“ข้า ข้า…”
ใบหน้าของสาวน้อยแดงขึ้นทันที นางยิ่งเขินอายมากขึ้นเมื่อครอบครัวมองมา ดวงตากลมโตรูปอัลมอนด์คู่สวยปกคลุมไปด้วยละอองน้ำเปล่งประกายในแสงเทียน
แม้ว่าข้าจะค่อนข้างชอบพี่สาว แต่สาวน้อยที่ต่อยหมัดเดียวก็ร้องไห้ได้เป็นเวลานานนั้นน่ารังแกมากกว่า… สวี่ชีอันคิดในใจ
สวี่หลิงเยวี่ยพองแก้ม นางเงยหน้าขึ้นด้วยความพ่ายแพ้และสบตากับสวี่ชีอัน “ข้าแค่อยากรู้ว่าพี่ใหญ่คลี่คลายคดีจากสำนวนคดีได้อย่างไร”
สวี่ซินเหนียนที่แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่มีตัวตนก็ไม่สามารถแสร้งทำได้อีกต่อไป เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ
เขาภูมิใจในความฉลาดของตัวเองและเขาก็ได้อ่านสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว แต่ค้นคว้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีเบาะแสอะไร และในวันนั้นหลังจากที่สวี่ชีอันขอสำนวนคดีจากเขาก็สามารถคลี่คลายคดีได้ทันที
อาสะใภ้ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร แต่ตะเกียบที่คีบกับข้าวหยุดลงและไม่ได้เคี้ยวอาหารต่อ
“ไม่มีอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบบนโลก เว้นแต่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ คดีที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วนสามารถหาเบาะแสได้” สวี่ชีอันกล่าว
สวี่ซินเหนียนอดไม่ได้ที่จะยืดตัวตรงและฟังอย่างตั้งใจ
“ประการแรก ข้าสังเกตเห็นปัญหาจากเส้นทางที่คุ้มกันเงินภาษีกับน้ำหนักของเหรียญเงิน…”
สวี่ชีอันเล่ากระบวนการอนุมานของตัวเองอีกครั้ง
ยิ่งสวี่ซินเหนียนได้ฟังมากเท่าไร ดวงตาของเขาก็ยิ่งเปล่งประกายราวกับได้รับการไขข้อข้องใจจากอาจารย์ของเขาที่โรงเรียนเอกชน
มือของเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำแน่น
หลังจากที่สวี่ชีอันพูดจบ ใบหน้าของสวี่เอ้อร์หลาง[1]ก็แสดงออกอย่างสงบนิ่ง “ก็ไม่เลว”
ลูกชายคนรองของบ้านสกุลสวี่มักจะปากไม่ตรงกับใจ และคนในบ้านก็คุ้นเคยกับมันมานานแล้ว
น้องสาวคนสวยวัยสิบหกปีก้มหน้าลงซ่อนความเทิดทูนในดวงตาของนาง
สวี่ผิงจื้อตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น ใช้ภาษาสแลงสบถด่าออกมา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่ได้สังเกตเลย”
สวี่ซินเหนียนเหลือบมองพ่อของเขาแล้วพูดในใจ ‘ถ้าท่านสังเกตสิแปลก’
สวี่ชีอันเหลือบมองอารอง นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘พ่อมิไร้อารยธรรม โกหกคำเดียวไปทั่วโลก[2]’
อารองเป็นทหาร ระดับการศึกษาจึงจำกัดอยู่ที่การเขียนชื่อของตัวเองเท่านั้นและลายมือยังคดเคี้ยวเหมือนไก่เขี่ยอีก
“เจ้าคนหยาบช้า! ชั่งน้ำหนักท่านก็ทำไม่ได้เชียวเหรอ” อาสะใภ้ตำหนิสามีของตัวเอง
สวี่ชีอันถามว่า “พวกเขาสวมอุปกรณ์ป้องกันมือตอนที่นับเงินหรือไม่”
อารองสวี่นึกย้อนครู่หนึ่งและพูดอย่างประหลาดใจ “เหมือนว่าจะสวม เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เป็นโลหะโซเดียมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ สวี่ชีอันมองเขาเงียบๆ “ไม่บอกในคำให้การได้อย่างไร”
“เรื่องเล็กน้อย ไม่รู้จะกล่าวไปเพื่ออะไร” เมื่อพูดถึงตรงนี้ อารองสวี่ก็พูดไปด่าไป “ต้องโทษสกุลลวี่ที่ส่งน้ำผึ้งผสมดอกหอมหมื่นลี้มาให้ข้าในตอนนั้น เจ้าก็รู้ว่าข้าดื่มเก่งแค่ไหน ข้าก็เลยดื่มไปนิดหน่อยและไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ มากนัก เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเพื่อนร่วมทีมที่โง่เขลาอย่างหมูของท่าน… หากบนสำนวนคดีมีเรื่องนี้ ข้าสามารถวิเคราะห์ความจริงของคดีได้เร็วยิ่งขึ้น คุ้มไหมกับเซลล์สมองมากมายที่ตายไป… สวี่ชีอันถอนหายใจ
ในมุมมองของอารองบางทีเรื่องนี้กับคนอื่นสวมชุดอะไรหรือหวีผมทรงอะไรอาจจะเหมือนกัน
เขาไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นจุดสังเกตที่น่าสงสัย
“หากเป็นเช่นนั้น เป็นไปได้มากว่าสกุลลวี่ที่ท่านพ่อพูดถึงจะเป็นคนที่ใส่ร้ายท่านพ่อ” สวี่ซินเหนียนพูดตรงประเด็น
“เป็นเพราะข้าสับสนจึงเกือบจะทำร้ายทั้งครอบครัว” สวี่ผิงจื้อเศร้าใจขึ้นมาทันที “หนิงเยี่ยน ปีนั้นข้าสู้หลังชนฝากับพ่อของเจ้าใน ‘สงครามซานไห่’ ลั่นวาจาว่าต้องรอดไปด้วยกัน ไต่เต้าจนประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ข้ารอดมาได้ แต่พ่อของเจ้าสู้จนตัวตายในสนามรบ หากพี่ใหญ่ไม่เข้ามาขวางดาบให้ข้า คนที่ตายก็คงเป็นข้า เวลานั้นข้าคิดเพียงว่าหากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต”
ไม่อาจเป็นเป้าปืนใหญ่ได้อีก
“ดังนั้นข้าจึงให้ลูกชายไปเรียนและเลือกให้เจ้าฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ที่จริงก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่”
อาสะใภ้กลอกตาและพูดว่า “ใช่ ใจท่านล้วนอยู่กับหลานชายสุดที่รัก”
เงินมากกว่าร้อยตำลึงต่อปี
“ฟังจากที่อาสะใภ้พูด เอ้อร์หลางไม่ใช่ลูกชายสุดที่รักหรอกหรือ” สวี่ชีอันสาบานว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะพูดอย่างแน่นอน แต่เป็นสัญชาตญาณที่อยู่เหนือสมอง
เจ้าของร่างเดิมเคียดแค้นอาสะใภ้มาก
“เจ้าเด็กแสบนี่ เจ้าพูดจาเช่นนี้มีเจตนาอะไร” อาสะใภ้ตบโต๊ะด้วยความโกรธ
สวี่เอ้อร์หลางและสวี่หลิงเยวี่ยก้มหน้าก้มตากินข้าวราวกับว่าพวกเขาเคยชินอยู่แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง