ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 878

บทที่ 878 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (2)

Ink Stone_Fantasy

แขนสิบสองข้างของร่างธรรมแห่งความมืดยกร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรขึ้น ราวกับยักษ์ในตำนานปรัมปราผู้ถือดวงอาทิตย์

ภาพนี้ส่งผลโจมตีต่อดวงตาเป็นอย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าผลกระทบต่อดวงตานั้น คือพลังการเผชิญหน้าที่ระเบิดออกมาของทั้งสองฝ่าย แขนสิบสองข้างมีพลังแปลกประหลาดน่าสะพรึงพลุ่งพล่านออกมา มันกดดันดวงอาทิตย์สีทองและพยายามบดขยี้ให้ดับ

ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรยังคงปล่อยพลังชำระล้างสรรพสิ่งออกมา เพื่อทำให้กายเนื้อไปจนถึงวิญญาณของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวระเหยและสลายไปด้วยกัน

พลังปราณของจอมยุทธ์และแสงธรรมของร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรสอดประสานและพัวพันเข้าด้วยกัน ก่อนจะกลายเป็นลมพายุที่พัดทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างแล้วสร้างความหายนะไปทั่วทุกสารทิศ

เลือดเนื้อสีแดงเข้มที่ปกคลุมทั้งแผ่นดินราวกับตะกอนถูกขูดออกมาทีละชั้นๆ จากนั้นภายในระยะร้อยเมตรจากใต้เท้าของเสินซูก็ไม่มีสสารเลือดเนื้ออีกเลยแม้แต่ครึ่งนิ้ว

ตอนนี้ ‘กายเนื้อ’ ของพระพุทธเจ้าไม่อาจเข้าใกล้เสินซูได้

‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง!’…

นักบวชเต๋าแมวส้มเคาะระฆังทองสัมฤทธิ์ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสื้อคลุมนักบวชเต๋าพลิ้วไหวรุนแรง ปิ่นปักผมก็หลุดร่วงจนทำให้ผมสีขาวยวงปลิวไสวอยู่ท่ามกลางสายลม

หยางกงที่สวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอกเสกวิชาออกมาเพิ่มพลังของเสียงระฆัง

เสียงระฆังเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น สิ่งที่สามารถต้านทานการควบคุมจากร่างธรรมพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริงนั้น ยังคงเป็นจิตเดิมอันแกร่งกล้าของตัวเสินซูอยู่ดี

ฉู่หยวนเจิ่นสังเกตการณ์สนามรบอย่างใกล้ชิด พลางหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาส่งข้อความ

‘ฆราวาสจื่อหยางมาแก้วิกฤตฉุกเฉินให้เราได้พอดี เพียงแต่ ไต้ซือเสินซูอาจจะเอาชนะพระพุทธเจ้าไม่ได้’

เขากล่าวได้ค่อนข้างมีไหวพริบยิ่ง

ไม่ว่าใครต่างก็สัมผัสได้ว่า ถึงแม้จะเป็นเสินซูที่อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพระพุทธเจ้าก็ยังมีความต่างอยู่บ้าง

ภายในพระราชวัง ฮว๋ายชิ่งอ่านดูข้อความพลางบีบนวดหว่างคิ้วไปด้วย นางไม่ได้ตอบข้อความของฉู่หยวนเจิ่นเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

“เว่ยกง ขุนนางจ้าว ขุนนางหวาง พวกท่านทั้งสามมีแผนการดีๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงในวันนี้หรือไม่?” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ครั้งนี้แม้แต่เว่ยเยวียนผู้รอบรู้ก็ยังจนปัญญา

เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ

“ทำให้ดีที่สุด แล้วแต่ฟ้าลิขิต”

หวางเจินเหวินเอ่ยเสริมในรายละเอียดว่า

“ส่งคำสั่งไปทันที ให้สมุหเทศาภิบาลแห่งเหลยโจวเรียกตัวขุนนางจากแต่ละเมืองแต่ละมณฑล มารอพยพชาวบ้านในเหลยโจวไปทางตะวันออก อพยพได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น หากเสินซูพ่ายแพ้ พวกเราก็รอดูอย่างเงียบๆ ว่าพระพุทธเจ้าจะกลืนกินภาคกลางอย่างไร และกลืนกินได้เร็วแค่ไหน เมื่อถึงตอนนั้นเราค่อยหารือแผนการรับมือ นอกจากนั้นให้ส่งคนไปนอกทะเลแล้วพาตัวฆ้องเงินสวี่กลับมา ตอนนี้ต้าฟ่งต้องการพลังต่อสู้ของเขาอย่างเร่งด่วน”

จ้าวโส่วถอนหายใจ

“ยังไม่เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ก็เกรงกว่าจะต่อกรกับพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้คงทำได้เพียงก้าวหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าว จนปัญญาจริงๆ”

ฮว๋ายชิ่งส่งเสียง ‘อืม’ แล้วส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว

หมายเลขหนึ่ง ‘เราจะสั่งให้สมุหเทศาภิบาลเหลยโจวอพยพชาวบ้านที่เหลยโจวทันที ขอให้ทุกท่านพยายามรั้งพระพุทธเจ้าไว้อย่างสุดกำลังเพื่อยื้อเวลาไว้ นักบวชหลานเหลียน เจ้ารวดเร็วที่สุด ดังนั้นรีบออกทะเลไปตามหาสวี่ชีอันกลับมาทันที’

สวี่ชีอันอยู่นอกทะเล ห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่อาจใช้การติดต่อจากหนังสือปฐพีได้

สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินต้องทำจริงๆ ไม่ใช่การตามหาสวี่ชีอันที่อยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ แต่เป็นการทำให้ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเขาเข้ามาอยู่ในขอบเขตการส่งข้อความอีกครั้ง จากนั้นค่อยบอกเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงในจิ่วโจวกับเขา

หมายเลขสาม ‘เข้าใจแล้ว’

หลี่เมี่ยวเจินรู้ถึงเหตุผลที่ฮว๋ายชิ่งเลือกให้นางออกทะเล เนื่องจากสายของนางซ้อนทับกับนักบวชเต๋าจินเหลียน เพิ่มนางอีกหนึ่งคนไม่ถือว่ามากขึ้น หรือลดนางไปคนหนึ่งก็ไม่ถือว่าน้อยลง

ส่วนพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กับไต้ซือเหิงหย่วน รวมถึงอาซูหลัวนั้น ถึงแม้จะมีการซ้อนทับด้านสายการฝึกตน แต่ตอนนี้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เป็นที่นิยมยิ่ง ถ้าให้เขาออกปฏิบัติการคนเดียวก็อันตรายเกินไป อีกทั้งเขาก็ไม่มีชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

ไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ขั้นสี่ ทำได้เพียงระเบิดพลังแห่งการเข่นฆ่าออกมาในช่วงสั้นๆ เท่านั้น การให้ขั้นสี่หนึ่งคนออกทะเลจะเป็นการบีบคั้นเขาเกินไป

อาซูหลัวคือชั้นยอดในหมู่ขั้นสองสูงสุด เขาเป็นพลังต่อสู้แสนสำคัญ มิอาจขาดเขาไปได้

ดังนั้น หลี่เมี่ยวเจินผู้เชี่ยวชาญการเดินทางด้วยกระบี่บินและไปมาราวกับสายลมก็คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุด

จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินรู้สถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างดี นางรับภารกิจทันที แล้วกลายเป็นจุดแสงพุ่งไปทางใต้โดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าวเพื่อนร่วมรบ

‘ปัง!’

เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้น ระฆังทองสัมฤทธิ์ตรงหน้านักบวชเต๋าจินเหลียนระเบิดเป็นผุยผง

หลี่เมี่ยวเจินหันกลับไปมองทันที เห็นภาพโดยรอบเปลี่ยนจากสีสันกลายเป็นขาวดำ เห็นพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่ทำลายระฆังทองสัมฤทธิ์ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้านักบวชเต๋าจินเหลียน แล้วยื่นดาบหยกในมือไปฟันคอของนักบวชเต๋า

มองเห็นเจียหลัวซู่ปรากฏตัวในโลกอันไร้สีสัน แล้วจับตัวพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่ยากจะเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย

มองเห็นเงาร่างภิกษุหนุ่มของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนยืนอยู่ที่ไกลๆ แล้วมองภาพทั้งหมดนี้ด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง

พระโพธิสัตว์สามคนลงมือแล้ว

การปรากฏตัวของผู้ฝึกร่างธรรมมาอย่างไร้ร่องรอยและลอบโจมตีทุกคนโดยที่ตั้งตัวไม่ทัน

ทั้งยังมีเหตุผลยิ่งที่ไม่ได้ลงมือกับอาซูหลัว ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วน

เพราะทั้งสามคนนี้ล้วนมีสัญชาตญาณระวังภัยของจอมยุทธ์อยู่

ส่วนขั้นสองที่ไม่มีสัญชาตญาณระวังภัยนั้น จะหลบหนีการลอบโจมตีของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้อย่างไร

‘ไม่…’ ม่านตาของหลี่เมี่ยวเจินหดเกร็ง ลำแสงจากกระบี่บินพลันหยุดลงกะทันที

สัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์ลอยอยู่บนผิวทะเลไปตามคลื่น

รูปร่างหน้าตาของมันไม่ต่างจากปลาหมึกยักษ์มากนัก แต่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำมะเมื่อม บริเวณหลังศีรษะปกคลุมด้วยชุดเกราะมีเขาที่ดูเหมือนกระดองเต่า แต่มองก็รู้ว่าเป็นวัตถุที่มีพลังป้องกันแกร่งกล้านัก

วันเวลานับอสงไขยผ่านไป ร่างกายนี้ยังคงไม่เน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยปราณชีวิตอันอุดมสมบูรณ์

หลังจากมาถึงระดับหนึ่งแล้ว กายเนื้อและจิตเดิมก็จะกลายเป็นสองอย่างที่ต่างกัน แม้จิตเดิมสลายไป แต่ปราณชีวิตของร่างกายจะไม่หายไปด้วย

ตัวอย่างเช่นจอมยุทธ์ขั้นสอง แม้ว่าวิญญาณจะแตกฉานซ่านเซ็นแล้ว แต่กายเนื้อก็ยังมีพลังชีวิตอันมหาศาลอยู่ จนกระทั่งหลายสิบปีให้หลังจึงจะค่อยๆ เบาบางลง แต่ถ้าหากจะให้ปราณชีวิตสูญสลายไปโดยสมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาถึงร้อยปี

ส่วนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวนั้น โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นอมตะ ยิ่งอยู่เหนือระดับขั้นก็ยิ่งยากจะสังหารได้

แม้จะมีวันไหนที่ปราณชีวิตถูกทำลายลงจริงๆ ร่างกายและจิตเดิมก็จะเน่าเปื่อยไปพร้อมกัน จะไม่ทิ้งเปลือกร่างที่มีปราณชีวิตเอาไว้เปล่าๆ เพราะจิต ปราณ วิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดนั้นหลอมรวมกันเป็นหนึ่งมานานแล้ว

โชคดีที่แม้ว่าเทพมารบรรพกาลตนนี้จะมี ‘พลัง’ อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่จอมยุทธ์

ไม่อย่างนั้นวันนี้คงเป็นลาภปากของสวี่ชีอันไปแล้ว

หลังจากพาร่างของหมึกยักษ์มายังผิวทะเล สวี่ชีอันก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา ลูกกระเดือกของเขาขยับแล้วคาบกระจกหยกออกมา

‘เคร้ง!’

ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับด้านหลังของหนังสือปฐพี จากนั้นแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีใสก็บินออกมาทีละแผ่นๆ และลอยอยู่กลางอากาศ

มีแผ่นทองแดงทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดแผ่น โดยแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมแต่ละแผ่นล้วนมีขนาดใหญ่เท่าโต๊ะกลม บนนั้นสลักลวดลายยุ่งเหยิงเอาไว้ บ้างก็เหมือนลูกอ๊อด บ้างก็มีเส้นสลับกัน บ้างก็เหมือนเปลวไฟหยาบๆ และละอองน้ำ…

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลวดลายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ และถูกจัดเรียงในรูปแบบแปลกประหลาดซึ่งแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินบางอย่าง

‘นี่คือแผ่นกลเวทที่สามารถปลอมแก่นของยอดฝีมือขั้นหนึ่งออกมาได้…’ จิ้งจอกเก้าหางบนท้องฟ้าสูงเบิกตาโตและพยายามจดจำรูปแบบของแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมเอาไว้

“ถ้าเจ้าอยากได้ ไว้ใช้เสร็จแล้วข้าจะมอบกระจกทองแดงให้เจ้า”

สวี่ชีอันที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนผิวทะเลเอ่ยยิ้มๆ

“คนกันเองทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจไป”

“ได้ๆ…” จิ้งจอกเก้าหางก็ไม่ใช่สตรีในห้องหอที่เอาแต่เก็บตัวอยู่แล้ว

สวี่ชีอันไม่พูดอะไรอีก เขานั่งขัดสมาธินิ่งๆ แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศ

แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นกระจายตัวออกจากนั้นก็ตกลงมายังบริเวณต่างๆ แล้วลอยอยู่เหนือตัวหมึกยักษ์ เบื้องล่างของสวี่ชีอัน

จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่าจุดที่แผ่นทองแดงลอยไปสถิตอยู่นั้นดูมีกฎเกณฑ์อย่างยิ่ง มันแฝงไว้ถึงความลึกลับของห้าธาตุและหยินหยาง แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นประกอบกันเป็นสัญลักษณ์แปดทิศขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง

‘หวึ่ง…’

แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นหมุนตามเข็มนาฬิกาจนก่อให้เกิดคลื่นแสงสีใสเป็นวงๆ

ตอนแรกยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ จิ้งจอกเก้าหางก็มองเห็นละอองแสงสีแดงชาดลอยออกมาจากในร่างของหมึกยักษ์อย่างช้าๆ ยิ่งหากมองให้ละเอียดขึ้นไป ละอองแสงเหล่านั้นประกอบขึ้นจากลวดลายที่บิดเบี้ยว

พวกมันคล้ายกับลวดลายที่ประทับอยู่บนหนวดของหมึกยักษ์เป็นอย่างยิ่ง

นี่คือหลิงอวิ้นของเทพมารบรรพกาล

หลิงอวิ้นถูกลอกออกมาแล้วไปรวมตัวกันที่แผ่นทองแดง หลังจากละอองแสงเล็กๆ เหล่านี้ถูกกรองด้วยแผ่นทองแดง พวกมันก็ลอยขึ้นต่อไปแล้วเข้าสู่ร่างกายของสวี่ชีอัน

ผิวของสวี่ชีอันปรากฏลวดลายบิดเบี้ยวสายแล้วสายเล่า นั่นคือหลิงอวิ้นของปลาหมึกยักษ์

พลังของเทพมารนั้นมาจากหลิงอวิ้น และหลิงอวิ้นจากเศษซากร่างกายของเทพมารบรรพกาลก็กำลังเคลื่อนเข้าสู่ร่างกายของสวี่ชีอันทีละนิดๆ

พวกมันถูกจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแห่งต้าฟ่งช่วงชิงไปแล้ว

แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นขุดลอกหลิงอวิ้นของปลาหมึกยักษ์ออกมาไม่หยุด

ด้านหลังของเสินซูมีปากโผล่ขึ้นมาแล้วค่อยๆ พ่นพลังปราณออกมา

‘แคร่ก!’ …เขตแดนไร้ลักษณ์ของพระโพธิสัตว์หลิวหลีแตกสลายทันที

ในช่วงวิกฤต เสินซูจำเป็นต้องยื่นมือช่วยเหลือ แต่ก็จำกัดอยู่เพียงแค่การพ่นพลังปราณออกมาเพื่อทำลายเขตแดนแข็งแกร่งนั่นเท่านั้น

“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาแล้ว”

อาซูหลัวถอนหายใจออกมา ดวงตาคมกริบภายใต้โหนกคิ้วกวาดมองพระโพธิสัตว์ทั้งสาม

“ควรจะให้มดปลวกอย่างพวกเจ้าได้โดดเด่นบ้างใช่หรือไม่”

“รีบไป!”

เขาไม่ลืมส่งเสียงทางจิตไปบอกหลี่เมี่ยวเจิน

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถามด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของพวกหยางกงเคร่งเครียดยิ่ง พวกเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กันและกันยิ่งขึ้น

จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งสามคือขั้นสองจากสายการฝึกตนที่ต่างกัน สามารถร่วมมือกันยื้อยุดกับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งแห่งสำนักพุทธได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง