ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 874

สรุปบท บทที่ 874 ช่วยชีวิต: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 874 ช่วยชีวิต – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 874 ช่วยชีวิต จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 874 ช่วยชีวิต

……….

สวี่ชีอันชักดาบสยบดินแดนออกมา พลังปราณรินไหลเข้าไปในดาบทองเหลืองอย่างไม่ขาดสาย พลังปราณที่เต็มอิ่มทำให้ดาบสยบดินแดนเหมือนเตารีดที่แดงผ่าว น้ำทะเลโดยรอบเดือดพล่านอย่างรวดเร็ว

เขายกแขนขึ้นฟาดลำแสงดาบที่เหลืองอร่ามเป็นสายๆ ผ่าลงไปในร่องทะเลโดยไม่สนสิ่งใด

แสงดาบสายที่หนึ่งปะทะริมร่องทะเล กอบดินเลนประหนึ่งฝุ่นควันนับไม่ถ้วนขึ้นมา สะเทือนจนหินขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาเป็นก้อนๆ

สายที่สองและสายที่สาม…แสงดาบสิบกว่าสายหายไปในร่องทะเลที่มืดมิดและเงียบลึก หลังจากผ่านไปหลายวินาที พื้นทะเลเกิดความสั่นสะเทือน ดินเลนที่ตกตะกอนอยู่ที่นี่หลายชั่วยุคสมัยทยอยยกตัวขึ้นมา

ชั้นดินอ่อนปะทุแยกตัวออก น้ำทะเลใสสะอาดกลายเป็นน้ำแกงโคลนขุ่นมัวในชั่วพริบตา

เสียงคำรามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังดังขึ้นในร่องทะเล เนื่องจากถูกน้ำทะเลบิดเบือน จึงดูน่ากลัวยิ่งกว่า

สัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์ที่หลับใหลอยู่ในร่องทะเลถูกยั่วโทสะเข้าแล้ว

สิบห้านาทีต่อมา หนวดห้าหนวดพุ่งออกมาจากร่องทะเลที่เงียบมืด ห่อม้วนคลื่นใต้น้ำหลายล้านตันและตีมายังสวี่ชีอันอย่างโหดเหี้ยม

ขณะนี้เอง หางจิ้งจอกขาวราวหิมะที่ใหญ่และแข็งแกร่งเช่นเดียวกันแทงมาจากด้านหลังของสวี่ชีอัน ปะทะกับหนวดแบบปลายเข็มต่อปลายเข็ม น้ำในน่านสมุทรทั้งผืนสั่นสะเทือนขึ้นมาในขณะนี้

หากที่นี่ใกล้กับชายฝั่งทะเล จะเป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวสำหรับเมืองที่ติดทะเลอย่างแน่นอน คลื่นทะเลที่ถาโถมขึ้นจากการต่อสู้จะจมทุกสิ่งอย่างพินาศย่อยยับ

หางจิ้งจอกขาวราวหิมะรัดหนวดทั้งหกเส้น ทั้งสองฝ่ายเหมือนเส้นสายที่พันเกี่ยวกันจนตึงอย่างตรงดิ่ง

ใบหน้าที่ขาวเรียบของนางปีศาจผมเงินแดงขึ้นในชั่วพริบตา เส้นเลือดบนหน้าผากปูดนูน ส่งเสียงเอ่ยอย่างเร่งรัดว่า

“ข้าประวิงเวลาได้มากที่สุดหนึ่งถ้วยชา”

สวี่ชีอันดิ่งลงไปข้างล่างอย่างฉับพลันเหมือนทุ่นระเบิดโดยไม่พูดจาให้เสียการอีก และเข้าไปในร่องทะเลพร้อมลากฟองอากาศที่เดือดพล่านไปด้วย

เขาดิ่งลงมาในความมืดมิดอันไร้แสงนานมาก เขาโยนเปลือกหอยออกไปและระเบิดเพื่อส่องสว่างรอบทิศทางเป็นครั้งคราว

ที่นี่มองไม่เห็นปลา สาหร่ายทะเลและพืชใต้น้ำก็มองเห็นน้อยมาก สวี่ชีอันเคลื่อนที่เป็นกระสวยอยู่ระหว่างหนวดที่เหมือนเสายักษ์หกเสา จากนั้นไม่นาน จิตสัมผัสรับรู้ได้ถึงร่างเทพมารที่ตกหล่นอยู่ที่แห่งนี้

เขาโยนเปลือกหอยออกไปหลายสิบอันในคราเดียว และระเบิดโดยพร้อมกัน

‘ปังๆๆ…’

ธาตุไฟขยายตัวเป็นกลุ่มก้อนแสงไฟท่ามกลางเสียงระเบิดที่อึดอัด นำมาซึ่งการส่องแสงเป็นครั้งแรกในเวลาอันยาวนาน

ส่องสว่างการทำลายล้างของเทพมารบรรพกาลตนนั้น

นี่คือสัตว์ประหลาดที่รูปร่างใหญ่โตเกินกว่าจะจินตนาการตัวหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับปลาหมึกยักษ์ ร่างกายของมันแทบจะเติมเต็มร่องทะเล แต่ร่างกายของมันไม่สมบูรณ์ครบ กระจายไปด้วยร่องรอยกัดแทะ

มันเหลือเพียงตาสีขาวเทาข้างเดียวฝังอยู่บนศีรษะที่กระจายไปด้วยแผ่นเกล็ด เมื่อแสงไฟส่องสว่าง ในท้องทะเลลึกอันเงียบสงัดนี้ ระยะห่างระหว่างสวี่ชีอันกับมันไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง

ดวงตาสีขาวเทาจับจ้องสวี่ชีอันอย่างเงียบเชียบ เสมือนจับจ้องฝุ่นละอองเม็ดหนึ่งในอากาศ

นี่ก็คือความแตกต่างของรูปร่างระหว่างทั้งสอง

เคราะห์ดีที่ข้าไม่ได้เป็นโรคหวาดกลัวทะเลลึก…ด้วยการพึ่งพาแสงไฟที่ดับมอดลงอย่างช้าๆ สวี่ชีอันค้นพบว่าเดิมทีสัตว์ประหลาดตัวนี้ควรจะมีสิบกว่าหนวด แต่คงถูกฉีกทิ้งไปนานแล้ว

ไม่มีการผันผวนของจิตเดิม เขาสิ้นชีพไปนานแล้ว แต่ใช้ชีวิตผ่านกาลเวลาที่ยาวนานนี้เช่นไรกัน…หลังจากการสำรวจเบื้องต้น สวี่ชีอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

หากต้องการวางถาดค่ายกลลงเพื่อขัดเกลาแก่นของเขา จะต้องพิชิตศัตรูจึงจะได้อย่างแน่นอน แต่ศัตรูระดับนี้ การสังหารเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียว

แต่เขาตายไปแล้ว และตายมาหลายชั่วยุคสมัยแล้ว

ทำเช่นไรดี

สวี่ชีอันมองรูปร่างของ ‘สัตว์ประหลาดหมึกยักษ์’ อย่างเงียบๆ เขาก็เข้าใจในทันใด

เขาตายไปในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ ที่หลงเหลืออยู่คือเจตจำนงที่ไม่ยอมศิโรราบและจิตแห่งการต่อสู้อันไร้ซึ่งความกลัว เป็นเพราะความยึดติดที่ทำให้เขาข้ามผ่านหลายชั่วกาลและคงอยู่จวบจนปัจจุบัน

“คราแรกที่ตายในเงื้อมมือศัตรู เทพมารบรรพกาลตนนี้ไม่ยอมรับและไม่ยอมแพ้ วิธีการขจัดความยึดติดนั้นง่ายดายมาก”

สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการทำไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการเอาชนะเขา…

บนร่องทะเลลึก จิ้งจอกเก้าหางที่กำลังประลองกำลังกับหนวดอย่างยากลำบากได้รับเสียงที่ส่งมาจากสวี่ชีอันว่า

“เจ้าอาณาจักร ท่านขึ้นไปก่อน ไม่ต้องยื่นมือเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว”

อีเอ๋อร์ปู้ไม่เคยผ่านประสบการณ์การบินที่เร็วเช่นนี้ ภูผาแม่น้ำและผืนดินกว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาเลือนรางจนตัดผ่านไปเพียงแวบเดียว เมื่อรอจนพลังเวทมนตร์ของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ถูกใช้จนหมด เขาพบว่าตนเองข้ามดินแดนของต้าฟ่งมายังชายแดนของดินแดนประจิมทิศแล้ว

“ที่ให้ข้ามาส่งตราราชลัญจกรนี่ไม่ใช่ว่าให้ข้ามาตายใช่ไหม” อีเอ๋อร์ปู้บินอยู่บนท้องฟ้าของดินแดนประจิมทิศอย่างระแวดระวัง ย้อนคิดถึงเส้นทางที่ตนเองผ่านมา ในหัวสมองปรากฏข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่ว่า

เหตุใดเรื่องวิ่งเต้นต้องเป็นข้าเสมอ

เริ่มตั้งแต่อ๋องสยบแดนเหนือหลอมยาโลหิต เขาทำหน้าที่เป็นตัวละครที่วิ่งเต้นและรับจ้างมาโดยตลอด

จวบจนวันนี้ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณอูต๋าเป๋าถ่าก็ยังไม่เคยพบสวี่ชีอัน แต่เขาเคยติดต่อกับสวี่ชีอันหลายครั้งแล้ว

อีเอ๋อร์ปู้ระมัดระวังอย่างมาก ไม่ได้เข้าไปยังดินแดนประจิมทิศลึกนัก หลังจากพบศพธรรมดาศพหนึ่ง เขาก็ควบคุมศพให้บินเหินฟ้าไปที่อรัญตาแทนตนเอง

“หากข้าเข้าไปดินแดนประจิมทิศลึกนัก จะต้องถูกพระพุทธเจ้ากลืนกินเป็นแน่”

“สามารถใช้หุ่นเชิดไปสำรวจได้พอดีเลย ดูสักหน่อยว่าขณะนี้ดินแดนประจิมทิศเป็นเช่นไรบ้าง”

“ด้วยระดับปรมาจารย์แห่งปราชญ์ของเขา การควบคุมศพศพหนึ่งเพียงลำพัง สามารถสำแดงพลังห้าส่วนของร่างกายโดยประมาณ”

อีเอ๋อร์ปู้บินไปพักหนึ่งอย่างพุ่งพรวด ความรู้สึกที่สัมผัสได้มากที่สุดก็คือเงียบเปลี่ยว

ไร้ร่องรอยมนุษย์ รกร้างเงียบเชียบ

หมู่บ้านและเมืองที่เดินทางผ่านล้วนไม่มีสิ่งใด

“ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ดินแดนประจิมทิศหลายแสนลี้ ประชาชนสาบสูญหมดสิ้น สงครามพลิกฟ้าโหดร้ายเสียจริง…เกรงว่าพวกโง่เง่ากลุ่มนั้นของต้าฟ่งคงไม่รู้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ปัจจุบันพวกเขาไม่มีระดับเหนือมนุษย์นั่งสั่งการ ไม่อาจล่วงรู้ความลับของมหาเคราะห์ วันหน้าแม้ตายก็คงไม่รู้ว่าตายเช่นไร…”

“หากพระพุทธเจ้าแทนที่วิถีแห่งฟ้า ระบบพ่อมดของพวกเรา ไม่สิ ระบบทั้งหมดในโลกจะสูญสิ้นทั้งหมด และกลายเป็นฝุ่นละอองในประวัติศาสตร์ นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเหตุใดพ่อมดต้องมอบโชคชะตาของเหยียนกั๋วให้พระพุทธเจ้า”

หุ่นเชิดของอีเอ๋อร์ปู้บินไปที่อรัญตาพร้อมกับขบคิด

“พุทธมหายานแบ่งโชคชะตาของพระพุทธเจ้าไป ทำให้เขาไม่สามารถกลายเป็นดินแดนประจิมทิศอย่างถึงที่สุด แต่ด้วยพลังเวทมนตร์ของพระพุทธเจ้า รากฐานของสำนักพุทธจะต้องไม่หยุดอยู่ที่นี่แน่นอน ต้องมีลู่ทางอื่นเป็นแน่ แต่อาจต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุด ซึ่งนี่เป็นข้อดีสำหรับพ่อมด”

“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มอบโชคชะตาเหยียนกั๋วให้พระพุทธเจ้า หากพระพุทธเจ้าฉวยโอกาสกลายเป็นดินแดนประจิมทิศ ขั้นถัดไปก็คือกลืนกินที่ราบลุ่มภาคกลาง…”

พอคิดถึงตรงนี้ ศีรษะของอีเอ๋อร์ปู้สว่างวาบ เขาวิเคราะห์ต่อไปตามแนวคิดว่า

“ระดับบรรลุธรรมของต้าฟ่งจะต้องต่อต้านสุดชีวิต หากเผชิญกับการลงมือจากพระพุทธเจ้า เกรงว่าครึ่งเก้าสู่เทพยุทธ์ของซินเจียงตอนใต้คงไม่อาจนิ่งดูดาย รวมกับผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมอีกที เสือสองตัวสู้กันจะต้องมีอีกฝ่ายบาดเจ็บ หากเป็นเช่นนี้ลัทธิพ่อมดข้าก็จะสามารถนั่งรับผลประโยชน์จากเฒ่าประมง[1]ได้”

“ไม่สิ ต่อให้เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ลำพังแค่พลังของเขาเองคงต่อต้านระดับบรรลุธรรมไม่ได้เลย พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่กำลังเล่นกับไฟ นี่มันไม่เข้ากับนิสัยของเขาเลย เขามีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าต้าฟ่งสามารถต้านทานพระพุทธเจ้าได้ สวี่ชีอันอยู่โพ้นทะเล ท่านโหราจารย์เองก็ถูกผนึก…”

อีเอ๋อร์ปู้ตกตะลึง เขาพลันเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่

แม้ตาเฒ่าโหราจารย์เดียงสาจะเรือล่มในท่อน้ำ[2] ถูกสวี่ผิงเฟิง เจียหลัวซู่และคนอื่นๆ ร่วมมือกันผนึก แต่นั่นเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าน่ะสิ ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าที่ชำนาญการวางหมากเป็นที่สุด

ท่านโหราจารย์คำนวณทุกอย่างไว้แล้ว สำหรับมหาเคราะห์ มีหรือเขาจะคิดไม่ถึง

เขาจะต้องทิ้งอุบายที่เกี่ยวข้องไว้แน่ ไพ่ตายที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

หากเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าก็คือทหารสำรวจเส้นทางของพวกเขา

“นี่สิจึงจะเป็นนกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน เฒ่าประมงได้รับผลประโยชน์[3]ที่แท้จริง หากต้าฟ่งยังคงไม่อาจสู้พระพุทธเจ้า เลวร้ายที่สุดก็คงผูกพันธมิตรกับเทพเจ้ากู่ต่อต้านพระพุทธเจ้าในอนาคต…”

ขณะนี้ อีเอ๋อร์ปู้มองเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านปรากฏตรงปลายขอบฟ้า ถึงอรัญตาแล้ว

เขาหยุดครุ่นคิดในทันที และควบคุมหุ่นเชิด แปลงเป็นลำแสงสีดำวาบผ่านไปยังอรัญตา

ยังไม่เข้าใกล้ ข้างหน้ามีเงาสีขาวแวบผ่านไป พระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้มีอวัยวะบนใบหน้าเป็นรูปทรงสามมิติงามละออ สวมชุดสีขาว ไม่ใส่รองเท้า และมีเส้นผมสีดำเหมือนน้ำตกมาขวางทางไว้

หลี่หลิงซู่มองยอดสตรีงามหลายที่คนรวมตัวกันปรึกษาเรื่องสำคัญในจุดที่ไม่ไกลนักขณะดื่มชาภูเขาที่เป็นผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นของภูเขาสือว่าน

นอกจากเย่จีภรรยาน้อยของสวี่ชีอันแล้ว ยังมีสตรีงามเผ่าจิ้งจอกที่รูปโฉม นิสัยและท่าทางเทียบไม่ติดแม้แต่น้อยอีกสามคน

ชิงจีซึ่งสวมกระโปรงยาวสีคราม ปิดหน้าด้วยผ้าบาง ท่าทางสงบเสงี่ยมเยือกเย็น นางทำให้หลี่หลิงซู่นึกถึง บุตรสาวสกุลใหญ่ที่เยือกเย็นและสวยเพียบพร้อม รู้หนังสือ ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด

เกรงอกเกรงใจต่อผู้อื่น ไม่รุ่มร้อนไม่เย็นชาต่อผู้อื่น

สตรีงามผู้ออกเรือนแล้วที่สวมกระโปรงยาวสลับซับซ้อนสีดำขลับ นางทั้งมีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่ของสตรีอายุยี่สิบปี และมีบุคลิกและรูปโฉมของสตรีอายุยี่สิบปีเช่นกัน

ในระหว่างที่กำลังเป็นสุขปนกังวล ในระหว่างที่หันกลับมามองรอบๆ ก็ถอดใบหน้าไร้เดียงสาของสาวน้อยไปหมดแล้ว เฉกเช่นสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในเรือนมานานแล้ว

นางมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เมตตาและอบอุ่น และก็มีเสน่ห์ที่กินใจคนเหมือนสตรีเผ่าจิ้งจอกอื่นๆ

สาวน้อยคนที่สามชื่อว่าหลิงจี ความคึกคักร่าเริงของนางทำให้หลี่หลิงซู่นึกถึงฉู่ไฉ่เวยโหราจารย์ที่เพิ่งรับตำแหน่งของสำนักโหราจารย์

สิ่งที่แตกต่างคือ ในความคึกคักร่าเริงของโหราจารย์ผู้นั้นเผยให้เห็นความทึ่มทึบ ไร้ซึ่งความกังวล ใสซื่อไร้เดียงสา

แต่สิ่งที่มากกว่าของหลิงจีสาวน้อยเผ่าจิ้งจอกคือฉลาดรั้น เหลี่ยมจัดแต่น่ารัก

แค่มองก็รู้ว่าเป็นนางมารน้อยที่ชอบยุแหย่คนเล่น

‘บุพเพสันนิวาสของข้ามาอีกแล้ว’ …หลี่หลิงซู่คิดในใจ พลันจับเอว เอ่ยเสริมในใจ ‘เป็นไปได้’

“เจ้าอาณาจักรกับสวี่หลางออกทะเลไปหลายเดือนแล้ว นานแล้วยังไม่กลับมา ส่วนสถานการณ์ในจิ่วโจวก็ยิ่งตึงเครียดขึ้น”

เย่จีขมวดหางคิ้วอันงามละออ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

“หากฆ้องเงินสวี่ไม่มีวิธีเลื่อนขึ้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าว การออกทะเลก็เท่ากับเสียเที่ยว ลำพังเพียงพ่อเสินซูคงต้านระดับบรรลุธรรมไม่อยู่”

หลิงเย่ยันแก้มด้วยมือทั้งสองข้าง ลืมตาโตสุกสกาวขึ้น เอ่ยยิ้มกรุ้มกริ่มว่า

“พี่เย่จีอยากมีคนรักแล้วใช่หรือไม่ ร่างกายที่เสียการใช้งานไปนานมันเหงาจนยากจะทนใช่ไหมเล่า เมื่อใดจะเอาคนรักของเจ้าไปให้เขายืมเล่น”

เย่จีกวาดมองร่างอ่อนช้อยเยาว์วัยของสาวน้อยที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างครู่หนึ่ง และเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเก้าพี่น้องไม่ได้ปรองดองรักใคร่กันทั้งหมด นอกจากโยวจีผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความเป็นแม่ที่ได้รับความเคารพโดยพร้อมเพรียงกันจากบรรดาพี่น้อง และไป๋จีผู้น่ารักอ่อนโยนและยังแปลงร่างไม่ได้ที่ได้รับความรักอย่างพร้อมหน้าจากบรรดาพี่น้องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคนอื่นๆ ไม่มากก็น้อยล้วนแต่ขบเคี่ยวกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

โยวจีงอนิ้วดีดหน้าผากที่สะอาดเงาวาวของสาวน้อยดัง ‘เปรี๊ยะ’ ก่อนเอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“พูดเรื่องจริงจังเถอะ อย่าก่อกวน”

หลิงจีปิดหน้าผากทำปากมุ่ย เอ่ยกระซิบกระซาบว่า

“อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วพวกเราก็ต้องแต่งกับสวี่หนิงเยี่ยน พี่ชิงจีเคยบอกว่า มเหสีเกินกว่าครึ่งหนีไม่พ้นกรงเล็บมารของฆ้องเงินสวี่ เช่นนั้นหากมเหสีตามฆ้องเงินสวี่ไป พวกเราเองก็ไม่ต้องเป็นสินสมรส”

ชิงจีเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยว่า

“อย่ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้า ข้าไม่เคยเอ่ยคำพูดเช่นนั้น”

อะไรกัน พวกนางเองก็เป็นภรรยารองของเจ้าสวี่หนิงเยี่ยนนั่นหรือ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน โจรใจสุนัขอย่างสวี่หนิงเยี่ยน พ่อไม่เคยพบคนเจ้าชู้ประตูดินเช่นนี้ เกินไปแล้วๆ…สีหน้าของหลี่หลิงซู่แข็งทื่ออย่างช้าๆ

ขณะนี้เอง เขารับรู้ถึงความหวาดผวาที่คุ้นเคย

จึงล้วงเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาตรวจดูข้อความ

หมายเลขสอง ‘พี่ใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบให้เสินซูมาช่วยที่เหลยโจวด่วน…’

………………………………….

[1] ผลประโยชน์จากเฒ่าประมง มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 渔翁之利 หมายถึง ได้ประโยชน์จากการแก่งแย่งกันของอีกสองฝ่ายโดยไม่ต้องลงทุนสิ่งใด

[2] เรือล่มในท่อน้ำ มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 阴沟里翻船 หมายถึง เรื่องที่ดำเนินการมาอย่างดีมาตลอดเกิดปัญหาอย่างคาดไม่ถึง

[3] นกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน เฒ่าประมงได้รับผลประโยชน์ มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 鹬蚌相争渔翁得利 หมายถึง สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่ฝ่ายที่สามกลับได้ประโยชน์ไปแทน

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง