ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 855

บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น

……….

เห็นสวี่ชีอันลังเลไม่พูดอะไร เจินจูจึงส่งกระแสจิตไปอธิบาย

“ตำนานเล่าว่า ในสมัยบรรพกาล โลกใบนี้มีแผ่นดินใหญ่แค่ผืนเดียว ต่อมาหลังจากยุคเทพมารสิ้นสุดลง ท้องฟ้าพังทลาย แผ่นดินแตกสลาย แผ่นดินจิ่วโจวถูกโจมตีจนแตกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นเกาะนับไม่ถ้วน เกาะที่ลอยออกจากซากปรักหักพังนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจิ่วโจว”

สวี่ชีอันพยักหน้า ขณะที่มองไปทางเจ้าเกาะ ‘คลื่นพิโรธ’ ไปพลางก็กล่าวไปพลาง

“ถามเขาหน่อยว่ามีความคิดใดที่เป็นรูปธรรมบ้าง”

เจินจูแปลคำพูดของสวี่ชีอันให้เจ้าเกาะคลื่นพิโรธฟัง พอเขาได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าสงสัยว่าเทพมารบางส่วนไม่ได้แตกดับ แต่ถูกปิดล้อมอยู่บนเกาะ พวกเขาดูสมจริงและแข็งแกร่งเช่นนี้ พลังที่กระจายออกมาทำให้คนบ้าคลั่งได้ แต่กำแพงอันน่าหวาดกลัวผนึกเกาะไว้ จึงถูกตัดขาดจากภายนอก ตอนที่ข้ากับโม่อวี้เข้าใกล้กำแพงนั้น เขากับบรรดาองครักษ์มังกรแปดเปื้อนกลิ่นอายเทพมาร เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ”

ส่วนเหตุใดกลิ่นอายของเทพมารถึงมอบจิตวิญญาณให้กับโม่อวี้และองครักษ์มังกรนั้น เจ้าเกาะคลื่นพิโรธเองก็ไม่รู้แน่ชัด ตัวเกาะเองก็เป็นปริศนา จำเป็นต้องได้รับการสำรวจและศึกษา

จิ้งจอกเก้าหางพูดหัวเราะเยาะ

“ใครสามารถปิดล้อมเทพมารไว้บนเกาะได้ ถึงแม้นั่นจะเป็นแผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งก็ตาม”

นางไม่เชื่อคำพูดของเจ้าเกาะคลื่นพิโรธ แต่เชื่อคำพูดของสวี่ชีอันมากกว่า สวี่ชีอันเคยเห็นภาพการแตกดับของเทพมารในความทรงจำของเทพเจ้ากู่มาก่อน

ทว่าเกาะที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาแห่งนี้ เป็นตัวแทนของสิ่งที่ ‘คาดไม่ถึง’ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกเก้าหางถึงไม่ได้โต้แย้งโดยตรง

“สถานการณ์เป็นอย่างไรนั้น ไปดูด้วยตนเองก็จะรู้เอง”

สวี่ชีอันหันไปมองมนุษย์มังกรเกล็ดเขียวที่มีรูปร่างสูงใหญ่และรูปลักษณ์ดุร้ายก่อนกล่าว

“เจ้ารับผิดชอบนำทาง”

เจินจูแปลคำพูดให้เจ้าเกาะคลื่นพิโรธฟัง มนุษย์มังกรเกล็ดเขียวมองไปทางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง

แม้อารยธรรมจะถือกำเนิดขึ้นบนเกาะอาเอ่อร์ซู และมีการก่อตั้งนครรัฐขึ้นมาแล้ว แต่กฎการเอาชีวิตรอดของการเคารพผู้แข็งแกร่งยังคงส่งผลกระทบต่อลูกหลานของเทพมารอย่างกว้างขวาง

ผู้ที่สามารถกึ่งบีบบังคับให้เขาเสี่ยงอันตรายได้นั้น มีแค่เจ้าอาณาจักรปีศาจที่มาจากแผ่นดินจิ่วโจวเท่านั้น

ส่วนเหตุที่ว่าเหตุใดถึงเป็นกึ่งบีบบังคับ เจ้าเกาะคลื่นพิโรธก็ไม่ยินยอมเช่นกัน อยากกลับไป ‘เกาะเทพมาร’ เพื่อหาสาเหตุ

เทียบกับการเจอหน้าเมื่อครั้งก่อนแล้ว พลังแท้จริงของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตัวนี้ ดูเหมือนจะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เกรงว่าใกล้เคียงกับระดับขั้นหนึ่งที่เผ่ามนุษย์แบ่งขึ้นมาแล้ว

หากมีนางอยู่ด้วยล่ะก็ การสืบเสาะ ‘เกาะเทพมาร’ ก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น

แต่เจ้าเกาะคลื่นพิโรธยังคงไม่ได้พยักหน้าในทันที

สังเกตเห็นท่าทีครุ่นคิดและลังเลของเขา ปีศาจสาวผมเงินก็ถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“มีปัญหาอันใดหรือ?”

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าว

“การดำรงอยู่ของเกาะเทพมาร ได้ถูกเปิดเผยก่อนข้ากลับมาแล้ว ผ่านไปนานเช่นนี้ เกรงว่าซากที่อยู่อาศัยรกร้างในทะเลใต้อาจรวบรวมทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ไว้จำนวนมากแล้ว”

‘สหาย’ ท่านนั้นขายข่าวให้เขา แต่จะต้องไม่ขายให้มังกรอย่างเขาแค่ตัวเดียว

นี่หมายความว่าความกดดันในการแข่งขันจะเพิ่มมากขึ้น

แม้จะบอกว่าทายาทเทพมารที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษได้ซบเซาไปนานแล้ว แต่โพ้นทะเลกว้างขวางไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ว่าแผ่นดินจิ่วโจวหลายเท่า หากจะรวบรวมทายาทเทพมารระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมดจริงๆ ยังคงเป็นจำนวนตัวเลขที่น่าตกใจมาก

ต่อให้รวบรวมได้แค่ส่วนหนึ่ง ก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดเรื่องส่วนได้ส่วนเสียให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทำท่าทางโอ้อวดเกินไป และทำให้ทายาทเทพมารลุกฮือขึ้นโจมตี

เจินจูแปลให้สวี่ชีอันฟัง สวี่ชีอันหลุดปากพูดด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น

“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ!”

เจ้าเกาะคลื่นพิโรธไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่เมื่อมองดูใบหน้ามนุษย์เพศผู้คนนี้ด้วยตาเปล่า ดูเหมือนจะดีใจเป็นอย่างมาก

‘นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจหรอกหรือ’

ดินแดนประจิมทิศ

นครรัฐที่มีชื่อว่า ‘เป่ยชาง’ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา ด้วยเหตุที่ยากจนข้นแค้นและรกร้างว่างเปล่า จึงทำให้นครรัฐแห่งนี้เสื่อมโสมและเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย

เจ้าเมืองคือตระกูลสูงศักดิ์เพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ ที่อรัญตาเคารพเลื่อมใสเขา เพียงเพราะว่าเขาเดินทางพันลี้ไปแสวงบุญที่อรัญตาในวัยหนุ่ม

กำแพงเมืองเป่ยชางใช้หินกับดินเหลืองเป็นหลัก ดูเหมือนจะกลืนเข้ากับทะเลทรายที่อยู่ด้านนอก และแฝงไปด้วยกลิ่นอายโบราณที่ดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว

จู๋ไล่คือขอทานในเมืองเป่ยชาง ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เขาคลุมชุดคลุมขาดๆ ถือท่อนไม้ยันกับพื้น และเดินขากะเผลกไปตามริมถนนของเป่ยชาง เขาเฝ้าปรารถนาให้มีคนใจดีหยิบยื่นของกินให้กับคนที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งสี่วัน

ที่ดินเพาะปลูกในเป่ยชางจืดชืด ประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร ไหนเลยจะมีอาหารมาบริจาคทานได้

“เจ้าดูประกาศในป้ายประกาศหรือยัง ได้ยินว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาจะจัดงานชุมนุมพุทธะหลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เพื่อเชิญผู้ศรัทธาในดินแดนประจิมทิศไปแสวงบุญ”

“เฮ้อ เส้นทางยาวไกล จะไปอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงการถูกโจรท้องถิ่นปล้นสะดม ลำพังแค่ความหนาวเหน็บและหิวโหยก็สามารถฆ่าเจ้าให้ตายได้แล้ว”

“หากไปตอนนี้ล่ะก็ ไม่ต้องกลัวเรื่องความหนาวเหน็บ แต่ตอนกลับมาก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว…”

คำสนทนาของผู้คนริมถนนดึงดูดความสนใจของจู๋ไล่

‘อรัญตาจะจัดงานชุมชนพุทธะ เชิญผู้ศรัทธาไปแสวงบุญหรือ’

จู๋ไล่จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาทันที ราวกับสายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำรดลงมาในฤดูร้อนอันอบอ้าว เขาลากสังขารอันเหนื่อยล้ามุ่งหน้าไปยังป้ายประกาศตรงประตูเมือง

ในช่วงชีวิตขอทานที่ผ่านมาอย่างโชกโชน เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเจ้าเมืองมาก่อน

ว่ากันว่าตอนที่ท่านเจ้าเมืองอายุยังน้อยนั้น เป็นพวกเสเพลเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีโชคเข้ามาและมันสมองก็ปราดเปรื่อง รู้สึกว่าตนเองเกิดมาเพื่อพุทธะ ดังนั้นจึงเดินทางไกลโพ้นเป็นพันๆ ลี้เพื่อแสวงบุญที่อรัญตา

เขาอาบแสงพุทธะในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ได้รับความชื่นชมจากสำนักพุทธ และกลายเป็นศิษย์สำนักพุทธ

นับแต่นั้นมาก็เจริญก้าวหน้าพรวดพราด จนมานั่งตำแหน่งเจ้าเมือง

ผ่านไปอีกหลายปี เรื่องเล่านี้ยังถูกเล่าปากต่อปากในเป่ยชาง สามารถพูดได้ว่าเป็นแบบอย่างในการศรัทธาพุทธะเปลี่ยนแปลงชีวิต

‘ศรัทธาพุทธะ แสวงบุญ สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตา…’ ในสมองของจู๋ไล่เหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ‘ไปดูมูลเหตุที่ป้ายประกาศ!’

ระยะทางที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เขาเหมือนกับใช้เวลาเดินครึ่งค่อนชีวิต ตอนที่มาถึงป้ายประกาศนั้นก็หายใจหอบแฮ่กๆ และหน้ามืดตาลายแล้ว

“บนป้ายประกาศเขียนว่าอย่างไร”

เขาจับชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างป้ายประกาศไว้แน่น

“ไอ้ขอทานตัวเหม็น ไสหัวไป”

คนผู้นั้นใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ และใช้เท้าถีบจู๋ไล่ออกไป

เดิมทีจู๋ไล่ก็หิวโหยและกระหายอยู่แล้ว จึงล้มลงพื้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าจิตรับรู้เริ่มออกจากร่าง ชีวิตเดินมาถึงจุดสิ้นสุด

ผ่านไปสักพัก เขาถึงค่อยๆ กลับมาควบคุมร่างกายตนเองได้อีกครั้ง

“ต้องการดื่มน้ำหรือไม่”

น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างหู จู๋ไล่ลืมตาขึ้น มองเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาธรรมดายืนอยู่ข้างๆ และยื่นถุงน้ำมาให้

ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมเรียบง่าย ผิวหนังดำเกรียม ดูๆ แล้วคงเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ในเมือง แต่แววตาของเขาอบอุ่นและเต็มไปด้วยเจตนาหวังดี

จู๋ไล่เลียริมฝีปากที่แห้งจนแตก เขารับถุงน้ำมาอย่างอดใจไม่ไหว และดื่มอย่างบ้าคลั่ง

เขากระหายน้ำจนแทบจะทนไม่ไหว

หลังดื่มน้ำในถุงหนังหมดเกลี้ยงภายในอึดใจเดียว จู๋ไล่ก็เรอด้วยความพึงพอใจ ขณะนี้เขาถึงเผยสีหน้าไม่สบายใจและระแวดระวังออกมา ไม่รู้ว่าเหตุใดชายวัยกลางคนตรงหน้าถึงช่วยขอทานสกปรกอย่างเขา

“อมิตตาพุทธ!”

ชายวัยกลางคนพนมมือกล่าวอย่างปลื้มปีติยินดี

“เมื่อครู่เกือบคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว”

‘ที่แท้ก็เป็นผู้ศรัทธาสำนักพุทธ…’ จู๋ไล่โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ขณะเดียวกักรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เป่ยชางอยู่ในดินแดนของสำนักพุทธ ย่อมมีผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อย แต่ตามที่เขาเข้าใจ สิ่งที่ผู้ศรัทธาในเมืองเลื่อมใสคือการต่อสู้เพื่อข้ามทะเลแห่งความทุกข์ และบรรลุอภิสัมโพธิญาณ

สิ่งที่ปลดปล่อยคือตัวเอง

น้อยมากที่จะกระตือรือร้นในการสร้างกุศล

“ขอบคุณ!”

แต่เขายังคงพูดขอบคุณออกมา และยื่นถุงหนังคืนกลับไปอย่างระมัดระวัง

ชายวัยกลางคนรับถุงหนังและกล่าว

“บนป้ายประกาศบอกว่า อรัญตาจะจัดงานชุมนุมพุทธะ เชิญผู้ศรัทธาไปแสวงบุญ แต่จะเชิญแค่บุคคลผู้มีอำนาจราชศักดิ์และฐานะทางครอบครัวมั่งคั่งเท่านั้น คนอย่างพวกเราเดินไม่ถึงอรัญตาด้วยซ้ำ”

จู๋ไล่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าว “ขอบคุณ” อีกครั้ง

ชายวัยกลางคนกล่าวต่อ

“พุทธะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในอรัญตา!”

บทที่ 855 ศรัทธาเพียงฆ้องเงินสวี่ เจ้าแห่งหมื่นพุทธะเท่านั้น 1

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง