ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 863

บทที่ 863 ประตู

……….

หลังสวมหัวกะโหลก จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจึงสงบใจลง หลับตาและขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง มุ่งสมาธิไปยังจิตวิญญาณที่เหลือในหัวกะโหลก

หลังจากนั้นไม่นาน นางก็รู้สึกได้ชัดเจนถึงเสียงสะท้อนเบาๆ ระหว่างที่หัวกะโหลกทั้งสองซ้อนทับกัน โดยผ่านทางการเหนี่ยวนำจิตวิญญาณระหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกัน

จิตวิญญาณของจิ้งจอกชิงชิวจมลง ในขณะที่จิตวิญญาณของนางลอยขึ้น ทั้งคู่ต่างเกิดการประสานกัน

ทันทีที่จิตวิญญาณสองดวงมาพบกัน การกลืนกินจึงเริ่มต้นขึ้น

“โฮก!”

จิตวิญญาณในหัวกะโหลกจิ้งจอกชิงชิวจมลง สายธารแห่งปัญญาของจิ้งจอกเก้าหางควบแน่นออกมาเป็นเงาสีขาว ซึ่งในตอนแรกนั้นมีสภาพไม่ชัดเจน เปลี่ยนแปรได้ตลอด

จากนั้นไม่นาน ร่างกายก็แข็งทื่อและกลายเป็นจิ้งจอกขาวยาวหลายจั้งตัวหนึ่ง หางทั้งเก้าที่ด้านหลังยกขึ้น ประหนึ่งนกยูงรำแพน

เป็นความสง่างามและทรงเกียรติ ราวกับภูตที่ได้รับการฟูมฟักจากฟ้าดิน เปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์

ช่างเย้ายวนและมีเสน่ห์ราวกับร่างอวตารของตัณหา สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าชายหญิงที่ได้เห็น ต่างยอมจำนนต่อเสน่ห์ของนาง

จิ้งจอกชิงชิว หนึ่งในเทพมารบรรพกาล

ตำนานเล่าว่าจิ้งจอกชิงชิวคือความงามในยุคบรรพกาล เสน่ห์ของนางพิชิตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเทพมาร เผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือทายาทเทพมาร ต่างก็หมายปองความงดงามของนาง

เป็นหนึ่งในเทพมารซึ่งทรงอิทธิพลมากที่สุด

จิ้งจอกเก้าหางพลันฉุกคิด จิตวิญญาณของตนในสายธารแห่งปัญญาปรากฏเป็นจิ้งจอกขาวเก้าหางผู้สูงส่งงามสง่า

รูปร่างของนางค่อนข้างเล็ก รูปลักษณ์ภายนอกก็แตกต่างจากจิ้งจอกชิงชิวมากนัก แต่นางก็ผุดผ่องไร้ที่ติ และมีเสน่ห์อันไร้เทียมทานเช่นกัน

จิ้งจอกขาวสองตัวเผชิญหน้ากันกลางอากาศพลางแสยะยิ้ม หางทั้งเก้าซึ่งอยู่ด้านหลังพลันสยายออก และโบกสะบัดอย่างรุนแรงราวกับธง

สายเลือดนี้ของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง สามารถปล้นชิงจิตวิญญาณระหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกันเพื่อเติมเต็มตนเองได้ นางปีศาจผมขาวต้องการกลืนกินจิตวิญญาณที่ตกทอดของจิ้งจอกชิงชิว ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องทำตามสัญชาตญาณในการกลืนกินจิตวิญญาณซึ่งมีต้นกำเนิดเดียวกันเช่นกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากจิ้งจอกเก้าหางไม่สามารถเอาชนะพลังที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ได้ เช่นนั้นนางก็มีแนวโน้มสูงที่จะถูกกลืนกิน

นางปีศาจผมขาวรักษาสภาพจิตใจให้ปลอดโปร่ง ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน รวมถึงความกลัว ความยินดี ความตึงเครียดต่างๆ ทำให้ตนเหลือเพียงสัญชาตญาณในการกลืนกินเท่านั้น

ภาพการแยกเขี้ยวของสัตว์ร้ายที่แท้จริง และการกลืนกินจิ้งจอกชิงชิวราวกับคลุ้มคลั่ง กัดหางของมัน ฉีกกระชาก ‘เลือดเนื้อ’ ของมัน และกลืนกินเข้าไปในคำเดียว ส่งผลให้นางไม่ได้สง่างามอีกต่อไป

ในกระบวนการนี้ ‘ร่างกาย’ ของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจก็ถูกจิ้งจอกชิงชิวกลืนกินเช่นกัน

ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ผสานเข้าด้วยกัน

นอกสายธารแห่งปัญญา สวี่ชีอันถอยหลังสองสามก้าวอย่างเงียบๆ และเงยหน้ามองจิ้งจอกขาวตัวมหึมาตรงหน้า ร่างของมันสูงสองจั้ง ความยาวลำตัวมากกว่าหกจั้ง ทั้งยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ตัวตนของจิ้งจอกจำแลงปรากฏขึ้นแล้ว

นางในตอนนี้ ไม่เหลือความสง่างดงามแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ผิวหนังบนคางยาวๆ เป็นรอยเหี่ยวย่น เขี้ยวแหลมคมแยกออก

มันคืบคลานและตั้งท่ากระโจน ราวกับจะโจมตีได้ทุกเมื่อ

น่าเสียดายนัก จิ่วโจวไม่มีโทรศัพท์มือถือ มิเช่นนั้นข้าจะถ่ายท่าทางตอนนี้ของนางเอาไว้ เป็นประวัติศาสตร์มืดของเทพธิดาที่เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริง ชนิดที่หากเผยแพร่ออกไปจะต้องอับอายขายหน้าทีเดียว…สวี่ชีอันตั้งข้อสังเกตพลางนึกเสียดาย

หากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ้งจอกชิงชิว เขาจะยื่นมือไปขัดขวางการผสานรวมทันที

ดูจากตอนนี้ ผลลัพธ์ของการผสานรวมยังนับว่าไม่เลว

พลังอันรุนแรงและซับซ้อนพุ่งออกจากร่างของจิ้งจอกเก้าหาง เหตุที่บอกว่าซับซ้อนก็เพราะพลังนี้ผสมผสานกับพลังอันยิ่งใหญ่ของปราณโลหิต พลังแห่งมนต์เสน่ห์ล่อลวงจิต เสียงอันเย้ายวนสามารถทำลายจิตวิญญาณของมนุษย์ได้

แน่นอนว่าการทะลวงขึ้นขั้นหนึ่งไม่เพียงเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิเศษฟ้าประทานเท่านั้น ความแข็งแกร่งทางกายภาพของนางก็เพิ่มอย่างรวดเร็วเช่นกัน จนถึงระดับที่คู่ควรกับขั้นหนึ่ง

ทว่าในมุมมองของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งอย่างสวี่ชีอันแล้ว แม้พลังนี้จะรับมือยากและแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่แข่งของเขา

ในแง่ของการใช้กำลังรุนแรงนั้น แต่ไรมาจอมยุทธ์ก็ดูแคลนทุกสิ่งมาตลอดอยู่แล้ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอพริบตาเดียวหนึ่งเดือนก็ผ่านไป

ที่นี่ไม่มีการสลับเปลี่ยนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทว่าในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของสวี่ชีอันมีนาฬิกาน้ำพกพา ในยุคสมัยนี้ ผู้ที่สามารถพกเครื่องมือบอกเวลาติดตัวได้นั้นจะต้องรวยมาก!

แต่ละวันที่ผ่านไป สวี่ชีอันจะสลักอักษร ‘正’ ลงบนพื้น

ในสายธารแห่งปัญญา จิ้งจอกชิงชิวล้มลงอย่างแรง ร่างของมันขาดวิ่นไม่สมประกอบ และกรีดร้องโดยมีเพียงเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจเท่านั้นที่ได้ยิน ราวกับกำลังร้องขอความเมตตา

ขาหน้าของนางกดลงอย่างเหี้ยมโหด พลางก้มหน้ามองจิ้งจอกชิงชิวด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟัน

สวี่ชีอันเห็นหางทั้งเก้าที่ห้อยลงมาด้านหลังของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ แล้วจู่ๆ ก็ยกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แต่ละหางมีเสียงหัวเราะของสตรีที่แตกต่างกันดังมา ทั้งอ่อนหวาน นุ่มนวล กังวานชัด เย็นชา ออดอ้อน…

ผสานเข้ากับเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของสตรีผู้หนึ่ง

สุดท้าย เสียงเหล่านี้ก็หายไป แล้วจิ้งจอกเก้าหางซึ่งมีลำตัวยาวกว่าสิบจั้งก็กลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง ท่ามกลางลำแสงสีขาววูบไหว

นางปีศาจผมขาวลืมตาอันงดงามขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสวี่ชีอันซึ่งยืนประดับรอยยิ้มอยู่ไม่ไกล

“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าอาณาจักร ที่ได้ทะลวงสู่ขั้นหนึ่ง!”

สวี่ชีอันประสานมือแสดงความยินดี

นางปีศาจผมขาวเผยรอยยิ้มจริงใจอันบริสุทธิ์งดงามไร้ความเคลือบแคลง เป็นพริบตาที่มีความงดงามโดดเด่น งามสง่าอย่างหาที่เปรียบมิได้

แต่ทันใดนั้น นางก็พบว่าสายตาของสวี่ชีอันไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของตน หากค้างเติ่งอยู่บนเรือนร่างและตำแหน่งของทรวงอก

นางตระหนักได้ทันทีถึงสภาพของตนในยามนี้ ซึ่งเปลือยเปล่าอย่างสิ้นเชิง

กระโปรงและหนังสัตว์ที่ห่อหุ้มทรวงอกได้ปริแตกนานแล้วในตอนที่แสดงรูปร่างเดิม

อารมณ์โกรธและอับอายหายวับไปครู่หนึ่ง นางปีศาจผมขาวใช้หางจิ้งจอกปิดบังท้องน้อย พร้อมกับสองแขนกอดอก ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มเนียนขาวราวหิมะถูกบีบจนเสียทรง แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า

“เจ้าบ้า อย่ามองข้าเช่นนี้นะ”

ขณะที่ความอาย ความประหม่า และความโกรธระคนกัน วิชามนต์เสน่ห์ซึ่งเป็นพลังเหนือธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ถูกเปิดใช้งาน

หลังจากนางทะลวงขึ้นขั้นหนึ่ง วิชามนต์เสน่ห์ก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับแต่ก่อน เกิดเป็นความรู้สึกมั่นใจชนิดที่ว่าบุรุษเพศทุกคนบนโลกต่างต้องสยบแทบเท้าของตน

ประจวบเหมาะที่สวี่ชีอันเป็นคนเสเพล ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง จึงเป็นคู่ทดลองที่ดีที่สุด

หากกระทั่งเขาก็มิอาจต้านทานเสน่ห์ของตนได้ เช่นนั้นต่ำกว่าระดับขั้นหนึ่งลงไปรวมถึงขั้นหนึ่งบางส่วน ก็ล้วนมิอาจมองข้ามมนต์เสน่ห์ของนางได้

สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าสุขุม

“อย่างไรเสียก็เห็นมาพอแล้ว”

เขาถอนสายตาอย่างเต็มไปด้วยสติ และไม่แอบมองร่างงามอันสดใสหอมหวานของจิ้งจอกเก้าหางอีกต่อไป

สีหน้าเขินอายของนางปีศาจโฉมสะคราญผมขาวพลันแข็งทื่อ ก่อนเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า

“ข้า ข้าไม่สวยหรือ”

สวี่ชีอันเหลือบมองนาง

“พูดตามตรงแล้ว รูปร่างเดิมของท่านดึงดูดใจข้ามากกว่า และซินกู่ของข้าก็แทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

บทที่ 863 ประตู 1

บทที่ 863 ประตู 2

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง