ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 883

บทที่ 883 แผนทำร้ายตัวเอง

……….

ขณะที่ฮว๋ายชิ่งวาดมือมาหยิบไข่มุก นางได้เหลือบเห็นหางและใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางปีศาจโฉมสะคราญ แล้วมองการแสดงออกด้วยความจริงใจของสวี่ชีอันอีกครั้ง

จากนั้น นางจึงเอื้อมมือรับไข่มุกนางเงือกไป

พริบตาที่ไข่มุกอยู่ในมือก็เปล่งแสงสว่างสดใส ราวกับหลอดไฟในภพก่อนของสวี่ชีอัน แม้จะอยู่ในท้องฟ้าที่เข้าใกล้เวลาเที่ยงวันก็ยังพร่างพราวและสว่างเพียงพอ

“ส่องแสงได้จริงด้วย”

ฮว๋ายชิ่งส่งเสียง ‘เอ๊ะ’ เบาๆ การแสดงออกและน้ำเสียงเจือความประหลาดใจอยู่บ้าง

เมื่อมีไข่มุกเม็ดนี้ ในวังของนางจึงไม่จำเป็นต้องจุดเทียนไข อีกทั้งแสงของไข่มุกก็ชัดเจนสว่างไสว แวววับจับตากว่าแสงเทียนมากนัก

“เป็นสมบัติที่หาได้ยากทีเดียว”

พูดจบ นางก็พบว่าสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางมองดูตนด้วยสีหน้าแปลกๆ

ทว่าการแสดงออกของคนทั้งสองนั้นแตกต่างกัน

สายตาและการแสดงออกของสวี่ชีอันมีความซับซ้อนอยู่บ้าง ทั้งยินดี หยอกเย้า สบายใจ อ่อนโยน ภูมิใจ ทำอะไรไม่ถูก ต่างๆ นานา ฮว๋ายชิ่งไม่ได้เห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนขนาดนี้บนหน้าของเขามานานมากแล้ว

จิ้งจอกเก้าหางซึ่งกำลังล้อเล่นหุบยิ้ม และแสดงทีท่าเป็นศัตรู

ฮว๋ายชิ่งฉลาดเป็นกรด จึงจับสังเกตต้นสายปลายเหตุทันที

เวลานี้เอง นางก็เห็นจิ้งจอกเก้าหางหัวเราะตัวโยน สีหน้าเต็มไปด้วยการเย้าแหย่ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า

“ว่ากันว่า ขอเพียงถือไข่มุกนางเงือกในมือแล้วเห็นคนที่รัก มันจะเรืองแสง

“ยังคิดว่าเหนือหัวของแคว้นหนึ่งซึ่งเป็นจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่จะแตกต่างจากคนทั่วไปสักแค่ไหนกัน ที่แท้ก็เหมือนกับสตรีทั่วไป ที่หลงรักชายรูปงามด้วยความรักลึกซึ้ง

“จุ๊จุ๊ เก็บซ่อนไว้ได้ลึกเหลือเกิน ข้าอ่านใจสตรีมานับไม่ถ้วน ยังดูไม่ออกเลยว่าท่านชอบฆ้องเงินสวี่ขนาดนั้น

ฮว๋ายชิ่งมองไข่มุกนางเงือกในมือ แล้วสีหน้าก็พลันซีดขาว ก่อนจะแดงก่ำขึ้นมาราวกับคนเมา

นางมองขวับไปทางสวี่ชีอัน ภายในดวงตาอันงดงามมีความโกรธและอับอาย ความลำบากใจ และความเก้อกระดากวาบผ่าน เช่นเดียวกับเมื่อครั้งงานแต่งงานของสวี่หนิงเยี่ยนและหลินอัน ที่ถูกผู้พิทักษ์หยวนเผยความในใจอย่างหมดเปลือก

นางคิดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะ ‘ลอบวางแผน’ ใช้วิธีนี้กับตนจริงๆ

“คือว่า ฝ่าบาท…”

สวี่ชีอันส่งเสียงกระแอม ขณะกำลังจะกู้สถานการณ์และบรรเทาความลำบากใจของจักรพรรดินี ก็เห็นแก้มสีแดงเรื่อของนางพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด

จากนั้นก็มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ทั้งมีความโศกเศร้าแอบซ่อนอยู่

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า

“เจ้าภูมิใจมากเลยใช่หรือไม่”

หืม นี่มันท่าทีอะไรนี่ เขินจนโมโหรึ…สวี่ชีอันตะลึงงัน

ฮว๋ายชิ่งโบกแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วขว้างไข่มุกนางเงือกกลับมา

สวี่ชีอันเอื้อมมือไปรับแล้วถือไว้กลางฝ่ามือ โดยกักพลังปราณตามนิสัย ไม่ให้มันสัมผัสกับฝ่ามือของเขาจริงๆ

ทันใดนั้นเขาจึงเข้าใจสาเหตุที่ฮว๋ายชิ่งโกรธ

หากตอนที่ผู้ถือเผชิญหน้ากับคนที่รักแล้วไข่มุกนางเงือกจะเรืองแสง แล้วตอนที่เขาถือไข่มุกนางเงือก มันกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ

นี่หมายความว่าอย่างไรเล่า

หมายความว่าสวี่ชีอันไม่ได้รักใครเลยน่ะสิ

ไม่แปลกที่ฮว๋ายชิ่งจะผิดหวัง และโมโห

ความคิดของผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนแปลงไวเหลือเกิน…เมื่อครู่ที่สวี่ชีอันถือไข่มุกนางเงือก ความจริงนั้นมีชั้นพลังปราณกั้นระหว่างฝ่ามือและไข่มุกนางเงือกอยู่ชั้นหนึ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ทำให้ฮว๋ายชิ่งสังเกตความไม่ชอบมาพากลออก ยิ่งไปกว่านั้น ข้อกังวลอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อฮว๋ายชิ่งรู้ลักษณะพิเศษของไข่มุกนางเงือกแล้วจะหันมาถามเขา

“ไข่มุกเรืองแสงเพราะใคร”

จิ้งจอกเก้าหางจะคล้อยตามและเติมเชื้อไฟ “นั่นสิ เป็นเพราะใคร”

ซึ่งจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นอย่างมาก

เขาถอนหายใจแล้วลบล้างพลังปราณ ก่อนถือไข่มุกนางเงือกไว้

ด้วยเหตุนี้ ไข่มุกนางเงือกจึงเปล่งแสงสว่างไสวเด่นชัดในสายตาของจิ้งจอกเก้าหางและฮว๋ายชิ่ง

สีหน้าเย็นเยียบของฮว๋ายชิ่งละลายไปอย่างรวดเร็ว สายตาผิดหวังและโศกเศร้าหายไป ขณะที่มองไข่มุกนางเงือกด้วยความหลงใหล

“อุ้ยตาย ที่แท้ฆ้องเงินสวี่ก็แอบรักคนอื่นมาตลอด”

จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียง ‘กรีดร้อง’ พลางกะพริบตา ขนตาสั่นกระพือ แล้วเอ่ยอย่างขวยเขินว่า

“คือ คือว่า พวกเราเผ่าพันธุ์แตกต่างกัน มิอาจรักกันได้”

เจ้าไสหัวไป เจ้าไสหัวไปเลย…สวี่ชีอันอดใจไม่ไหวจนอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้านาง

เพื่อหลีกเลี่ยงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาจึงเก็บไข่มุกนางเงือกแล้วประสานมือเอ่ยว่า

“กระหม่อมออกทะเลหลายเดือน ขอกลับจวนก่อน”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ขัดขวางเขา

“ข้าก็อยากไปเป็นแขกของจวนสกุลสวี่!”

จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยเสียงนุ่ม

สวี่ชีอันไม่สนใจนาง มหาเนตรบนข้อมือเปล่งแสง ก่อนเคลื่อนย้ายเขาจากไป

จิ้งจอกเก้าหางส่ายเอวเล็กๆ แล้วบิดสะโพกวิ่งออกจากห้องทรงพระอักษร กลายเป็นรุ้งสีขาวและหลบหนีไป

เมื่อคนจากไปในอาคารจึงว่างเปล่า ห้องทรงพระอักษรขนาดใหญ่เงียบสงัด ขันทีและนางกำนัลถอยออกไปหมดแล้ว ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรที่ว่างเปล่า ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักในอก

นางสัมผัสใบหน้าตัวเองแล้วพ่นลมหายใจเบาๆ

ก็ดีเหมือนกัน ถ่ายทอดความรู้สึกตัวเองออกมาแล้วเปลี่ยนให้เป็นเผือกร้อนในมือสวี่หนิงเยี่ยนแทน นางไม่สนใจแล้ว

บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว

เขาเฉอซาน ไร้พืชพรรณ แร่ทองคำมากมาย บนเขามีงูตัวใหญ่นามว่าจู๋จิ่ว

ทหารม้าเหล็กของจิ้งกั๋วหล่อแท่นบูชาสูงสิบกว่าเมตรไว้บนยอดเขาเฉอซาน ออกตกเหนือใต้ทั้งสี่ทิศของแท่นบูชาเป็นสุสานซากศพกองพะเนินของคนเถื่อนสองเผ่าพันธุ์

“ปรมาจารย์น่าหลันอวี่ เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว”

เซี่ยโฮ่วยวี่ซู ราชาแห่งจิ้งกั๋วก้าวขึ้นแท่นบูชา แล้วคำนับด้วยความเทิดทูน

บนแท่นบูชา น่าหลันเทียนลู่ซึ่งยืนประสานมือไว้ด้านหลังพยักหน้าเล็กน้อย

“เริ่มได้!”

เซี่ยโฮ่วยวี่ซูคว้าคบเพลิงแล้วโยนลงกระถางไฟ น้ำมันเพลิงติดไฟในพริบตา แล้วกระถางไฟก็ลุกไหม้เป็นเปลวไฟและควันสีดำ

ควันดำลอยคุกรุ่นกระจายตัวอยู่ในท้องฟ้าสีคราม มองเห็นได้ชัดเจน

ทหารม้าเหล็กแห่งจิ้งกั๋วที่อยู่บนเขาและตีนเขาพากันวางอาวุธและคุกเข่าลงกับพื้น ประสานนิ้วหัวแม่มือเข้าหากัน มือซ้ายกุมมือขวา พลางหลับตา แล้วอธิษฐานต่อเทพพ่อมด

ความเชื่อของคนนับหมื่นมาบรรจบรวมกัน แม้ไร้สุ้มเสียง ทว่าในหูของน่าหลันเทียนลู่กับมีเสียงการร้องเรียกอันยิ่งใหญ่

ณ เมืองจิ้งซานที่ห่างไกล รูปสลักเทพพ่อมดสั่นสะเทือน ‘ครั่นครืน’ ปราณสีดำลอยฟุ้งออกมา แล้วเคลื่อนตัวไปทางชายแดนตอนเหนือ

ปราณสีดำเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขานับไม่ถ้วน โดยใช้เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็ไปถึงเขาเฉอซานซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้แล้ว ก่อนแผ่กระจายบนยอดเขาเฉอซาน กลายเป็นใบหน้าที่พร่ามัว

ทุกคนบนเขาเฉอซานต่างรู้สึกได้ว่าฟ้าพลันมืดลง ราวกับเข้าสู่ราตรีอันมืดมิด

เซี่ยโฮ่วยวี่ซูไม่กล้าลืมตา แต่สังเกตเห็นถึงพลังที่มิอาจควบคุมปกคลุมเขาเฉอซานทั้งลูก

เทพพ่อมดมาแล้ว แท่นบวงสรวงเรียกเทพพ่อมดมาแล้ว…หัวใจของเขาพลันสะท้าน ก่อนรีบขจัดความคิดกวนใจออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้น

น่าหลันเทียนลู่คารวะใบหน้าขนาดมหึมาบนท้องฟ้า จากนั้นจึงหยิบชามกระเบื้องสีเขียวครามออกจากแขนเสื้อ ในชามมีน้ำสะอาดอยู่เต็ม มีงูสีแดงตัวหนาเท่าตะเกียบตัวหนึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ

จู๋จิ่ว!

มันถูกน่าหลันเทียนลู่ปิดผนึกไว้ในชาม

น่าหลันเทียนลู่วางชามบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมสีเหลืองแล้วถอยไปสองสามก้าว

ใบหน้าคนอันพร่ามัวบนท้องฟ้าอ้าปากออกแรงดูดกลืนทุกสรรพสิ่งทั้งภูเขาแม่น้ำดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

มังกรน้ำในชามลอยขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ออกจากชามกระเบื้องเคลือบเขียวคราม และถูกเทพพ่อมดสูดเข้าปากไป

และศพเหล่านั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศของแท่นบวงสรวง เลือดที่สาดกระเซ็นถูกเทพพ่อมดดูดเข้าปากไปเช่นกัน

แม้ชะตาบ้านเมืองของเหยียนกั๋วจะส่งมอบให้พระพุทธเจ้าแล้ว ทว่าโชคชะตาของชายแดนตอนเหนือนั้นนับเป็นการชดเชยความสูญเสียให้เทพพ่อมด…น่าหลันเทียนลู่คิดในใจ

แม้หยั่งเชิงไพ่ตายของท่านโหราจารย์ออกมาได้ แต่ก็เข้าใจว่าเขาไม่มีหนทางอื่นอีก นอกจากสนับสนุนให้สวี่ชีอันเลื่อนขึ้นเป็นเทพยุทธ์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง