ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 866

สรุปบท บทที่ 866 ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 866 ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 866 ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 866 ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

……….

“ข้าเป็นสิ่งของประเภทใดกัน?” ท่านโหราจารย์ถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงระคนความเศร้า “ข้าเป็นเพียงคนที่ถูกลืม ถูกลูกศิษย์ชิงบัลลังก์ ถูกดูหมิ่นโดยจอมยุทธ์หยาบคาย ก็แค่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า!”

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้กับข้า!” ฮวงคำรามขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่ดุร้าย

‘บุคลิกของท่านโหราจารย์ดูย่ำแย่มากจริงๆ เขาสั่งสอนศิษย์นิสัยแปลกเหล่านั้นออกมา ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล’…จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่อยู่ข้างๆ คิดในใจ

พูดตามความเป็นจริง หากนางเป็นฮวง เมื่อได้ยินคำตอบของท่านโหราจารย์ก็คงอดที่จะตีเขาสักทีไม่ได้

อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันที่มีหูตาแหลมคม ทั้งการสนทนาของท่านโหราจารย์และฮวงก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะลดน้ำเสียงลง เขาจึงได้ยินทั้งหมดอย่างชัดเจน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก แต่กลับมีความรู้สึกราวกับปล่อยวาง

การคาดเดาบางอย่างในใจของเขาได้รับการยืนยันในวินาทีที่ท่านโหราจารย์พูดออกมาว่า “ช่วยเขาให้กลายเป็นผู้พิทักษ์ประตู”

เขาเปลี่ยนไปมุ่งความสนใจที่ลำแสง “สิ่งที่ทำให้เทพมารสูญสิ้นคือดาบเล่มหนึ่งอย่างนั้นรึ? ดาบที่ถูกสร้างขึ้นจากแสงทั้งหมด…”

สวี่ชีอันทั้งมีความเชื่อเล็กน้อย ทั้งไม่เชื่อเล็กน้อย

เชื่อเพราะดาบเล่มนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามันสามารถตัดทะลุทุกสรรพสิ่งได้ ดังนั้นมันน่าจะเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง

แต่มันก็ไม่คู่ควรกับฐานะและความสำคัญของ ‘ต้นเหตุภัยพิบัติ’ ตามตำนาน

“ท่านโหราจารย์เคยบอกว่า นี่คือต้นเหตุของภัยพิบัติครั้งแรก แต่ไม่ใช่ครั้งที่สอง เพราะสิ่งนี้รึ?” ในขณะที่คิด เขาก็ถอนสายตากลับมาและก้มลงไปมองด้านล่าง

กระดูกสีขาวกองรวมกันอยู่บนพื้นราบ บ้างก็ผุพัง ไม่สมบูรณ์ บ้างก็ผุกร่อนเป็นฝุ่นผง จนมองไม่ออกว่ารูปลักษณ์ก่อนหน้านี้ตอนมีชีวิตเป็นอย่างไร

ยิ่งเข้าใกล้ลำแสงมากเพียงใด กระดูกสีขาวก็จะยิ่งสะสมมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งถึงจุดศูนย์กลาง กระดูกสีขาวก็กลายเป็นแท่นสูงราวกับบัลลังก์ของกษัตริย์

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเทพมารรึ?

ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น กำแพงที่ทำจากม่านแสง เมื่อถูกผิวหนังที่แข็งแรงของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปะทะเข้าก็กระเพื่อมราวกับริ้วของผืนน้ำ

เขาไม่สามารถเข้าใกล้ลำแสงได้

ดูเหมือนว่าฮวงก็กำลังรอช่วงเวลานี้อยู่ ดวงตาสีทองเฉียบคมขึ้นทันที

‘คลิก’…จิ้งจอกเก้าหางที่อยู่บนร่างของสวี่ชีอันได้ยินเสียงของกล้ามเนื้อที่ปริตัวและกระดูกที่แตกหัก

นางหันไปมองในฉับพลัน สิ่งที่เห็นคือปากขนาดใหญ่ที่เปื้อนเลือดของฮวง มันเหมือนเหวลึกสีแดงเข้มอย่างไรอย่างนั้น

ฮวงหักร่างกายตัวเอง ตำแหน่งตั้งแต่เอวลงไปถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ตั้งแต่เอวลงไปยังคงอยู่ในขอบเขตเวลาที่เชื่องช้า ส่วนตั้งแต่เอวขึ้นไปได้รับอิสระ

ในฐานะเทพมารสมัยโบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยขาดแคลนวิธีการรับมือกับความลำบาก

เพราะก่อนหน้านี้ถือไพ่เด็ดอย่างท่านโหราจารย์อยู่ จึงไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เลือกที่จะใช้วิธีทำร้ายตัวเองจนนองเลือดเพื่อให้หลุดพ้นจากความลำบาก

ตอนนี้ ในเมื่อโหราจารย์พูดออกมาแล้วว่าตั้งใจที่จะสนับสนุนสวี่ชีอันให้เป็นผู้พิทักษ์ประตู ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เขาก็จำเป็นต้องลงมือจัดการ ไม่สามารถปล่อยให้พัฒนาไปเป็นเช่นนั้นได้

ถูกแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ ฮวงก็ยังไม่เชื่อคำพูดของท่านโหราจารย์อย่างสิ้นเชิง

เมื่อเทียบกับร่างอันมหึมาของฮวงแล้ว จิ้งจอกเก้าหางเป็นเหมือนฝุ่นผงขนาดจิ๋ว ซึ่งไม่เพียงพอแม้แต่จะอุดช่องระหว่างฟันของเขาเสียด้วยซ้ำไป

สตรีผมสีเงินต้องการหลีกเลี่ยงไปโดยสัญชาตญาณ แม้ว่านางจะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้สำเร็จแล้ว แต่การถูกเทพมารกลืนกินทุกสรรพสิ่งเข้าไปในท้องไม่ใช่เรื่องตลก

แต่ในไม่ช้านางก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่ฮวงต้องการกลืนกินเข้าไปอย่างแท้จริงไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นสวี่ชีอัน

นี่คือการโจมตีโดยการหลอกล่อ และเหตุผลในการทำเช่นนี้ก็คือ บีบบังคับให้นางกลัวและถอยไป เพราะนางที่เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะเอาชนะฮวง ‘ครึ่งก้าวสู่ระดับสุดยอด’ ไม่ได้ ก็มีทุนที่พัวพันกับเขา

และเวลาก็เป็นสิ่งที่ฮวงขาดแคลนมากที่สุดพอดี

หลังจากคิดจนกระจ่างแล้ว สตรีผมสีเงินลืมตาคู่สวยขึ้น ละทิ้งความคิดที่จะหลบหนี หางทั้งเก้าที่ด้านหลังชูขึ้นมาในฉับพลัน ราวกับเสาขนาดยักษ์ที่ชูขึ้นไปบนท้องนภา

หางจิ้งจอกขยายตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนหนึ่งเผชิญหน้ากับขากรรไกรบนของช่องปากมหึมาที่เป็นเหวลึก อีกส่วนหนึ่งจมลงไปด้านล่าง ต้านทานขากรรไกรล่างเอาไว้

หางทั้งเก้าหนาราวกับเสาค้ำยันสวรรค์ เหมือนกับหนวดปลาหมึกที่ต้านทานปากโชกเลือดของฮวง ทำให้มันปิดปากได้อย่างยากลำบาก

ในเวลาเดียวกันนั้น จิ้งจอกเก้าหางก็นอนราบไปกับพื้น เรียวแขนขาวราวกับหิมะกลายสภาพเป็นขาหน้า ชั้นแผงขนสีขาวที่ทั้งหนาและยาวก็งอกขึ้นมาจากใต้ผิวหนังที่ขาวดั่งหยก

พวงแก้มยาวขึ้น พร้อมกับขนสีขาวราวกับหิมะที่งอกยาวออกมา ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นดวงตาของสัตว์สีเขียว

เสียงคำรามใสกังวานดังสะท้อนระหว่างสวรรค์และโลก

จิ้งจอกสีขาวร่างขนาดเท่าภูเขาปรากฏตัวขึ้น นางสง่าและสูงส่ง มีเสน่ห์เย้ายวนราวกับสัตว์วิญญาณที่งดงามที่สุดในโลก

“โฮว!”

ฮวงปล่อยเสียงคำรามที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก พ่นน้ำลายออกมาราวกับสายฝน ศีรษะขนาดมหึมาจมลงอย่างกะทันหันและกระแทกเข้ากับใบหน้าของจิ้งจอกขาวอย่างแรง แรงกระแทกทำให้ศีรษะของนางเอียงไปด้านข้างพร้อมกับร่างที่โซเซ

‘พรวด’…เขายูนิคอร์นที่ปิดผนึกโหราจารย์ไว้แทงเข้าไปที่หน้าอกของจิ้งจอกขาวอย่างดุเดือด เลือดสีแดงสดสาดลงมาราวกับสายฝน

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของจิ้งจอกขาวขมวดย่นด้วยความเจ็บปวด มันแยกเขี้ยวออกและกัดเข้าที่หลังคอของฮวงอย่างแรง จนเนื้อของฮวงหลุดออกมาเป็นชิ้น

ในเวลาเดียวกัน หางทั้งเก้าก็พันรอบร่างของฮวงอย่างรวดเร็ว แรงรัดกระชับแน่นราวกับงูเหลือมที่กำลังรัดคอเหยื่อ

สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่สองตัวต่อสู้และกัดกันด้วยวิธีดั้งเดิมที่สุด ทุกๆ การเคลื่อนไหวทำให้เกิดผลกระทบคล้ายแผ่นดินไหว ทุกๆ การปะทะกันทำให้เกิดพายุร้ายอันน่าสะพรึงกลัว

การต่อสู้ของพวกเขาราวกับย้อนเวลากลับไปสมัยโบราณ ยุคป่าเถื่อนที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและไร้กฎระเบียบ

“นางยืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว”

สวี่ชีอันใช้มือซ้ายทุบลงไปบนม่านแสงอย่างดุเดือด ม่านแสงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันทนทานต่อพลังอันน่าสะพรึงของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้จริงๆ

หากต้องการทำลายกำแพงนี้ อย่างไรก็ต้องเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์…กระแสความคิดของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปในฉับพลัน และมองดาบไท่ผิงในมือ

เขายกดาบไท่ผิงที่อยู่ในมือขวาขึ้นและแทงเข้าไปที่ม่านแสงสุดแรงโดยไม่ลังเล

ม่านแสงถูกผ่าแยกออกอย่างเงียบๆ แต่มันก็ไม่ได้พังทลายลงทั้งหมด ราวกับผ้าชิ้นหนึ่งที่ถูกมีดเฉือน

เป็นดั่งที่คาด…เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด เพียงแค่คิดว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ดาบไท่ผิงเป็นดาบที่ท่านโหราจารย์กลั่นขึ้น วัสดุก็มาจากท่านโหราจารย์เช่นกัน

ตอนที่ท่านโหราจารย์ให้เขานำดาบไท่ผิงมาด้วย สวี่ชีอันก็มีลางสังหรณ์อยู่ในใจแล้ว

สวี่ชีอันกระตุกข้อมือขึ้น ดาบไท่ผิงเฉือนม่านแสงจนเกิดเป็นช่องโหว่ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในม่านแสง

หลังจากเข้าไปในม่านแสงแล้ว การรับรู้ของสวี่ชีอันที่มีต่อ ‘ดาบ’ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันยังคงเปี่ยมด้วยพลังอันรุ่งโรจน์ ราวกับว่าสามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งได้

แต่เบื้องหลังความเฉียบคมไร้ที่ตินั้นกลับมีความรู้สึกหนักใจอยู่

ความรู้สึกหนักใจนี้มีแหล่งที่มาจากการปกป้องอารักขา

ในใจของสวี่ชีอันมีความปรารถนาที่อยากจะปกป้องบางอย่างซึ่งไม่สามารถอธิบายได้

กระแสลมพัดฝุ่นผงและกระดูกเข้าไปในหลุมดำและหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สวี่ชีอันยกมือซ้ายขึ้นมา ทำให้สร้อยลูกปัดที่อยู่บนข้อมือสว่างขึ้น จากนั้นเขาก็เล็งฝ่ามือไปที่ฮวง พยายามตัดมิติว่างที่เขาอยู่ทั้งหมดและโยนเขาไปยังสถานที่ห่างไกล

แต่เขากลับล้มเหลว สร้อยลูกปัดดูเหมือนจะสูญเสียพลังไปแล้ว เขาไม่สามารถตัดมิติว่างได้สำเร็จ

ที่เบื้องหน้าหลุมดำ วิชาคาถาทั้งหมดล้วนไร้ผล พลังของหลิงอวิ้นทั้งหมดล้วนถูกกลืนหายไปอย่างหมดจด

จุดประสงค์ของฮวงนั้นชัดเจนมาก มันต้องการใช้ความพยายามครั้งสุดท้าย โดยการกระตุ้นพลังวิเศษฟ้าประทานให้ถึงระดับจุดสุดยอดโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเพื่อที่จะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งสวี่ชีอัน จิ้งจอกเก้าหางและดาบเล่มนั้นที่ผสานเข้ากับ ‘ประตู’ แล้ว

ราคาที่ต้องจ่ายคือเข้าสู่ห้วงนิทราลึกเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ถ้าเข้าสู่ห้วงนิทราลึก สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ย่อมอยู่นอกเหนือการควบคุมของมัน หากไม่ถึงวินาทีสุดท้ายอย่างแท้จริง มันก็ไม่คิดที่จะใช้แผนการนี้

ในเวลานี้ ดาบไท่ผิงและ ‘ดาบ’ ลำแสงผสานกันเป็นหนึ่ง จนไม่รู้ว่าสิ่งแรกรองรับสิ่งหลัง หรือสิ่งหลังรองรับสิ่งแรกกันแน่

‘หึ่ง!’

ดาบไท่ผิงสร้างระลอกคลื่นแห่งพลังงานขึ้นมา ทุกที่ที่มันเคลื่อนตัวผ่าน สิ่งกีดขวางทั้งหมดก็จะพังทลายลงกลายเป็นกลุ่มพายุที่พัดไปทั่วทุกทิศทาง

ศูนย์กลางพบที่พึ่งพิงของมันแล้ว การจองจำก็สูญเสียความหมายของการดำรงอยู่ไป

หลังจากสิ่งกีดขวางพังทลายลง ลำแสงก็ค่อยๆ ดับลง

ดาบไท่ผิงร่วงสู่พื้นดังเพล้ง แทงทะลุ ‘บัลลังก์’ กระดูกขาว

สวี่ชีอันราวกับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เขาดึงดาบไท่ผิงออกมาทันทีโดยไม่สนใจที่จะตรวจสอบสถานะของมัน ก่อนจะกระโดดฝ่าอากาศไปที่ข้างจิ้งจอกเก้าหาง กดลงบนไหล่บางของนางและพานางกระโดดไปยังบริเวณพื้นที่สุดขอบ

ที่ด้านหลังคืออาณาจักรเวลาที่ไหลผ่านไปช้าๆ

“รีบไป…”

จิ้งจอกเก้าหางกล่าวกระตุ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

สวี่ชีอันตอบรับ “อืม” โดยไม่ได้มองย้อนกลับไป เพราะเขาสัมผัสได้ถึงหลุมดำที่กำลังไล่ตามเขา และแรงดูดที่กลืนกินทุกสิ่งดูเหมือนจะอยู่ข้างหลังเขา

สร้อยลูกปัดบนข้อมือเปล่งแสงขึ้น

สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปสิบลี้ ทั้งสองประสบกับข้อจำกัดของ ‘ความเชื่องช้า’ อีกครั้ง การกะพริบตาหนึ่งครั้งใช้เวลามากกว่าห้าวินาที การยกมือใช้เวลาสิบวินาที ทั้งหมดล้วนช้าลงถึงสิบเท่า

ในขณะที่สวี่ชีอันยกมือขึ้นและเตรียมตัวจะกระโดดไปยังมิติว่างที่สอง ทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนของมิติว่างอย่างรุนแรง

จากนั้นการไหลของเวลาที่มิติว่างนี้ก็กลับสู่สภาวะปกติด้วยความเร็วสูง

ทันทีที่จิ้งจอกเก้าหางหันไปมองก็ตะโกนสุดเสียงว่า “มันตามมาแล้ว…”

หลุมดำอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงสามสิบลี้ เพียงมันขยับขึ้นหน้ามาไม่กี่จั้งก็จะดูดกลืนพวกเขาเข้าสู่แกนกลาง ถึงเวลานั้น ทั้งสองก็เหลือเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น

สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองและกระโดดไปยังมิติว่างที่สองอย่างช้าๆ

เขากระโดดข้ามมิติว่างสำเร็จ แต่เสียงอันแหลมคมปนหวาดกลัวของจิ้งจอกเก้าหางก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รีบวิ่ง มันจบแล้ว…”

วินาทีต่อมา แรงดูดกลืนทุกสรรพสิ่งก็เข้าปกคลุมพวกเขา

…………………………………………………

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง