ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 879

สรุปบท บทที่ 879 ออกโรง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 879 ออกโรง จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 879 ออกโรง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 879 ออกโรง

Ink Stone_Fantasy

เกาะเงือก ราชินีเจินจูที่เพิ่งกลับมายังจุดรวมพลของเผ่าพลันเกิดอาการใจสั่นโดยไม่มีสาเหตุ

ทันใดนั้นนางก็หันกายกลับกะทันหันและมองเห็นคลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นชั้นๆ อยู่บนผิวทะเล แต่ละคลื่นกระทบเข้ากับหินโสโครก ฟองสีขาวพวยพุ่งจนเกิดเสียงดังอึกทึก

ผืนทะเลทั้งหมดปั่นป่วนและร้องคำราม

บนอากาศไกลออกไป เมฆดำทะมึนเหมือนน้ำหมึกเกิดประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบขึ้นเป็นครั้งคราว

เกิดภาพเช่นนี้ในทะเลไม่ใช่เรื่องแปลก เจินจูเคยเห็นลมฝนพายุที่รุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่านี้มาแล้ว เหล่าชาวเงือกก็ถึงขั้นเคยประสบกับคลื่นพิโรธที่ทำเกาะจมไปครึ่งเกาะ

แต่สิ่งที่ต่างจากภัยพิบัติทั่วไปก็คือ เจินจูสัมผัสได้ชัดเจนถึงความหวาดกลัวบางอย่าง เป็นความหวาดกลัวที่ทำให้อยากจะคลานคุกเข่า

เป็นความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิต

บนชายหาด เผ่าชาวเงือกที่มาต้อนรับการกลับมาของราชินีต่างพากันล้มลงกับพื้นแล้วฝังหน้าไว้ในทรายพลางตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

หมู่เกาะอาเอ่อร์ซู

เจ้าเกาะมนุษย์มังกรยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของตำหนักหลักและทอดมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ

ด้านหลังคือคนรับใช้และผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในตำหนัก ตอนนี้ทุกคนต่างแสดงสีหน้าหวาดผวาออกมา ที่แห่งนี้ห่างจากสนามรบบรรพกาลไกลมาก ผลกระทบจึงไม่รุนแรงเท่าทางเกาะเงือก

แม้ว่าเหล่าลูกหลานเทพมารในเกาะจะสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวในกระดูก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคุกเข่าล้มลงไปกับพื้น

“กลิ่นอายนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจและชาวมนุษย์ที่แข็งแกร่งผู้นั้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ…”

เจ้าเกาะมนุษย์มังกรเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจ

“เขาได้เข้าสู่ระดับเทพมารที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วหรือ?”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าต่อไปจะสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับราชินีเงือก พลางแค้นที่ตนเองไม่สละศักดิ์ศรีให้ถูกเวลาและประจบประแจงมนุษย์ผู้แข็งแกร่งคนนั้นให้มากๆ

จากเหลยโจวลงไปทางใต้และผ่านซินเจียงตอนใต้ไป ทิวทัศน์ด้านล่างวาบผ่านไปในพริบตา หลี่เมี่ยวเจินเหยียบอยู่บนกระบี่บิน นางกระตุ้นจิตแท้อย่างบ้าคลั่งพลางใช้จิตตรวจสอบดูหนังสือปฐพีเพื่อพยายาม ‘คุยส่วนตัว’ กับสวี่ชีอัน

ในพื้นที่มิติว่างที่เต็มไปด้วยความโกลาหล กลุ่มแสงที่เป็นสัญลักษณ์ของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทั้งเก้าแผ่กระจายออกไปรอบทิศ แต่กลุ่มแสงที่เป็นตัวแทนของหมายเลขสามนั้นสลัวราง

หมายความว่าสูญเสียการติดต่อ

‘เจ้าบ้า ตระเวนไปนอกทะเลจนติดต่อไม่ได้แล้ว อย่าให้ข้าได้เจอเชียวว่าเจ้ากำลังรื่นเริงอยู่บนเกาะเงือก…’ หลี่เมี่ยวเจินคิดไปถึงว่าสวี่ชีอันตอบข้อความกลับมาอวดว่า ตนไปพบกับเงือกที่นอกทะเล พวกนางสวยราวกับบุปผา อ่อนโยนมีเสน่ห์ โดยเฉพาะราชีนีเงือก เป็นอย่างไรเล่า!

ขอเพียงนางเข้าไปใกล้ขอบเขตของสวี่ชีอัน หนังสือปฐพีก็จะสามารถติดต่อกันได้

แต่ต้องหาทิศทางให้ถูก มิเช่นนั้นจะขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วจนไกลกันยิ่งกว่าเดิม

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท้องทะเลไร้ที่สิ้นสุดก็ปรากฏขึ้นที่ปลายสายตา

นางรีบพุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทันที หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ นางก็จมความคิดลงในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี และสัมผัสได้ว่าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของหมายเลขสามสว่างขึ้นในที่สุด

เดี๋ยวดับเดี๋ยวสว่าง ไม่มั่นคงเลยสักนิด

หลี่เมี่ยวเจินใจสั่นไหว

สวี่ชีอันดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จิต ปราณ วิญญาณผสานรวมกันเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง แหจับปลาที่กลายมาจากจิตเดิมหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายอย่างสมบูรณ์ มันแข็งแกร่งและไม่สั่นคลอนยิ่งกว่าเดิม

การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือ ร่างกายทุกส่วนของเขาในตอนนี้ล้วนมีความคิดของตัวเองแล้ว

เมื่อครุ่นคิดก็ไม่จำเป็นต้องใช้สมอง แต่สามารถใช้มือเท้าหรือหัวข้างล่างได้

ทุกส่วนของร่างกายล้วนมีจิตเดิมส่วนหนึ่ง เหมือนกับเสินซูในตอนแรก แม้ว่าจะถูกตัดขาด วิญญาณก็จะไม่ถูกพรากจากไป

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ เพียงแต่จิตเดิมภายในเศษซากร่างกายไม่มีความสามารถที่จะครุ่นคิดอย่างอิสระ

นอกจากนั้น พลังกายและพลังปราณก็ก้าวหน้าเสียจนน่าสะเทือนขวัญ เขาในตอนนี้สามารถเอาชนะตัวเองเมื่อก่อนได้ด้วยหมัดเดียว (จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง)

นอกจากคุณลักษณะต่างๆ ที่เพิ่มพูนรอบด้าน จุดที่ทำให้สวี่ชีอันสนใจมากที่สุดในขอบเขตเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับจุลภาค…เพราะเซลล์ที่ประกอบเป็นร่างกายได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว

สวี่ชีอันรวบรวมจิตมองเข้าไปข้างใน และพบว่าในเซลล์มีลวดลายบิดเบี้ยวคล้ายลูกอ๊อดเพิ่มขึ้นมา

พวกเขาดำรงอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ ราวกับสิ่งที่มาพร้อมกับยีนอยู่แล้ว

เซลล์แต่ละเซลล์ล้วนมีลวดลายราวลูกอ๊อดเหล่านี้ พวกมันดูคล้ายคลึงกัน แต่กลับมีจุดที่แตกต่าง

ถ้าหากรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ก็เหมือนกับ…ค่ายกล?

สวี่ชีอันจมจ่อมอยู่ในลวดลายที่มีจำนวนมหาศาลจนน่าสะพรึงและพยายามวิเคราะห์พวกมันออกมา สุดท้ายก็รู้เพียงเรื่องเดียว

คุณสมบัติเป็นอมตะ!

ลวดลายเหล่านี้มีคุณสมบัติของการเป็นอมตะ!

มันแตกต่างจากจอมยุทธ์ขั้นเหนือสามัญ เพราะคุณสมบัติอมตะของพวกนี้มาจากพลังชีวิตอันเฟื่องฟูและมหาศาล มันสามารถทำให้ร่างกายงอกขึ้นมาใหม่ได้ง่ายๆ

ส่วนคุณสมบัติอมตะของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวคือยากจะทำลายได้

สองอย่างนี้ต่างกันในด้านแก่นแท้

นอกจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่ทำให้สวี่ชีอันดีใจที่สุดคือ เมื่อเขาควบคุมหลิงอวิ้นส่วนหนึ่งของเทพมารบรรพกาลแล้วปล่อยออกมา พลังก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล

เมื่อเทียบกันด้านความแข็งแกร่งทางร่างกายล้วนๆ เสินซูถึงขั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ

ยิ่งรวมกับการเพิ่มขึ้นของวิชาสังเวยเลือดของลี่กู่ พลังของข้าก็มาถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้แล้ว…เขาล้มเลิกการมองภายในแล้วลืมตาขึ้นมา เขามองเห็นจิ้งจอกเก้าหางกำลังหลบอยู่ไกลๆ พลางสังเกตดูตัวเขาอย่างระแวดระวัง

ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความขลาดกลัวและความตื่นเต้น

นางเพิ่งได้เห็นการกำเนิดของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว

ไม่ต้องสงสัยเลย พลังที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่นี้ไม่ด้อยไปกว่าของเสินซูเลยสักนิด

‘ฮู่ว’…

เมื่อสวี่ชีอันเก็บงำกลิ่นอายกลับไป จิ้งจอกเก้าหางก็ถอนหายใจออกมา แล้วเดินสะบัดหางจิ้งจอกหิมะขาวเข้ามาหา

“เมื่อเทียบกับเสินซู หลิงอวิ้นบนร่างของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกกดดันมากกว่า”

จิ้งจอกเก้าหางพยายามคืนความน่าเคารพให้กับตัวเอง และหาเหตุผลสำหรับอาการสั่นเทาเมื่อครู่

“ลูกหลานเทพมารอ่อนไหวและหวาดหวั่นต่อเทพมารที่แข็งแกร่งมากกว่าอยู่แล้ว อืม เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”

“ตีพ่อเจ้าได้ไม่มีปัญหา”

สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ

จิ้งจอกเก้าหางหรี่ตาลงแล้วเอ่ยกระตุ้น

“เจ้าไปสิ ไปเลย!”

สวี่ชีอันเล่าถึงสภาพของเขาให้นางฟังคร่าวๆ โดยเน้นถึง ‘ลวดลาย’ ที่ประทับอยู่ในรากฐานร่างกายของเขา

“เจ้าว่าอย่างไร”

จิ้งจอกเก้าหางมองพิจารณาเขา ดวงตาโตเรียวยาวมีเสน่ห์ฉายความประหลาดใจออกมา

“เจ้ากลายเป็นเทพมารแล้ว?”

ความหมายของนางคือ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเทพมารและลูกหลานเทพมารเท่านั้น

คิดไม่ต่างจากข้าเลย ข้าค่อยๆ กลายเป็น ‘เทพมาร’ แล้วหรือ? บัดซบ เช่นนั้นข้ายังจะมีลูกได้อีกหรือไม่…เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เริ่มร้อนใจ

ข้าปักดอกไม้หลอมหยกอยู่ทุกวัน แต่ในท้องกลับไร้การตอบสนอง

ฝูเซียงก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง

หลินอันแต่งเข้ามาได้สองเดือน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเหมือนกัน

ข้าคงมิได้มีปัญหากระมัง…อืม เทพมารก็สามารถมีลูกหลานได้เหมือนกันนี่ ถ้าไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็หาลูกหลานเทพมารสักตนมาลองดู…เขาใช้สายตาพินิจพิจารณามองดูจิ้งจอกเก้าหาง

“มองอะไร”

จิ้งจอกขมวดคิ้วเอ่ย

สายตาของเจ้าบุรุษหน้าเหม็นผู้นี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวนัก

สมบัติอย่างข้าเป็นถึงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเชียวนะ…ในสมองของสวี่ชีอันผุดชื่อหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอ่ยพึมพำ

“ถ้าหากนี่คือหลิงอวิ้น เช่นนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของ ‘อมตะ’ สถานการณ์เช่นนี้เกิดกับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเท่านั้น หรือว่าผู้อยู่เหนือระดับจากสายอื่นๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นได้เหมือนกัน?”

จิ้งจอกเก้าหางส่ายหน้า

“ไม่ถูกสิ!”

“ผู้อยู่เหนือระดับและเทพมารนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาไม่อาจได้รับมรรคาสวรรค์โดยตรงเหมือนอย่างเทพมาร จำเป็นต้องคว้าเอาโชคชะตาเพื่อให้ได้รับการยอมรับ

หนทางนี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์เต๋าตายไปสามครั้งถึงจะพอคลำออกมาได้เสียด้วยซ้ำ

“อีกอย่าง ท่านโหราจารย์ก็เคยกล่าวไว้ว่า จอมยุทธ์ไม่อาจแทนที่มรรคาสวรรค์ เช่นนั้นการกลายเป็นเทพมารย่อมพูดได้ไม่สมเหตุสมผล สถานการณ์ของเจ้าไม่ใช่การกลายเป็นเทพมาร ข้าคิดว่าอาจจะเป็นความลับขั้นสูงสุดของสายจอมยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพยุทธ์ก็ได้”

นางวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลและไม่ต่างกับที่สวี่ชีอันคิดนัก

ขณะที่เขากำลังจะพูด จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสมองถูก ‘เคาะ’

เอ๋ สมาชิกพรรคฟ้าดินก็ออกทะเลมาด้วยหรือ? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ลูกกระเดือกกลิ้งเกลือก จากนั้นก็คายชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา

หมายเลขสอง ‘สวี่หนิงเยี่ยน สวี่หนิงเยี่ยน สวี่หนิงเยี่ยน…’

เสียงของหลี่เมี่ยวเจินเข้ามาสู่สมองอย่างบ้าคลั่ง

หมายเลขสาม ‘เมี่ยวเจิน เจ้าออกทะเลมาได้อย่างไร’

ระยะห่างของเขาในตอนนี้ ห่างจากแผ่นดินจิ่วโจวไกลโพ้นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นหลุดออกจากขอบเขตส่งสัญญาณของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว

เมื่อได้รับการตอบกลับจากสวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจินก็ราวกับยกภูเขาออกจากอก นางเอ่ยส่งข้อความด้วยน้ำเสียง ‘เจ้าผีบ้า เหตุใดถึงเพิ่งมา เจ้าไปตายที่ไหนแล้ว’

หมายเลขสอง ‘เจ้าไปอยู่ไหนแล้ว ไปเที่ยวกับนางปีศาจจนลืมชื่อแซ่ของตัวเองแล้วหรือไม่? เจ้าไปตายเสียเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะใช้ดาบสับเจ้าเป็นชิ้นๆ’

หมายเลขสาม ‘มีเรื่องอะไรก็ว่ามา’

ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ได้กลัวสตรีหรอก

หมายเลขสอง ‘พระพุทธเจ้าบุกโจมตีจิ่วโจวแล้ว’

เพียงหนึ่งประโยคก็ทำให้นัยน์ตาของสวี่ชีอันค่อยๆ หดเกร็ง

หลี่เมี่ยวเจินเล่าเรื่องราวให้สวี่ชีอันฟังด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนรวดเร็ว

หมายเลขสอง ‘เจ้านึกภาพไม่ออกหรอกว่าพระพุทธเจ้าแปลกประหลาดเพียงใด เขาไม่เพียงหลอมรวมเข้ากับภูเขาลำธารเมืองแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังคิดจะกลืนกินเหลยโจวด้วย ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาข้าก็ไม่กล้าเชื่อหรอก’

หลังจากที่หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยจบอย่างรวดเร็วก็เอ่ยถามด้วยความหวังเล็กน้อย

หมายเลขสอง ‘เจ้าเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วหรือ’

หมายเลขสาม ‘อืม!’

หมายเลขสอง ‘ไม่เป็นไร เทพยุทธ์ครึ่งก้าวไม่ใช่จะเป็นได้ในวันสองวัน อนาคตยาวไกล เจ้ากลับมาก่อนเถอะ ต้าฟ่งจำเป็นต้องมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง…’

นางยิ่งพูดยิ่งเสียงแผ่ว จากนั้นก็ค่อยๆ เงียบลงไป

ผ่านไปพักใหญ่ๆ

‘จะ จริงหรือ?!’

เมื่อเห็นดังนั้น รอยยิ้มที่มุมปากของซ่าหลุนอากู่ก็กว้างขึ้น

โอกาสมาแล้ว

ร่างธรรมแห่งความมืดของเสินซูสลายหายไปภายใต้แสงพุทธะ จนเผยร่างจริงออกมา ร่างกายครึ่งบนของเขากลายเป็นโครงกระดูกและผูกเผาจนเป็นกระดูกสีแดง

แม้จะมีคุณสมบัติอมตะของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว แต่ก็ใช่จะไม่ได้รับความเสียหาย

แน่นอนว่านอกจากพลังกายที่อ่อนแอและกลิ่นอายที่ลดลงแล้ว เสินซูก็ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตใดๆ อีก

ผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญทางต้าฟ่งรับมืออย่างรวดเร็วทันที ทุกคนขยับเข้าใกล้หยางกงอย่างรู้กัน

หยางกงขยับมงกุฎปราชญ์แล้วกระตุ้นให้แสงสีใสปกคลุมทุกคน

“ถอยไปสามร้อยจั้ง”

ลั่นประกาศิตล้มเหลว

ซุนเสวียนจียกเท้าขึ้นเพื่อให้ค่ายกลส่งตัวแผ่ขยายอย่างรวดเร็วและพยายามปกคลุมทุกคนไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้แผ่ขยายออกไป ความเร็วก็ถูกทำลายลงและโดนแสงพุทธะชำระล้าง

แสงพุทธะจากร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรส่องไปที่ใด วิชาทุกสายล้วนถูกชำระล้างทั้งสิ้น

คุณสมบัติหมื่นวิชาไม่กล้ำกรายของลั่วอวี้เหิงนั้น เมื่ออยู่ใต้พลังของผู้อยู่เหนือระดับขั้น ก็ไม่อาจใช้การได้อีก

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนหลุดออกจากสถานะวิชาฉานทันที ร่างธรรมมหาสังสารวัฏเคลื่อนไหวเสียงดัง จากนั้นลวดลายแห่งพุทธที่เป็นตัวอักษร ‘มนุษย์’ ก็สว่างขึ้น ร่างธรรมมหากรุณาลืมตาแล้ว ‘มอง’ ไปยังผู้แข็งแกร่งเหนือสามัญฝ่ายต้าฟ่ง

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พุ่งมาหาพวกอาซูหลัวเสียงดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ ราวกับหมาป่าหิวโหยที่ไล่ล่าฝูงแกะ

แต่ผู้ที่ว่องไวกว่าพวกเขาก็คือพระโพธิสัตว์หลิวหลี นางถือโอกาสใช้ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรสยบยั้งยอดฝีมือเหนือสามัญทุกคนไว้ทันที แล้วโผล่ขึ้นมาด้านหลังของตู้เอ้อร์อย่างไร้สุ้มไร้เสียง ที่ปลายนิ้วของนางคีบตะปูตอกวิญญาณเอาไว้ จากนั้นเล็งไปที่หลังศีรษะของเขา

ในฐานะที่เป็นคนในสำนักพุทธ ตู้เอ้อร์และอาซูหลัวไม่มีทางถูกแสงพุทธะชำระล้าง ทันทีที่วงแสงเจ็ดสีละลานตาเพิ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา ทิวทัศน์รอบตัวก็สูญเสียสีสันไปทันใด

การเคลื่อนไหว สติสัมปชัญญะ รวมถึงการสังหารแยกขันธ์ของพวกเขาต่างตกอยู่ในสถานะเชื่องช้า

พระโพธิสัตว์หลิวหลีตบลงไปเบาๆ เสียงฟึ่บดังขึ้น ตะปูตอกวิญญาณตอกลงไปยังจุดกลางศีรษะของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อย่างแรง การผนึกขั้นแรกเสร็จสมบูรณ์

จากนั้น พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็คว้าบ่าของตู้เอ้อร์แล้วหายวับไป

‘แย่แล้ว…’ ยอดฝีมือเหนือสามัญทางฝั่งต้าฟ่งหน้าเปลี่ยนสี

โชคชะตาบนร่างของตู้เอ้อร์สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฐานะของเขาก็สำคัญเสียยิ่งกว่า การมีอยู่ของเขาจะตัดสินว่าพุทธมหายานสามารถดำเนินต่อไปในภาคกลางได้หรือไม่

เขาคือผู้เชื่อมโยงระหว่างพุทธะสูงสุดสวี่ชีอันกับศิษย์พุทธมหายาน

หากอาศัยเพียงสวี่ชีอันที่ไม่เชี่ยวชาญในธรรม ก็ยากจะจัดการพุทธมหายานได้ และหากพุทธมหายานอ่อนแอลง พุทธมหายานก็จะย้อนกลับไปหาสำนักพุทธ

นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ บัดนี้จิตใจกลับรู้สึกไร้พลังอย่างล้ำลึก

ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วเรียวงามราวต้นหลิวขึ้น แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้ นางหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่อาจช่วยตู้เอ้อร์กลับมาได้

ครู่ต่อมา พระโพธิสัตว์หลิวหลีชุดขาวก็ปรากฏตัวในดินแดนไร้มนุษย์ที่ปกคลุมไปด้วยเลือดเนื้อสีแดงก่ำ

นางฉลาดยิ่งที่เลือกไม่เข้าใกล้ ‘ร่างแปลง’ ของพระพุทธเจ้า เพราะตรงนั้นอยู่ใกล้กับเสินซูมากเกินไป

“ตู้เอ้อร์ การได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้าคือโชคดีของเจ้าแล้ว!”

หลิวหลีเอ่ยอย่างเสียดาย

“เดิมทีเจ้าควรจะเป็นเหมือนพวกเราที่เป็นอมตะไม่เสื่อมสลายและกลายเป็นหนึ่งในสาวกของพระพุทธเจ้า”

ตู้เอ้อร์ก้มหน้ามองเบื้องล่าง สสารเลือดเนื้อเคลื่อนไหวราวกับมือหนวด พวกมันแทบอดใจที่จะกลืนกินตัวเขาไม่ไหวแล้ว

“มิใช่หนทางของข้า!”

เขาประนมมือ และเผชิญหน้ากับจุดจบของตนเองอย่างใจเย็น

หลิวหลีไม่พูดสิ่งใดมากอีก นางคลายมือแล้วโยนเขาลงไป

สสารเลือดเนื้อสีแดงก่ำพุ่งขึ้นฟ้า มันห่อหุ้มและกลืนกินตู้เอ้อร์ทันที

“รักษาเหลยโจวไว้ไม่ได้แล้ว” ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าและขมวดคิ้ว

‘ท่านโหราจารย์ไม่มีไพ่ตายอยู่จริงหรือ?’

เขากวาดมองเผ่าพันธุ์กู่ทุกคน และพบว่าสีหน้าของพวกเขาต่างก็ดูไม่ได้ มีเพียงสีหน้าของแม่ย่าเทียนกู่เท่านั้นที่เป็นปกติ

“เจ้ามองเห็นอะไร?” พ่อมดใหญ่เอ่ยถาม

“ความลับของสวรรค์มิอาจแพร่งพราย”

แม่ย่าเทียนกู่หรี่ตาเอ่ย

ซ่าหลุนอากู่ราวกับคิดอะไรอยู่

‘แม่ย่าไม่ร้อนใจเลยสักนิด สิ่งที่นางเห็นคืออนาคตอันเป็นประโยชน์ต่อต้าฟ่งหรือ?’ ฉุนเยียนดวงตาสว่างวาบ ความกังวลในใจถูกบรรเทาลงไปได้ไม่น้อย

‘ต้าฟ่งยังมีหนทางอื่นอีก? มันคืออะไรล่ะ…’ ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่พากันคาดเดา

ตอนนี้เอง สสารเลือดเนื้อส่วนที่กลืนกินตู้เอ้อร์ก็พลันบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขึ้นมา ราวกับระบบย่อยไม่ดี

จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ผึง’ ดังขึ้น สสารเลือดเนื้อระเบิดออกราวกับมีกระสุนปืนใหญ่ตกลงไปในหนองน้ำจนดินโคลนกระเด็นไปทั่วทุกแห่ง

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนพากันตื่นตะลึง เมื่อรวบรวมสมาธิมองไป ตู้เอ้อร์ก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของยอดฝีมือเหนือสามัญโดยไม่บุบสลาย และข้างกายเขาก็มีอีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

คนผู้นี้สวมชุดสีคราม ผมสีดำปลิวสยายอย่างเอ้อระเหย

องคาพยพองอาจหล่อเหลา ร่างกายเพรียวสมบูรณ์

นั่นคือฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง สวี่ชีอัน

…………………………………………………………

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง