ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 881

สรุปบท บทที่ 881 กลับเมืองหลวง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 881 กลับเมืองหลวง – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 881 กลับเมืองหลวง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 881 กลับเมืองหลวง

……….

พรมแดนระหว่างเขตดินแดนประจิมทิศและเหลยโจว

ฉับพลันสวี่ชีอันและเสินซูก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองยืนอยู่ที่ด้านนอกเส้นเขตแดนพลางมองดูร่างสสารเลือดเนื้อสีแดงเข้มหดตัวกลับไปยังดินแดนประจิมทิศ ก่อนผสานเข้ากับแผ่นดิน

กระทั่งพลังปราณของพระพุทธเจ้าอันตรธานหายไปไม่เหลือแม้ร่องรอย

ในเวลานี้พวกเขาได้กำจัดพลังของร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรออกไปจนหมดสิ้นแล้ว และกลับคืนสู่ร่างเดิมทว่าเป็นในร่างเปลือยเปล่า

“นิกายพุทธมหายานได้รับการสถาปนาแล้ว เหตุใดพระพุทธเจ้าถึงยังเหลือโชคชะตากลืนกลายดินแดนประจิมทิศได้อยู่อีก?”

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังพูด มือก็หยิบเสื้อคลุมสองชุดออกมา พร้อมกับโยนชุดหนึ่งไปทางด้านเสินซู

เพื่อให้ไม่ดูเป็นการเสียมารยาท จึงประสานมือโค้งคำนับแก่เสินซูตามหลัง ถึงเวลาแล้วที่จิ้งจอกเก้าหางจะต้องเรียกเขาว่าอาสวี่

“คงเกี่ยวข้องกับสำนักพ่อมดนั่นแหละ” เสินซูอธิบายสั้นๆ พลางสวมเสื้อคลุมพึมพำเอ่ย

“ข้าเคยบำเพ็ญวิชาพุทธะมาก่อน จะลองเข้าไปสอดแนมดูสักหน่อยแล้วกัน”

บุ่มบ่ามสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือนั่น สวี่ชีอันบ่นอุบอิบในใจ ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า

“ใช้หุ่นเชิดสำรวจเถิด อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเลย”

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อีกใจยังลังเลที่จะใช้ ‘หยกดำ’ มังกรน้ำที่ซ่อนอยู่ในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ไม่นานนักก็ตัดสินใจใช้วิชามิติว่างจับกระต่ายตัวหนึ่งออกมา ก่อนทุบให้ตายแล้วฝังซือกู่ลงไปในร่างศพนั้น

เหตุผลที่เลือกซือกู่แทนที่จะใช้ซินกู่ควบคุม เป็นเพราะซินกู่สามารถแยกประสาทสัมผัสอันซับซ้อนได้เพียงบางอย่างเท่านั้น เช่น การมองเห็น

กล่าวคือซือกู่เป็นระดับการควบคุมที่ลึกล้ำกว่า ส่วนหุ่นเชิดก็เปรียบได้กับร่างอวตาร

นี่จึงทำให้สวี่ชีอันสัมผัสถึงสถานะปัจจุบันของพระพุทธเจ้าได้ดียิ่งขึ้น

กระต่ายกระโดดเข้าไปในดินแดนประจิมทิศ เดินเตาะแตะไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ บนพื้นดินก็มีปากหนึ่งเปิดออก กระต่ายเมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกกลืนกิน มันจึงกระโดดถีบตัวขึ้นสูงหลบหลีกปากใหญ่ที่อยู่ด้านล่างอย่างว่องไว

ทว่าครู่ต่อมากระต่ายที่ลอยตัวอยู่บนอากาศกลับแปรทิศทิ้งตัวตกลงเข้าไปในปากที่อ้าอยู่บนพื้น

นี่…สวี่ชีอันใบหน้าหม่นแสงลง

เสินซูหันมองไปที่ด้านข้างเพื่อรอการวิเคราะห์จากเขา

“ข้าไม่ทันสังเกตข้อจำกัดและกลไกควบคุมของมันน่ะ เลยได้แต่กระโดดหลบง่อยๆ ไปอย่างนั้น” สวี่ชีอันกล่าว

แต่ความจริงคือกระต่ายที่เพิ่งกระโดดขึ้นไป จู่ๆ ก็เกิดกระโจนลงในปากนั่นเสียดื้อๆ

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งเทพยุทธ์ครึ่งก้าวและสวี่ชีอันก็ตระหนักรู้ในทันที ก่อนกระซิบกระซาบกัน

“พระพุทธเจ้าเปลี่ยนกฎ”

“ทรงเปลี่ยนกฎการกระโดดเป็นร่วงหล่น ที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อืม ต้องเป็นอย่างนั้นแน่”

เพียงคำอธิบายเดียวก็ทำให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเข้าใจในทันทีว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับข้อจำกัดหรือกลไกควบคุมทั้งสิ้น การที่พวกเขากลายเป็นเนื้อเข้าปากเสือก็เพราะกฎที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป

นั่นคือกฎของฟ้าดิน

ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันจึงไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆ

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าจะกระทำได้” เสินซูออกความเห็น

ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อาจสามารถบังคับเปลี่ยนกฎได้ก็จริง แต่นั่นก็ถือเป็นทักษะพิเศษของระบบผู้บำเพ็ญ และภายหลังเสร็จเรื่องก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม

“เพราะในดินแดนประจิมทิศ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ระดับสุดยอดอีกต่อไป แต่ตัวเขาเป็นเจ้าผู้ครองฟ้าดินเองอย่างไรล่ะ!” สวี่ชีอันถอนหายใจ

‘ท่านโหราจารย์พูดถูก ปณิธานที่แท้จริงของระดับสุดยอดคือการแทนที่วิถีแห่งฟ้า แล้วกลืนกลายเป็นร่างจำแลงจิตตานุภาพของดินแดนจิ่วโจว

หากก่อนหน้านี้ใจของเขายังพอมีสิ่งเคลือบแคลงอยู่บ้าง ในตอนนี้เขาคงเชื่อคำพูดของท่านโหราจารย์อย่างถึงที่สุดไปแล้ว’

เสินซูครุ่นคิดอีกครั้ง ก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า พลังอันน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวโพยพุ่งออกมาจนฟ้าดินสะเทือนครืนครั่น ธาตุต่างๆ เกิดโกลาหลอลหม่าน

แต่แล้วเมื่อธาตุที่อลวนเหล่านี้เข้าใกล้ดินแดนประจิมทิศ พวกมันทั้งหมดก็ถูกมหาพลังแกร่งกล้าทำให้สงบลง ตลอดจนเขตแดนจอมยุทธ์ที่กางโดยเสินซู ก็ถูกปิดกั้นจากดินแดนประจิมทิศด้วย

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่าเกิด ‘การแบ่งแยก’ ระหว่างดินแดนประจิมทิศและดินแดนจิ่วโจวขึ้น แม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่กลับไม่ได้อยู่ในดินแดนเดียวกัน

“นี่น่ะหรือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมหาเคราะห์ เสินซูคิดไปว่าที่กลืนกลายจิ่วโจว เป็นเพราะต้องการวิวัฒน์สู่ดินแดนแห่งใหม่เสียอีก?” เสินซูมองไปที่สวี่ชีอัน

“ไม่ใช่วิวัฒนาการ แต่จะมาแทนที่ต่างหาก!” สวี่ชีอันกล่าวเสียงเข้ม

เสินซูทอดมองไปยังอาณาเขตดินแดนประจิมทิศอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน พลางพูดขึ้นช้าๆ

“อย่างนี้นี่เอง”

ดูเหมือนเขาจะไขข้อสงสัยอันน่าฉงนสนเท่ห์แสนยาวนานได้แล้ว

“ไต้ซือคิดเห็นว่าอย่างไรหรือ?” สวี่ชีอันถือโอกาสหยั่งเชิง

“กลียุคของมวลมนุษย์” เสินซูแสดงความเห็น

เขารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเสินซูไม่มีท่าทีเอ่ยต่อ ก็ชิงถามขึ้นว่า

“ไต้ซือ ตอนที่ข้าได้เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้ว พบว่าภายในกายมีเส้นริ้วแปลกๆ เต็มไปหมด คล้ายกับจิตวิญญาณของเทพมารเทือกนั้น”

เสินซูกล่าวตอบ

“พวกมันมีสมบัติจำเพาะของการเป็นอมตะ ซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวกล้าท้าทายระดับสุดยอด”

“ข้าลองศึกษาพวกมันดูแล้ว สิ่งเดียวที่พบคือพวกมันไม่สมประกอบ”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“ไม่สมประกอบหรือ?”

เขาไม่เห็นรู้สึกถึงความไม่สมประกอบเลย

เสินซูหยุดคิดพักหนึ่งแล้ววิเคราะห์ต่อ

“หากจะกล่าวให้กระจ่างกว่านี้ก็คือพวกมันเป็นเหมือนกับต้นแบบของค่ายกล ส่วนรายละเอียดยิบย่อยอื่นยังคงต้องได้รับการปรับปรุงให้สมบูรณ์”

“แต่ละ ‘อักขระเวท’ ล้วนมีความเป็นปัจเจก แต่ขาดความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แม้พวกมันจะมีสมบัติจำเพาะของการเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”

“บางทีการที่ได้เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์อาจทำให้ค่ายกลพวกนี้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างแท้จริงก็ได้”

แต่ละเนื้อเยื่อมีความเป็นอมตะทว่าเป็นอิสระจากกัน…หัวใจของสวี่ชีอันเต้นรัวเร็ว

“เพราะเหตุนี้ท่านจึงถูกพระพุทธเจ้าผ่าร่างและปิดผนึกตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือ?”

เนื้อเยื่อจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงถึงอักขระเวทจำนวนมหาศาล แต่เนื่องจากเนื้อเยื่อเหล่านี้เป็นอิสระจากกัน จึงสามารถแยกออกจากกันได้

เสินซูพยักหน้า

สวี่ชีอันชวนคุยอย่างตื่นเต้น

“แล้วท่านรู้วิธีที่จะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์หรือไม่?”

“รู้สิ!”

สวี่ชีอันพลันรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของเสินซู จากนั้นอีกฝ่ายก็กล่าวต่อ

“หากจัดรูปแบบ ‘ค่ายกล’ ในกายได้สมบูรณ์ ก็เป็นเทพยุทธ์ได้แล้ว”

นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม เรื่องนั้นข้าก็รู้อยู่แล้ว ที่ถามคือวิธีการอันเป็นรูปธรรมต่างหาก…สวี่ชีอันพูดด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“แล้วค่ายกลที่สมบูรณ์เป็นอย่างไร?”

เสินซูมองมาที่เขา พลางพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“เมื่อครู่พระพุทธเจ้าเรียกเจ้าว่าผู้พิทักษ์ประตูสินะ”

สวี่ชีอันชี้แจง

“ในครั้งนี้ข้าได้พบกับท่านโหราจารย์ตอนที่ข้าออกทะเล เขาบอกกับข้าว่าผู้พิทักษ์ประตูสามารถบังเกิดแต่ในระบบจอมยุทธ์เท่านั้น”

เสินซูปราดมองเขา

“จุดประสงค์ของการที่ท่านโหราจารย์หนุนนำเจ้า คือการบ่มเพาะให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ประตู”

สวี่ชีอันพยักหน้า

เสินซูเอ่ยต่อ

“ข้าเองก็เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเช่นกัน แต่ท่านโหราจารย์ไม่หนุนนำข้า แต่กลับเลือกเจ้า”

“เราอนุมานความจริงของเรื่องนี้ได้จากแผนการในอดีตของท่านโหราจารย์ เจ้าต้องตีความหมายของคำถามสองข้อให้กระจ่าง หนึ่งคือเหตุใดเขาถึงหนุนนำเจ้า สองคือเขาทิ้งอะไรไว้บนตัวเจ้า”

ทิ้งอะไรไว้อย่างนั้นหรือ? สวี่ชีอันคลำกายตามคำบอกของเสินซูในทันที

คนข้างหลังขมวดคิ้วมุ่น

“ข้ารู้แล้ว” สวี่ชีอันโพล่งขึ้น

คำตอบนั้นชัดเจนในตัวมันเอง คือโชคชะตา!

หวางเจินเหวินฟาดฟันกลับ

“ตราบใดที่สำนักพ่อมดเชื่อว่าเราไม่มีพลังที่จะทำร้ายทั้งสองฝ่ายของสำนักพุทธ สำนักพ่อมดก็จะเปลี่ยนความคิดเอง”

“ต่ำต้อยอะไรเยี่ยงนี้!” จ้าวโส่วส่ายหัว “อีกอย่าง นี่ก็เท่ากับว่าเป็นการเผยจุดอ่อนต่อสำนักพ่อมด ให้เขามากดขี่ข่มเหงเอาได้มิใช่หรือ แล้วไหนจะเจรจาโดยสันติอีก”

‘เจรจาโดยสันติ’ ที่เขาหมายถึงคือเจรจาหลังจากที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึก ตลอดจนดินแดนที่ก่อตั้งโดยกองทัพกบฏอวิ๋นโจวถูกแบ่งแยกแล้วต่างหาก

จินตนาการได้ไม่ยากเลย สำนักพ่อมดย่อมต้องทำตามข้อตกลงที่มีร่วมกันอย่างแน่นอน ยึดครองอาณาจักรต้าฟ่งได้โดยไร้การนองเลือด ซ้ำยังไปได้ไกลกว่ากลุ่มกบฏอวิ๋นโจวเสียอีก

เว่ยเยวียนเสริมต่อ

“หวังแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า!”

ฮว๋ายชิ่งที่อยู่หลังโต๊ะผิวเหลืองตัวใหญ่พลันโบกมือปัด

“สถานการณ์ยังไม่แน่นอนนัก คงเร็วเกินไปที่จะด่วนพูดคุยกันเรื่องนี้”

นางทำได้เพียงพึ่งพาวาทกรรมดังกล่าวเพื่อสงบข้อพิพาท ถึงกระนั้นก็รู้ดีอยู่เต็มอก หากเหลยโจวถูกพระพุทธเจ้ากลืนกลายเข้าจริงๆ ข้อพิพาทที่คล้ายกันนี้ก็จะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้นบรรดาขุนนางและนายพลของราชสำนักทั้งหมดก็จะมารวมตัวกันที่ตำหนักกระดิ่งทองเพื่อโต้แย้งกันยิบตาแน่นอน

อาจมีการเสนอทั้งยอมจำนน หรือเข้าร่วมกับสำนักพ่อมดที่กลัวว่าจะเป็นกระแสหลักนี่สิ

การสละชีพเพื่ออาณาจักรจำเป็นต้องมาจากจิตสำนึก ไม่คิดเลยว่าขุนนางทุกคนจะตื่นตัวกันถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น หากเมื่อถึงเวลาอีกใจก็กลัวเหลือเกินว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดไปในหมู่ชาวเมืองว่า ‘สตรีที่อ้างตนเป็นจักรพรรดินำหายนะมาสู่อาณาจักรและมวลประชา’…เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฮว๋ายชิ่งก็นวดคลึงหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า

แม้ว่านางจะคงเสถียรภาพตำแหน่งจักรพรรดิได้ด้วยความสามารถของตัวเอง อีกทั้งความช่วยเหลือจากเว่ยเยวียน สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ทว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบรรดาขุนนางชั้นล่าง ผู้คนในเมืองหรือแม้แต่ในหมู่บัณฑิตก็จะยังคงอยู่

เมื่อบ้านเมืองและประชาชนสงบสุข เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็จะเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา

แต่เมื่อบ้านเมืองถึงคราววุ่นวาย คำว่า ‘สตรีเป็นจักรพรรดิ’ จะแผ่ขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นเป้าเพื่อโยนความผิด

กว่านางจะบริหารจัดการบ้านเมืองให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติและสงครามสามารถแบ่งเบาภาระและฟื้นตัวได้ในที่สุดนั้นไม่ง่ายเลย แต่ใครจะคิดว่าจะมีคลื่นลูกอื่นตามมาอีก

ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง เพิ่งคิดได้ว่าต้องการใครสักคนที่สามารถจะพึ่งพาได้

ในฐานะจักรพรรดิของอาณาจักร ชายคนเดียวที่นางสามารถพึ่งพาได้และต้องการที่จะพึ่งพามีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น

ปัจจุบันสิ่งเดียวที่พึ่งพาได้นี้ยังอยู่ระหว่างการเดินทางข้ามโพ้นทะเล จึงขาดการติดต่อไป

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะการติดต่อไม่ได้ที่ล่าช้า ทำให้ฮว๋ายชิ่งยังคงโอบอุ้มความคาดหวังที่มีต่อเขาไว้อยู่

บางทีตอนที่มาถึงเขาอาจจะเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วก็ได้ แต่ไหนแต่ไรชายคนนั้นก็ไม่เคยทำให้นางผิดหวัง

ทันใดนั้นใจของฮว๋ายชิ่งก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง

ตามด้วยเว่ยเยวียนและจ้าวโส่วที่ก้าวนำไปข้างหน้านาง

ภายในห้องทรงพระอักษรที่ว่างเปล่า บัดนี้มีคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า

ชายที่ดูเป็นผู้นำกลุ่มใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดคลุมสีคราม ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เขาคือสวี่ชีอันที่หายหน้าหายตาไปหลายเดือนนั่นเอง

ข้างหลังเขาคือลั่วอวี้เหิง อาซูหลัว จิ้งจอกเก้าหาง นักบวชเต๋าจินเหลียนและผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์คนอื่นๆ

เว่ยเยวียน หวางเจินเหวิน จ้าวโส่วและฮว๋ายชิ่งยืนขึ้นพร้อมเพรียงกัน

‘เขากลับมาแล้ว? แถมยังนำผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์จากเหลยโจวกลับมาด้วย?’

ฮว๋ายชิ่งดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง ต่อมาก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นโครมคราม นางพยายามระงับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่น้ำเสียงที่พูดยังคงสั่นเทา

“พระพุทธเจ้าล่าถอยแล้วหรือ?”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้หวางเจินเหวิน เว่ยเยวียนและจ้าวโส่วต่างก็จับจ้องไปที่สวี่ชีอันเป็นตาเดียว

สวี่ชีอันครางเสียง ‘อืม’ ในลำคอ

ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปากทั้งคาดหวังและระมัดระวัง ก่อนลองเชิงถามออกไปว่า

“เจ้าได้เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วหรือยัง?”

นางแทบไม่กล้าหายใจ ด้วยท่าทางที่คาดหวังและระมัดระวังนั้นทำให้นางดูน่าเอ็นดู ราวกับเด็กหญิงตัวน้อยที่เอ่ยถามผู้เป็นบิดาว่าเขาได้นำตุ๊กตาแสนรักของตัวเองกลับมาด้วยหรือเปล่าอย่างไรอย่างนั้น

หวางเจินเหวินเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว แขนเสื้อสั่นเทิ้มเล็กน้อย

ด้านเว่ยเยวียนดูค่อนข้างสงบ ถึงกระนั้นเขาก็ดูเป็นคนที่สมาธิแน่วแน่มาแต่ไหนอยู่แล้ว

ส่วนจ้าวโส่วอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ

……………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง