตาด้วยซ้ำ”
จู๋ไล่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าว “ขอบคุณ” อีกครั้ง
ชายวัยกลางคนกล่าวต่อ
“พุทธะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในอรัญตา!”
“โชคดีที่ได้ฟังคัมภีร์แท้ของพุทธะเรา”
ทุกคนพนมมือแล้วกล่าวพร้อมกัน
“อมิตาพุทธ!”
จิ้งซือกล่าวต่อ
“วันนี้มีสมาชิกมาใหม่ อาตมาจะเล่าจุดกำเนิดของนิกายมหายานอีกรอบ หวังว่าผู้มาใหม่จะได้รับทราบ”
“นิกายมหายานเริ่มต้นที่ต้าฟ่งในที่ราบกลาง สวี่ชีอันฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งเป็นผู้เริ่มก่อตั้ง ฆ้องเงินสวี่คือการกลับชาติมาเกิดของเจ้าแห่งหมื่นพุทธะในสามพันโลก พระองค์ทรงโปรดพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ในพิธีต้าฮวดของสำนักพุทธที่เมืองหลวงของต้าฟ่ง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ซาบซึ้งสัจธรรมที่แท้จริงของนิกายมหายาน กลายเป็นพุทธะในบัดดล และกลายเป็นพุทธะผู้สูงศักดิ์องค์ที่สองของนิกายมหายาน…”
‘พระอรหันต์ตู้เอ้อร์จะเป็นพุทธะได้อย่างไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าบนโลกมีพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียว!’ จู๋ไล่แอบทำปากยื่น
เขาฟังพระภิกษุหนุ่มเล่าที่มาของนิกายมหายานด้วยความเหยียดหยาม เขาโต้แย้งทุกประโยคของพระภิกษุหนุ่มอยู่ในใจ หรือไม่ก็ยิ้มหยันด้วยความดูหมิ่น
แต่พอเขาได้ยินว่าเวไนยสัตว์เสมอภาคกัน จู๋ไล่ก็เงียบไปทันที
‘หากบนโลกมีสถานที่ที่เวไนยสัตว์เสมอภาคกันจริงๆ ข้าสาบานว่าจะปกป้องจนตาย’ เขาพึมพำอยู่ในใจประโยคหนึ่ง
เขาเป็นขอทานตั้งแต่เด็ก ถูกเหยียดหยามรังแก ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
เขาเปลี่ยนความคิดโดยไม่รู้ตัว และเริ่มตั้งใจฟังเทศน์ ตั้งใจพิจารณาทบทวน
‘โปรดคนอื่นโปรดตนเอง หลบหนีจากทะเลแห่งความทุกข์… หากอรัญตา หากผู้ศรัทธาสำนักพุทธในดินแดนประจิมทิศต่างก็โปรดผู้คนและโปรดตนเอง ข้าจะยังเป็นขอทานอยู่อีกหรือ โชคชะตาของข้าจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากไม่ได้ท่านอาท่านนั้นช่วยไว้ในเมื่อครู่ ตอนนี้ข้าคงยังระทมทุกข์เพราะความหิวโหย…นิกายมหายานแบบนี้ คือนิกายนอกรีตจริงหรือ…’
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในสมองของเขา
ในช่วงเวลาที่ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น จู๋ไล่ได้ยินพระภิกษุหนุ่มกล่าว
“วันนี้สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้!”
เขาตั้งสติได้ในฉับพลัน ค้นพบว่าแสงอาทิตย์ตรงรอยแยกของประตูได้กลายเป็นสีแดงทอง ซึ่งหมายความว่าเข้าสู่ช่วงสายัณห์แล้ว
‘ฮะฮ่า ลืมไปขอทานเลย คืนนี้ต้องทนหิวอีกแล้ว…’ จู๋ไล่กระวนกระวายใจมาก หงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง
ขอทานที่กินมื้อนี้แล้วไม่มีมื้อต่อไปอย่างเขา ต้องทุ่มเทเพื่อให้ได้กินข้าวอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็ต้องทนหิวอีก
นึกถึงจุดนี้ เขารีบลุกขึ้นทันทีและคิดที่จะจากไป
‘พระภิกษุน้อยกล่าวได้มีเหตุผลมาก ยังไม่ต้องเปิดโปงเขา…’ ขณะที่จู๋ไล่กำลังจะจากไปนั้น กลับค้นพบว่าผู้ศรัทธาที่อยู่รอบๆ นั่งขัดสมาธิไม่เคลื่อนไหว ไม่มีใครลุกขึ้นเลย
สายตาของฝูงชนมองไปยังพระภิกษุหนุ่มด้วยแววตามุ่งหวัง
จากนั้นเขาก็เห็นพระภิกษุน้อยจิ้งซือควักเหรียญกษาปณ์ทองแดงออกจากแขนเสื้อมาพวงหนึ่ง และกล่าวกับหญิงชราว่า
“เอาไปแบ่งให้กับทุกคน!”
หญิงชรารับเหรียญกษาปณ์ทองแดงมาแจกจ่ายให้ทุกคนเท่าๆ กัน
‘ยัง ยังมีเงินให้ด้วยหรือ! จู๋ไล่ก้มมองเหรียญกษาปณ์ทองแดงในมือ นี่มันสามารถซื้อหมั่นโถวห้าลูกในเมืองเป่ยชางได้เลย
กินแบบประหยัดหน่อย ก็สามารถจัดการปัญหาความหิวโหยและความอบอุ่นได้ถึงสามวัน
นี่คือนิกายอะไรกัน บนโลกนี้มีนิกายที่แจกเหรียญกษาปณ์ทองแดงให้ผู้ศรัทธาจริงหรือ!
ทัศนคติของจู๋ไล่ถูกโจมตีอย่างรุนแรง
พระภิกษุจิ้งซือกล่าวอย่างอ่อนโยน
“พุทธะจะไม่ให้ผู้ศรัทธาท่านใดของพระองค์ต้องหิวโหย โปรดผู้อื่นโปรดตนเอง นี่คือวัตถุประสงค์ของนิกายเรา นิกายมหายานพูดแล้วต้องปฏิบัติตามสิ่งที่พูด”
จู๋ไล่กำเหรียญกษาปณ์ทองแดงในมือแน่น รู้สึกว่าตนเองหาองค์กรพบแล้ว
จากนั้นเขาค้นพบว่าชายวัยกลางคนที่โปรดเขาผู้นั้นได้รับเหรียญกษาปณ์ทองแดงสิบเหรียญ
‘หืม? ไม่ได้บอกว่าเวไนยสัตว์เท่าเทียมกันหรือ!’
จู๋ไล่ไม่เข้าใจแล้ว
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นี่คือรางวัลที่ข้าควรได้รับ ใครก็ตามที่โปรดผู้อื่นหนึ่งคน จะได้รับเหรียญกษาปณ์ทองแดงหน้าเหรียญเป็นรางวัล นี่คือกฎของนิกายเรา”
‘ข้ารู้จักขอทานจำนวนมาก มากมายจริงๆ ข้า ข้าจะร่ำรวยแล้ว…’ ในสมองของจู๋ไล่เหลือเพียงความคิดนี้
ดูทั้งหมด
มีเพียงผู้ที่ศรัทธานิกายมหายานเท่านั้นที่ศรัทธาเจ้าแห่งหมื่นพุทธะ!
…………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...