ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 882

บทที่ 882 การสนทนาลับ

……….

สวี่ชีอันยิ้มพลางว่า

“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติที่ทำตามรับสั่งได้ลุล่วง!”

“หลังผ่านพ้นอุปสรรค ความยากลำบาก และการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้สำเร็จ

“ตอนนี้รักษาเหลยโจวไว้ได้ พระพุทธเจ้าก็ถอยกลับแดนประจิมแล้ว”

จิ้งจอกเก้าหางซึ่งอยู่ด้านข้างกลอกตา

เทพยุทธ์ครึ่งก้าว เขาเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วจริงๆ…ฮว๋ายชิ่งได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว หัวใจซึ่งลอยคว้างอยู่กลางคอหอยจึงลดกลับสู่ตำแหน่ง ทว่าความยินดีและความตื่นเต้นกลับมิได้ลดทอน ซ้ำยังทะลักล้นพุ่งเข้ากลางใจ

แก้มของนางแดงเรื่อ ดวงตาเป็นประกายแห่งความยินดี ไม่ว่าอย่างไรก็ควบคุมมิให้เกิดรอยยิ้มที่มุมปากไม่ได้

แน่นอนว่าเขาไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นฆ้องทองแดงในตอนนั้น หรือฆ้องเงินสวี่ผู้มีชื่อเสียงก้องโลกเช่นยามนี้

ฮว๋ายชิ่งกอดความหวังสูงสุดไว้ที่เขาเสมอ แต่เขาก็ยังทำเกินความคาดหวังของนางและนำความประหลาดใจมาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า

‘หนิงเยี่ยนเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าว ประกอบกับผู้อาวุโสเสินซูซึ่งอยู่ในขั้นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอีก ในที่สุดก็มีความมั่นใจที่จะท้าทายอำนาจใดๆ ก็ตามในสำนักพ่อมดหรือสำนักพุทธเสียที หมากกระดานนี้ยังคงเดินต่อไปได้ เฮ้อ คนไร้สมองในตอนนั้น บัดนี้กลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วสินะ’…เว่ยเยวียนรู้สึกยกภูเขาออกจากอก ขณะเดียวกันก็เกิดอารมณ์ซับซ้อนทั้งความคร่ำครวญ ความปลื้มปีติ ความพึงพอใจ และความภาคภูมิใจ

เมื่อพิจารณาสถานะของตนและการรวมตัวของยอดฝีมือในห้องทรงพระอักษรแล้ว เว่ยเยวียนจึงรักษาความสงบสุขุมให้สอดคล้องกับสถานภาพของตน แล้วเอ่ยเนิบๆ ว่า

“ทำได้ไม่เลว”

เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเชียวนะ หากจำไม่ผิด น่าจะเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเผ่าพันธุ์มนุษย์คนแรกแห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง มีหนึ่งเดียวเหมือนปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ต้องบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ว่า ฆ้องเงินสวี่ศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ตั้งแต่เด็ก และได้คำนับเจ้าสำนักจ้าวโส่วเป็นอาจารย์…เมื่อจ้าวโส่วคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกฮึกเหิม เขาซึ่งวางแผนจัดทำตำราประวัติศาสตร์กำลังจะก้าวขึ้นมาเอ่ยแสดงความยินดี แต่เมื่อเหลือบไปเห็นเว่ยเยวียนสุขุมสงบนิ่งไม่กระโตกกระตาก เขาจึงได้แต่รักษาความสุขุมนุ่มลึกให้สมกับฐานะ แล้วเอ่ยว่า

“ดีมาก!”

ต้าฟ่งมีทางรอดแล้ว และ ‘รอดพ้นจากความตาย’ อีกครั้ง สวี่ชีอันกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้อย่างราบรื่น สายตาของข้าไม่ผิดเพี้ยน เฮ้อ ตาเฒ่าสองคนนี้ก็สุขุมเสียจริง…หวางเจินเหวินแทบอดใจไม่ไหว อยากจะร้องรำทำเพลงและร่ำสุราทั้งคืน ราวกับย้อนเวลากลับไปสมัยที่ตนสอบผ่านขุนนาง

ทว่าเมื่อเห็นจ้าวโส่วและเว่ยเยวียนต่างสีหน้าสงบนิ่ง เขาจึงคงความสุขุมให้สมกับสถานะเช่นกัน แล้วพยักหน้าช้าๆ

“ยินดีด้วยกับการเลื่อนขั้น!”

พวกลูกพี่ในวงการขุนนางนี่คาดเดายากจริงๆ โกรธหรือยินดีก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า…สวี่ชีอันแอบชื่นชมแล้วเอ่ยว่า

“น่าเสียดายที่ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ว่าเลื่อนขั้นเทพยุทธ์ได้อย่างไร”

ข้าวต้องกินทีละคำ! เว่ยเยวียนเกือบออกปากสอนงานเขาเสียแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาชี้แนะอีก จึงข่มกลั้นไว้

แล้วหันมาถามว่า

“สถานการณ์เหลยโจวเป็นอย่างไรบ้าง ตายไปเท่าไรแล้ว”

ขณะที่เหล่าผู้เหนือมนุษย์กำลังลังเล พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็เอ่ยว่า

“ทำลายเมืองใหญ่ไปได้แห่งเดียว มีประชากรสองพันกว่าคน”

นักบวชเต๋าจินเหลียนและเหิงหย่วนเอ่ยปากตอบสนองด้วยความเชื่องช้า

จากรายละเอียดนี้จะเห็นได้ว่า พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ใส่ใจประชาชนเป็นที่สุด เขาถูกนิกายมหายานล้างสมอง ไม่สิ ย้ายศาสนาไปแล้วจริงๆ…สวี่ชีอันวิจารณ์ในใจ

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ก่อนมองมาทางสวี่ชีอันแล้วเอ่ยว่า

“ช่วงเวลาที่เจ้าไม่ได้อยู่โพ้นทะเล สำนักพุทธได้จัดงานชุมนุมพุทธะขึ้น ตามที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ว่ามา พระพุทธเจ้ากำลังอาศัยการชุมนุมครั้งนี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัวขึ้น

“พวกเราไม่รู้มูลเหตุอย่างเป็นรูปธรรม แต่เจ้าจำต้องรู้ผลลัพธ์ พระองค์กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่กลืนกินทุกสิ่งไปแล้ว”

นางจงใจเอ่ยถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบของ ‘ภัยพิบัติ’ ครั้งนี้ และบรรยายสถานการณ์แทนสวี่ชีอัน

นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยต่อว่า

“ตอนที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ออกจากแดนประจิม พระพุทธเจ้ามิได้ทำร้ายเขา แต่เมื่อนิกายมหายานรับการสถาปนา และหลังจากสำนักพุทธสูญเสียโชคชะตาไปแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเกือบอดใจรอไม่ไหวที่จะกลืนกินเขา

“เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับโชคชะตา นี่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ามหาเคราะห์”

เว่ยเยวียนถอนหายใจพลางว่า

“จากการแสดงออกของพระพุทธเจ้า สามารถอนุมานได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเทพกู่และเทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึก

“เพียงแต่ พวกเรายังไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของระดับสุดยอดมีความหมายและจุดประสงค์อะไร”

เหล่าขั้นเหนือมนุษย์ขมวดคิ้วไม่พูดจา พวกเขารู้สึกรางๆ ว่าตนเข้าใกล้ความจริงแล้ว แต่ก็มิอาจแถลงหรือบอกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ

มีเพียงหน้าต่างกระดาษเพียงชั้นเดียวซึ่งยากเจาะทะลวง

ไม่ใช่เพื่อมาสวมรอยวิถีแห่งฟ้ารึ…จิ้งจอกเก้าหางกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินสวี่ชีอันถอนหายใจยาวและชิงเอ่ยนำไปก่อนก้าวหนึ่งว่า

“ข้ารู้ความจริงเกี่ยวกับมหาเคราะห์แล้ว”

ทุกคนในห้องทรงพระอักษรมองเขาด้วยความตื่นตะลึง

“เจ้ารู้หรือ”

อาซูหลัวพินิจมองเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ยากจะเชื่อว่าเจ้าหนุ่มที่ออกทะเลมาหลายเดือนคนหนึ่งจะรู้ความลับของมหาเคราะห์ได้อย่างไร

นักบวชเต๋าจินเหลียนและเว่ยเยวียนสะดุดใจ

เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้า หยางกง ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ก็รู้สึกประทับใจเล็กน้อย

เรื่องนี้ต้องกล่าวย้อนไปตั้งแต่ตอนสร้างโลก…ท่ามกลางสายตากระตือรือร้นและคาดหวังของทุกคน สวี่ชีอันได้เอ่ยขึ้นว่า

“ข้ารู้ทุกอย่าง รวมถึงมหาเคราะห์ครั้งแรกและการล่มสลายของเทพมาร”

ในที่สุดความจริงเบื้องหลังการล่มสลายของเทพมารก็ถูกเปิดเผย…ทุกคนตื่นตัวและตั้งใจฟัง

สวี่ชีอันเอ่ยช้าๆ ว่า

“เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นจากฟ้าดินและการกำเนิดของเทพมาร พวกท่านรู้เรื่องเทพมารกันแค่ไหน”

อาซูหลัวตอบเป็นคนแรก

“เทพมารกำเนิดจากฟ้าดิน เกิดมาทรงพลัง พวกเขาไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญก็ควบคุมพลังมหาศาลในการย้ายภูเขาถมทะเลได้ เทพมารแต่ละคนต่างมีแก่นแท้จิตวิญญาณที่ฟ้าดินมอบให้”

ทุกคนไม่มีใครเอ่ยเสริม สิ่งที่อาซูหลัวพูดคงจะเป็นทั้งหมดที่พวกเขารู้เกี่ยวกับเทพมารแล้ว

สวี่ชีอันทอดถอนใจว่า

“เกิดจากฟ้าดิน ตายคืนฟ้าดิน นี่เป็นกรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง”

กรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง…ทุกคนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าประโยคนี้มีความล้ำลึกยิ่งใหญ่อย่างอธิบายไม่ถูก

สวี่ชีอันมิได้ปล่อยให้ค้างคา จึงเอ่ยต่อว่า

“ข้าออกทะเลครั้งนี้ได้ผ่านหมู่เกาะแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต จากคำอธิบายของทายาทเทพมารที่อาศัยอยู่ เทพมารบรรพกาลผู้นั้นได้กลายร่างเป็นหมู่เกาะหลังจากเสียชีวิต

“เทพมารถือกำเนิดจากฟ้าดิน เดิมร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดินอยู่แล้ว ดังนั้นหลังความตายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้”

ตู้เอ้อร์พลันตาเป็นประกายแล้วโพล่งออกมา

“พระพุทธเจ้า!

“พระพุทธเจ้าก็กลายเป็นอรัญตาได้ บัดนี้พระองค์กลายเป็นทั้งแดนประจิมไปแล้ว จะต้องมีความเชื่อมโยงกันแน่”

พูดจบ ภิกษุชราก็จ้องสวี่ชีอันเขม็งด้วยสีหน้าที่ขอคำยืนยัน

เทพมารบรรพกาลกลายเป็นหมู่เกาะหลังสิ้นชีพ ส่วนพระพุทธเจ้าก็มีลักษณะคล้ายกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าและเทพมารบรรพกาลมีอะไรบางอย่างเหมือนกันใช่หรือไม่

ทุกคนเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานา

สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อา’ ก่อนเอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยว่า

“มหาเคราะห์ครั้งแรกและมหาเคราะห์ครั้งที่สองต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน”

“เป้าหมายอะไร” ฮว๋ายชิ่งถามทันที

คนอื่นๆ ก็อยากรู้คำตอบนี้เช่นกัน

สวี่ชีอันมิได้ตอบทันที เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า

“สวมรอยวิถีแห่งฟ้า กลายเป็นศรัทธาอันแน่วแน่ในโลกของจิ่วโจว”

ดั่งฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น ทำเอาผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทุกคนในห้องทรงพระอักษรตะลึงงัน

นักบวชเต๋าจินเหลียนสูดหายใจลึก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีซึ่งยากแท้หยั่งถึงผู้นี้ยากจะสงบสติอารมณ์ได้ จึงเอ่ยถามอย่างงงันว่า

“เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ”

สวี่ชีอันกวาดตามองฝูงชน และพบว่าการแสดงออกของพวกเขามิได้แตกต่างจากนักบวชเต๋าจินเหลียนนัก กระทั่งเว่ยเยวียนและจ้าวโส่วก็มีท่าทางตกตะลึงเช่นกัน

“ครั้งจักรวาลเพิ่งก่อตัว จิ่วโจวไร้อารยะ หลายปีต่อมา เมื่อเทพมารถือกำเนิด ชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในช่วงนี้ ทุกสิ่งยังวุ่นวาย ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีฤดูทั้งสี่ หยินหยางปัญจธาตุล้วนสับสนยุ่งเหยิง บนโลกไม่มีพลังวิญญาณสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจให้บำเพ็ญ

“ผ่านไปอีกหลายปี ด้วยวิวัฒนาการของฟ้าดิน เดิมควรจะแบ่งเป็นธาตุทั้งห้าและทิศทั้งสี่ ทว่าฟ้าดินในที่นี้กลับมิอาจวิวัฒนาการต่อไปได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา ทุกคนยังคงย่อยข้อมูลอันสะเทือนโลกานี้อยู่

สวี่ชีอันจึงมองไปยังเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบแทนบุรุษไม่เอาไหนโดยพยายามรักษาหน้าให้อย่างไม่เต็มใจว่า

“จะเดาก็เดาได้ เพราะฟ้าดินมีช่องโหว่ เทพมารจึงแย่งชิงพลังแห่งฟ้าดินไป”

“ปราดเปรื่อง!”

สวี่ชีอันยกย่องแล้วเอ่ยต่อว่า

“ดังนั้น ในสมัยบรรพกาล ประตูแห่งแสงสว่างได้ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นประตูที่นำไปสู่ ‘วิถีแห่งฟ้า’ เทพมารเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน หมายความว่าพวกเขาจะผ่านประตูบานนี้ได้ก็ต่อเมื่อประตูเปิดออกอย่างราบรื่นเท่านั้น เทพมารจึงจะสามารถเลื่อนขึ้นวิถีแห่งฟ้าได้”

จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็เอ่ยว่า

“นี่คือเหตุผลที่เทพมารฆ่ากันเองหรือ แต่ที่สุดแล้วเทพมารก็ล่มสลายกันหมด หรือว่า วิถีแห่งฟ้าในปัจจุบันก็คือเทพมารสักคนในตอนนั้นรึ”

นางถามข้อสงสัยของทุกคนออกมา

ท่ามกลางสายตาของทุกคน สวี่ชีอันส่ายหัว

“การที่เทพมารเข่นฆ่ากันเอง และจิตวิญญาณหวนคืนฟ้าดิน ผลลัพธ์ท้ายที่สุดคือจิ่วโจวฉวยเอาจิตวิญญาณได้มากพอ และปิดประตูสู่สวรรค์”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่พระพุทธเจ้าจะเปลี่ยนแปรไปเช่นนี้

ผู้เหนือมนุษย์ในที่นี่ต่างเป็นคนฉลาด เมื่อโยงนึกถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้ากลายร่างเป็นแดนประจิมซึ่งได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว จึงหมดข้อสงสัยในคำพูดของสวี่ชีอันอีก

“ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งมีชีวิตจะแปลงกายเป็นฟ้าดิน สวมรอยวิถีแห่งฟ้าได้” หยางกงพึมพำ “หากไม่ใช่จากปากหนิงเยี่ยน ข้าก็ยากจะเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง”

ทันทีที่สิ้นเสียง แสงแวววาวเด่นชัดก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา แล้วเคาะที่หัวเขาอย่างแรง

“ข้าต่างหากที่เป็นอาจารย์ของเขา…”

หยางกงดุเบาๆ แล้วรีบเก็บไม้กลับ สีหน้าเก้อเขินอยู่บ้าง

ราวกับลูกๆ บ้านตนก่อเรื่องวุ่นวายในที่สาธารณะเพราะไม่รู้ความ ทำให้ใต้เท้าอับอายยิ่งนัก

เคราะห์ดีที่ตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในความสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ จึงไม่ได้สนใจเขา

เว่ยเยวียนเอ่ยเสียงเข้มว่า

“เช่นนั้นมหาเคราะห์ครั้งที่สองที่ใกล้เข้ามา เป็นเพราะประตูสู่สวรรค์ได้เปิดขึ้นอีกครั้งแล้วรึ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง