ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 895

บทที่ 895 กำเนิด

……….

ณ จวนสกุลสวี่

ในห้องศึกษา สวี่ชีอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ วางนิ้วลงบนหน้าโต๊ะเบาๆ และมองดาบสลักที่ลอยร่อนอยู่ในห้อง

“หนึ่งข้อกำหนด สองเงื่อนไข…”

เขากล่าววลีนี้ซ้ำ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกกระจ่างแจ้ง ก่อนหน้านี้นานมากๆ สวี่ชีอันเคยฉงนใจมาก่อนว่า ชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งสูญหายจึงส่งผลให้พลังแผ่นดินเสื่อมถอย เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติในภายหลัง

ท่านโหราจารย์เป็นโหรขั้นหนึ่ง อายุเท่าบ้านเมือง เดิมต่อให้เอาโชคชะตาคืนมา ต้าฟ่งก็คงสงบสุขดังเดิม แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น

ถึงตอนนี้จึงเข้าใจ สิ่งที่ท่านโหราจารย์วางแผนตั้งแต่แรกเริ่มไม่ใช่ราชสำนักเพียงกระจ้อยร่อย

สิ่งที่เขาต้องการคือเทพยุทธ์ สิ่งที่เขาต้องการค้ำจุนคือผู้เฝ้าประตู

หลังจากรู้คำตอบ แผนการที่ยากจะเข้าใจมากมายในอดีตของท่านโหราจารย์ก็แจ่มชัดขึ้นมาอย่างสมเหตุสมผล

หมากกระดานนี้เชื่อมโยงทั่วทุกด้าน…สวี่ชีอันเก็บคืนความคิดที่แผ่ออกไป และเพ่งสมาธิกลับไปที่ ‘หนึ่งข้อกำหนดและสองเงื่อนไข’ อีกครั้ง

“ผู้อาวุโส ในตัวข้ามีชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของต้าฟ่ง มีโชคชะตาที่พระพุทธเจ้าหลงเหลือไว้เมื่อชาติปางก่อน มีโชคชะตาของพุทธมหายาน ครบครันสำหรับข้อกำหนดนี้หรือไม่”

เขาขอคำชี้แนะอย่างถ่อมใจ

“ข้าเป็นเพียงดาบสลักเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง”

ดาบสลักเรียบง่ายโบราณที่ห่อหุ้มด้วยลำแสงใสเอ่ยอย่างขอไปทีว่า

“ผู้ที่ฟาดฟันนับพันครั้งก็ไม่อาจสางแค้นอย่างปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ คงจะไม่เอ่ยสิ่งเหล่านี้กับข้า”

เห็นชัดเลยว่าท่านขี้เกียจเข้าไปพัวพัน แม้ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เอ่ย แต่ท่านเป็นดาบสลักที่อยู่มาหนึ่งพันสองร้อยกว่าปีแล้ว ควรจะมีสิ่งที่ได้พบเห็นด้วยตนเองสิ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า

“ผู้อาวุโสเขียนหนังสือชีวประวัติตามปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ วิชาความรู้ต้องลึกซึ้งอย่างมากแน่นอน”

ดาบสลักพอได้ฟังก็เกิดความสนใจขึ้นมาในฉับพลัน แล้วห้อยลงตรงหน้าสวี่ชีอันพร้อมเอ่ยว่า

“นั่นมันแน่นอน วิชาความรู้ปู่ไม่ได้ด้อยไปกว่าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย แต่น่าเสียดายที่เขาเปลี่ยนไป เริ่มริษยาความสามารถด้านการประพันธ์ของข้า ทั้งยังผนึกข้าอีก”

“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”

สวี่ชีอันถือโอกาสเอ่ย

“ขอกล่าวตามจริง ข้าวางแผนจะเขียนหนังสือชีวประวัติและเขียนหนังสือรวมกลอนเพื่อสืบทอดต่อไปหลังมหาเคราะห์”

“แต่การเขียนหนังสือเป็นการใหญ่ และหลานความรู้ตื้นเขิน…”

ดาบสลักเรียบง่ายโบราณแผ่แย้มแสงใสบาดตา เอ่ยอย่างไม่รีรอว่า

“ข้าจะสอนเจ้าเอง”

สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า อาวุธศักดิ์สิทธิ์มีอารมณ์ฮึกเหิม

สวี่ชีอันรีบลุกขึ้นน้อมคำนับอย่างตื่นตระหนกด้วยความดีใจ

“เช่นนั้นก็ขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

“เอ่อ แต่ขณะนี้มหาเคราะห์กำลังจะมาถึง หลานไร้กะจิตกะใจเขียนหนังสือ ค่อยว่ากันหลังรับมือมหาเคราะห์น่าจะดีกว่า ดังนั้นผู้อาวุโสท่านจึงต้องช่วย”

ดาบสลักไตร่ตรองเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักคิด มอบสิ่งตอบแทนที่พึงพอใจของข้าให้ ปู่ขอเอ่ยสองสามเรื่อง”

มันเอ่ยเข้าประเด็นหลักโดยไม่รอให้สวี่ชีอันเอ่ยขอบคุณ

“อย่างแรกข้อกำหนดควบรวมโชคชะตา ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ หลังผ่านยุคเทพมารและสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจ โชคชะตาฟ้าดินเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด การที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญรุ่งเรืองจึงเป็นไปตามแนวโน้ม”

“และที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นดินแดนต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ราชวงศ์ของที่ราบลุ่มภาคกลางก็ควบรวมโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มากที่สุด เช่นนั้นระดับเหนือมนุษย์จึงต้องตอดกลืนที่ราบลุ่มภาคกลางเพื่อแย่งชิงโชคชะตา”

เรื่องเหล่านี้ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านสาธยาย…สวี่ชีอันแขวะในใจ

“แม้เจ้าจะมีชะตาบ้านเมืองเหมือนราชวงศ์ที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่หากเทียบกับพระพุทธเจ้าและพ่อมดแล้วเป็นเช่นไร” ดาบสลักเอ่ยถาม

สวี่ชีอันใคร่ครวญครู่หนึ่งอย่างจริงจัง “หากเทียบกับพวกเขา โชคชะตาที่ข้าสะสมคงยังไม่เพียงพอ”

พระพุทธเจ้าควบรวมโชคชะตาของทั้งดินแดนประจิมทิศ เทพพ่อมดคงจะอ่อนแอ แต่ก็อย่าได้ดูแคลน เพราะว่าโชคชะตาของชายแดนตอนเหนือเป็นของเขาทั้งหมดแล้ว

นอกจากนี้ โชคชะตาเป็นสิ่งที่อาจมีการเก็บด้วยกลวิธีพิเศษ

ยากที่จะกล่าวว่าในมือของพวกเขาไม่มีโชคชะตาเพิ่มเติม

ดาบสลักเอ่ยถามอีกว่า

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องใช้โชคชะตาเท่าใดจึงสามารถสังหารเทพยุทธ์ระดับบรรลุธรรมได้”

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบ แต่วินิจฉัยในใจ โชคชะตาที่เขาควบรวมไว้ในตัวเหล่านี้อาจไม่มาก

ดาบสลักที่เรียบง่ายและโบราณระยับด้วยแสงใสอย่างคงที่ ถ่ายทอดความคิดออกมาว่า

“ปู่เองก็ไม่แน่ใจว่าเทพยุทธ์ต้องการโชคชะตาเท่าใด เพียงคาดการณ์ได้ประมาณหนึ่ง ทางที่ดีเจ้ายึดเอาโชคชะตาจากต้าฟ่งต่อไป มากย่อมดีกว่าน้อยเสมอ”

เหตุผลก็คือเหตุผลนี้นี่เอง แต่ตอนนี้ท่านโหราจารย์ไม่อยู่ ข้าจะดูดซับชะตาของต้าฟ่งเช่นไร จริงสิ จ้าวโส่วเลื่อนขึ้นขั้นสองแล้ว…สวี่ชีอันเอ่ยถามว่า

“ลัทธิขงจื๊อสามารถช่วยข้ารับโชคชะตาได้หรือไม่”

ลัทธิขงจื๊อเป็นระบบที่พบได้น้อยในระบบหลักต่างๆ และสามารถควบคุมโชคชะตาได้

“ฝันไปเถอะ อย่าได้คิดเลย” ดาบสลักตอบปฏิเสธเสียงแข็ง

“ลัทธิขงจื๊อจำเป็นต้องพึ่งพาโชคชะตาบำเพ็ญพรต แต่วรยุทธ์หลักก็คือการแก้ไขกฎเกณฑ์ และไม่ใช่ควบคุมโชคชะตา”

“ผลกระทบง่ายๆ อาจทำได้ แต่การรับโชคชะตาของต้าฟ่งและนำมันใส่เข้าไปในร่างกายของเจ้า มันเป็นเรื่องที่มีเพียงโหนขั้นสองที่ทำได้”

หากเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงรอให้ศิษย์พี่ซุนเลื่อนขึ้นขั้นสอง แต่การเลื่อนจากขั้นสามขึ้นขั้นสองนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก ข้าทำได้เพียงหลับนอนกับฮว๋ายชิ่งเพื่ออาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า…สวี่ชีอันพลางทอดถอนใจอย่าง ‘จนปัญญา’ พลางเอ่ยว่า

“เช่นนั้นหากได้รับการยอมรับจากใต้หล้าจะเป็นเช่นไร”

แสงใสกระจ่างของดาบสลักกระเพื่อม ถ่ายทอดความคิดที่แฝงด้วยความขบขันว่า

“นับตั้งแต่เจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือ ทุกสิ่งที่เจ้าทำ ล้วนถูกท่านโหราจารย์ดูอยู่ที่นี่ ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเขาเลือกเจ้า และไม่ใช่มูลเหตุของการดึงโชคชะตาออกมาบ่มเพาะผู้อื่น”

ชาวโลกล้วนรับรู้คุณูปการอันเกริกก้องของสวี่ชีอัน ล้วนรับรู้ว่าฆ้องเงินสวี่ให้ค่าคำมั่นสัญญาเท่าทองพันชั่ง

รู้ว่าเขาทำเพื่อประชาชนเป็นหลัก กล้าสังหารจักรพรรดิเพื่อราษฎร

ตั้งแต่เขาเดินเส้นทางนี้มา คุณงามความดีต่างๆ ที่ทำ ได้รับหนึ่งในคุณสมบัติของการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์อย่างไม่รู้ตัวมานานแล้ว

สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกเกินความคาดหมาย และเอ่ยถามคำถามที่สอง

“เช่นนั้นวิธีการได้รับการยอมรับจากฟ้าดินล่ะ”

ดาบสลักเงียบไปนานมาก ก่อนเอ่ยว่า

“ปู่ไม่รู้ คำอธิบายการได้รับการยอมรับจากฟ้าดินคลุมเครือเกินไป เกรงว่ากระทั่งปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เองก็คงไม่ชัดแจ้งนัก”

“แต่ข้าคาดเดาได้อย่างหนึ่ง ระดับเหนือมนุษย์อยากแทนที่กฎแห่งสวรรค์ บางที หลังจากเจ้าตัดสินใจเป็นศัตรูกับระดับบรรลุธรรม และประมือกับพวกเขาอย่างซึ่งๆ หน้า เจ้าอาจได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน”

สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ และเอ่ยในทันทีว่า

“ข้าเองก็มีความคิดอย่างหนึ่ง”

เขาบอกเรื่องดาบไท่ผิง

“ท่านโหราจารย์เคยกล่าวว่า นั่นเป็นอาวุธของผู้เฝ้าประตู เป็นคุณสมบัติที่ข้ากลายเป็นผู้เฝ้าประตู”

ดาบสลักครุ่นคิด ก่อนเอ่ยตอบว่า

“เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงรอให้มันตื่นแล้ว”

เมื่อคุยเรื่องสำคัญจบ ดาบสลักก็บินออกไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้างโดยไม่ได้อยู่ต่อนานอีก

สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนบอกเงื่อนไขสองข้อในการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ให้สมาชิกพรรคฟ้าดินรู้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง