บทที่ 884 การแก้แค้น
……….
“อะแฮ่ม!”
สวี่ชีอันปิดปากกระแอมไอสองครั้ง เขารอให้สตรีในอุปการะเข้ามาตรวจดูก่อนแล้วจึงค่อยๆ ก้าวข้ามธรณีประตูไป
ดูแล้วเขาก็ไม่ต่างจากชายชราคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นอะไรไป?”
หลินอัน ภรรยาหมายเลขหนึ่งของเขาสะดุ้งแล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และซอยเท้าถี่ๆ มาหา
สตรีในอุปการะคนอื่นๆ ล้วนมีสายตาเป็นห่วงเป็นใย เว้นแต่นางจิ้งจอกเก้าหางผู้เดียว
สวี่ชีอันโบกมือแล้วพูดเสียงแหบพร่า
“สัปยุทธ์กับพระพุทธเจ้าทำให้ร่างกายข้าบอบช้ำ สูญสิ้นปราณโลหิตบั่นทอนอายุขัย จำต้องพักฟื้นเนิ่นนาน”
“เฮ้อ จะหาต้นตอของโรคเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้”
จิ้งจอกเก้าหางขัดจังหวะทันที
“ปราณโลหิตใกล้สิ้นกำลัง อนาคตข้างหน้าคงไม่อาจสืบพันธุ์ได้อีก”
ท่าทีของหลินอันกับมู่หนานจือเปลี่ยนไป ขณะที่เย่จีงุนงงสงสัย
อาสะใภ้เริ่มกังวลเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “มันร้ายแรงมากเลยหรือ? เจ้าไปขอยาจากสำนักโหราจารย์ได้หรือเปล่า?”
ต้าหลางเป็นบุตรชายคนโตของบ้านและยังไม่มีบุตร ถ้าไม่สามารถสืบต่อวงศ์ตระกูลได้ ก็หมายความว่าบ้านใหญ่จะต้องเสียธูปไปโดยไร้ประโยชน์งั้นหรือ?
…
สวี่ชีอันเหลือบมองจิ้งจอกเก้าหางแล้วมิได้ใส่ใจนาง “ข้าจะไปพักฟื้นที่บ้านสักพัก ข้าไม่ได้กินอาหารฝีมืออาสะใภ้นานแล้ว”
อาสะใภ้ลุกขึ้นทันทีแล้วพูดว่า
“ข้าจะลงครัวไปทำอาหารที่เจ้าชอบ”
สมัยนั้น จวนสกุลสวี่ยังไม่ร่ำรวย แม้จะมีแม่ครัว แต่อาสะใภ้มักทำอาหารเองเพราะนางมิใช่สุภาพสตรีมั่งคั่งผู้มีนิสัยเจ้าสำอาง
สวี่ชีอันหันไปมองมู่หนานจือแล้วพูดว่า
“ป้ามู่ ข้าจำได้ว่าท่านปลูกสมุนไพรไว้ในสวนหลังบ้าน ช่วยทำแกงสมุนไพรให้ข้าเพิ่มพลังปราณกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ทีสิ”
มู่หนานจือผู้ที่เขารู้ว่าเป็นต้นไม้อมตะกลับชาติมาเกิดรับคำว่า “อืม” ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปอย่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับว่านางกำลังคิดบัญชีแค้นหลังถูกโค่น
สวี่ชีอันพูดต่อว่า
“น้องสาว เสื้อคลุมที่เจ้าทำให้พี่ใหญ่ขาดเสียแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มให้อย่างสงบเสงี่ยมและพูดเสียงแผ่วเบา
“ข้าจะทำเสื้อคลุมให้พี่ใหญ่เพิ่มอีกสักตัว”
ระหว่างสนทนา สวี่ชีอันยังคงกระแอมไอไม่หยุด เพื่อให้สตรีในอุปการะรู้ว่า “ข้าไม่ค่อยสบาย ได้โปรดอย่าสร้างปัญหา”
หลังจากดำเนินการรวดเดียวจบ ก็เหลือเพียงหลินอัน เย่จีกับจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้องโถง สวี่ชีอันไม่มีข้ออ้างอื่นที่ดีกว่านี้มาใช้ซ้ำสองจึงบอกพวกนางว่า
“หลินอัน เจ้ากลับห้องไปก่อน ส่วนท่านเจ้าอาณาจักร เอ้อร์หลางกับข้ามีเรื่องบางอย่างต้องพูดคุยกัน”
หลินอันทำแก้มป่อง “มีอะไรที่ข้าไม่รู้งั้นรึ?”
นางไม่ใช่เมียหรือแม่ที่ว่าง่าย นางเป็นผู้มีฝีมือในการสู้รบ
สวี่ชีอันไม่ได้บังคับให้นางออกไป เขามองจิ้งจอกเก้าหางด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านเจ้าอาณาจักร ท่านยังต้องออกทะเลไปกำราบเหล่าลูกหลานเทพมารในระดับเหนือมนุษย์อีก ยิ่งมากก็ยิ่งดี”
จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า
“เมื่อฮวงตื่น เขาจะไปกำราบลูกหลานเทพมารโพ้นทะเลและตอบโต้แผ่นดินใหญ่จิ่วโจวเลยรึ?”
คุยกับคนฉลาดก็สะดวกอย่างนี้แหละ…สวี่ชีอันพูดต่อว่า
“หากพวกเขาไม่เต็มใจยอมจำนน ก็ฆ่ามันทิ้งซะให้หมดจะได้ไม่เหลือใครไว้ข้างหลัง”
จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“แม้ต่อหน้าเขาอาจยอมจำนน เขาก็อาจทรยศเมื่อถึงเวลาเช่นกัน หากไม่มีความสนใจร่วมกันหรือนึกอยากสนับสนุนจริงๆ ลูกหลานเทพมารก็อาจไม่ภักดีต่อข้าหรือต้าฟ่งเลย”
“เมื่อถึงเวลาที่ฮวงตื่น พวกเขาอาจคิดยอมแพ้หรือไม่ก็หักหลังเรา”
สวี่ซินเหนียนส่ายหัว
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น เพียงแค่กำราบแล้วให้พวกนั้นอพยพไปอยู่ไกลๆ ก็พอ”
“โพ้นทะเลกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ฮวงย่อมไม่เสียเวลาค้นหากำราบแน่เพราะมันไม่ได้คุ้มค่าอะไร แต่ถ้าลูกหลานเทพมารพวกนั้นเข้าร่วมสงครามด้วย พวกเขาจะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงกับพวกเรา”
“สำหรับฮวงแล้ว คู่ต่อสู้ของเขาคือพวกระดับสุดยอดคนอื่นๆ ลูกหลานเทพมารเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
สวี่ชีอันพูดเสริมว่า
“เจ้าอาจให้เหตุผลว่า เมื่อฮวงตื่นขึ้น เขาจะกลืนกินลูกหลานเทพมารระดับเหนือมนุษย์ทั้งหมด เรื่องจริงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ลูกหลานเทพมารโพ้นทะเลระลึกถึงความกลัวและความอัปยศ เมื่อครั้งที่ถูกฮวงครอบงำได้”
ขั้นตอนต่อไปคือการปรึกษาหารือในรายละเอียด ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่เรื่องการพาซุนเสวียนจีไป แต่ยังมีเรื่องการสร้างค่ายกลส่งตัวเพิ่มด้วย จิ้งจอกเก้าหางจะได้ไปกลับจิ่วโจวอย่างสะดวกรวดเร็วไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางในทะเลอันกว้างใหญ่
เช่นเดียวกับการลงมือสังหารลูกหลานเทพมารที่ไม่ให้ความร่วมมือทันที ต้องไม่มีใครใจอ่อน
โดยให้คำมั่นสัญญาว่า ในอนาคตลูกหลานเทพมารจะได้กลับมาอยู่ในจิ่วโจวอีกครั้ง
สถาปนาอาณาจักรลูกหลานเทพมารและเกื้อหนุนลูกหลานเทพมารผู้ทรงพลังระดับเหนือมนุษย์ขึ้นเป็นผู้นำ และอื่นๆ อีก
หลินอันยืดเอว นั่งตัวตรงและตั้งใจฟัง แม้ความจริงแล้วนางจะไม่เข้าใจอะไรเลย จนกระทั่งจิ้งจอกเก้าหางจากไป นางจึงได้แน่ใจว่าสามีนางมาเพื่อพูดเรื่องภารกิจจริงๆ
…
“องค์หญิง!”
เย่จีตามจิ้งจอกเก้าหางมาทัน จึงรีบโค้งคำนับและกระซิบว่า
“เยวี่ยจีพลาดท่าตอนท่านออกทะเล”
จิ้งจอกเก้าหางตอบกลับว่า “อืม”
“ข้าได้เลื่อนเป็นขั้นหนึ่งตอนอยู่โพ้นทะเลและได้ปลุกแก่นแท้จิตวิญญาณให้ตื่นขึ้น แต่เมื่อข้าเผชิญหน้ากับฮวง ข้าก็ย่อมต้องตัดหางเพื่อเอาชีวิตรอด”
นางสง่างามและแข็งแกร่งยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่จี แต่หมดท่าเมื่อเผชิญเสน่ห์สุดลุ่มหลงของสวี่ชีอัน นางพูดจาใจเย็น
“ไม่ใช่แค่เจ้า พี่สาวน้องสาวแปดนางของเจ้าคงต้องมีสักวันที่คนใดคนหนึ่งสุ่มเสี่ยงพลาดท่า”
“เมื่อมหาเคราะห์มาถึง ข้าจะไม่มีความเมตตาให้พวกเจ้าคนใดเลย เข้าใจหรือไม่”
จิ้งจอกฟ้าเก้าหางขั้นหนึ่งมีเก้าชีวิต เมื่อทั้งเก้าชีวิตหมดไป นางก็พินาศเช่นกัน
แต่ก่อนหน้านั้นนางจะไม่ยอมตาย แม้เจตจำนงส่วนตัวของจิ้งจอกเก้าหางก็ไม่อาจทำให้เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งการตัดหางเอาชีวิตรอดนั้นเป็นความสามารถติดตัว เมื่อใดที่นางตายไปอีกครั้ง หางของนางก็จะถูกตัดออกอีกหนึ่งหาง
“เย่จีเข้าใจดีว่ามันเป็นโชคชะตาของเราที่ต้องตายเพื่อองค์หญิงของเรา” เย่จีเหลือบมองนางและหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิงของสวี่หลาง…”
นางปีศาจผมขาวขมวดคิ้วและเอื้อนออกมาเป็นเพลง
“แน่นอนว่าท่านเจ้าอาณาจักรของเจ้าไม่ชมชอบคนเจ้าชู้ เพราะเรื่องที่น่ารำคาญคือเขาพยายามรบกวนข้าทุกวิถีทางและใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าเขาเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเพื่อทำหลายอย่างกับข้า”
“อืม ท่านเจ้าอาณาจักรของเจ้ามาที่จวนสกุลสวี่ในครั้งนี้เพียงเพื่อเตือนเขาว่าปัญหายังมีอยู่”
“เกรงว่าเขาจะพยายามเข้าใจท่านอยู่เสมอ”
เย่จีเม้มปากตัวเอง
“ถ้าเขายืนกรานให้เจ้าคิดเองล่ะ”
จิ้งจอกเก้าหางถามอย่างอดไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ทำได้เพียงถอยทีละก้าวเท่านั้น ใครกันนะที่ทำให้เขาเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว?”
‘แน่นอนว่าท่านนั่นแหละที่พยายามหลอกเขา ท่านรังแกคนสัตย์ซื่ออยู่มิใช่หรือ?’…เย่จีบ่นอยู่ในใจ นางจะเล่าเรื่องไม่ดีขององค์หญิงให้สวี่หลางฟังเองในภายหลัง
‘เกรงก็แต่ว่านางจะพาน้องสาวเจ็ดนาง ไม่สิ น้องสาวหกนางมาประชันกับข้าเพื่อบุรุษผู้นี้เท่านั้น’
ในห้องโถงด้านในสวี่ชีอันเลิกคิ้วให้น้องชายขณะบอกว่า
“เมื่อศัตรูดุร้ายมารวมกัน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งมิตรแยกศัตรูให้ชัดเจนและหาทางเอาชนะทีละคน กลยุทธ์ทรมานร่างกายตนเป็นวิธีที่ดี กลยุทธ์ทรมานร่างกายของบุรุษก็เหมือนกลยุทธ์สตรีร้องไห้สร้างปัญหาและแขวนคอตัวเอง”
“ผิดพลาดทั้งเพ”
สวี่ซินเหนียนเยาะเย้ย
“ซ่อนได้สักพักแต่ซ่อนไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก พี่สะใภ้ของข้าทุกคนล้วนสงสัย”
“ดังนั้นเราจึงต้องแบ่งศัตรูออกไปให้ชัดเจน” สวี่ชีอันลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรสักคำแล้วเดินไปที่ห้องอ่านหนังสือ
วันนี้เป็นวันพักผ่อนของสวี่ซินเหนียน เขาไม่มีอะไรทำจึงตามไปด้วย
สวี่ชีอันกางกระดาษแล้วออกคำสั่ง
“เอ้อร์หลาง ฝนหมึกให้พี่ใหญ่ที”
สวี่ซินเหนียนพ่นหมึกและฝนหมึกอย่างเป็นการเป็นงาน
สวี่ชีอันจุ่มพู่กันลงในหมึกแล้วเขียนว่า
“ข้าไปโพ้นทะเลได้ครึ่งเดือน ข้าคิดถึงหลินอันเมียข้าเหลือเกิน เป็นบ่าวสาวข้าวใหม่ปลามันไม่ทันไรก็ต้องออกทะเลไปเสียแล้ว ทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพังในห้องนอนว่างเปล่าของข้า ข้ารู้สึกผิดจนแทบทนไม่ได้ ยังได้ยินเสียงและรอยยิ้มของเจ้าอยู่ทุกที่ทุกวันทุกคืน…”
‘ไร้ยางอาย!’…สวี่ซินเหนียนวิพากษ์วิจารณ์ในใจและชี้แนะด้วยสีหน้าท่าทางคงเดิม
“พี่ใหญ่ ท่านเขียนผิดแล้ว ยังได้ยินเสียงและรอยยิ้มใช้บรรยายถึงคนที่ตายไปแล้ว ท่านควรใช้คำว่า ยังนึกถึงเสียงและรอยยิ้มเพื่อแสดงถึงตัวตนของคนที่ท่านนำเสนอ”
หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว เขาก็ถูกสวี่ชีอันเขกหัว
“ช่างมันสิ!”
เจ้าก็คิดว่าข้าเป็นจอมยุทธ์ต่ำทรามจริงๆ รึ?
“ถึงอย่างไรข้าก็รู้ว่าหลินอันเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ เข้ากับท่านแม่และอาสะใภ้ที่บ้านได้ดี ข้าเลยไม่ค่อยเป็นห่วง ออกทะเลครั้งนี้ ถ้าข้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ต้าฟ่งคงตกอยู่ในอันตราย…”
แล้วก็มีจดหมายฉบับที่สอง สามและสี่ตามมา…
พอเขียนเสร็จ สวี่ชีอันก็ใช้พลังปราณทำให้หมึกแห้ง จากนั้นหยิบขี้เถ้ากระถางธูปออกมาเช็ดข้อความ
“สิ่งนี้สามารถกลบกลิ่นหมึกได้ ไม่เช่นนั้นจะสังเกตเห็นชัดเจนทันทีที่ได้กลิ่น เจ้าควรเรียนรู้เอาไว้” เขาออกปากแนะนำน้องชายคนเล็ก
‘น้องชายท่านไม่เรื่องเยอะเท่าท่านหรอก’…สวี่เอ้อร์หลางพูดในใจว่าหัวใจดวงเดียวของข้าจะทุ่มเทให้ซือมู่ผู้เดียว
ทันทีที่เขาบ่นในใจเสร็จ เขาก็เห็นพี่ใหญ่เขียนจดหมายฉบับที่สองถึงสมาชิกในครอบครัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...