ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 10

ท้องฟ้ายามราตรีเปรียบเสมือนผืนน้ำที่ประดับประดาด้วยดวงดาว

หอดูดาวเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองจิงจ้าวแห่งต้าฟ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักโหราจารย์

หญิงสาวในชุดสีเหลืองค่อยๆ ก้าวขึ้นไปอย่างแผ่วเบา เมื่อผ่านชั้นเจ็ดไปนางได้ยินเสียงกึกก้องดังมาจากห้องเล่นแร่แปรธาตุ

กลุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวกำลังโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง “เพราะเหตุใดยังพลาดอีก ทั้งที่เป็นขั้นตอนง่ายๆ”

“อย่างที่ข้ากล่าว ปริมาณเกลือที่เจ้าใส่ลงไปมันผิดพลาด”

“ไม่ใช่ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นน้ำ”

“หรือจะเป็นไฟ ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าเห็นศิษย์พี่ว่านเผาเกลือลงไป”

“ยากยิ่งนัก การเล่นแร่แปรธาตุเปลี่ยนเกลือให้กลายเป็นเงินยากเกินไป ข้าทำไม่ได้”

หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองนามไฉ่เวยบ่นพึมพำ “คนพวกนี้ยังพยายามหลอมเงินปลอมอยู่สินะ”

สองวันก่อนนางนำเรื่องราวของการเปลี่ยนเกลือให้กลายเป็นเงินไปเล่าให้เหล่าศิษย์พี่ที่สำนักโหราจารย์ฟัง ทว่าพวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดสักเท่าไร

‘เกลือน่ะเหรอจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ แม้แต่เด็กสามขวบยังไม่เชื่อเลย’

เมื่อไม่นานมานี้คดีเงินภาษีได้ถูกคลี่คลายและฝ่าบาททรงรู้สึกว่าเงินปลอมนั้นทรงพลังและน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง จึงทรงมีรับสั่งให้สำนักโหราศาสตร์ดูแลจัดการด้านการหลอมเงินปลอม

เป็นผลทำให้เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุของสำนักโหราศาสตร์ทำงานอย่างหนัก อุทิศตนทำงานหามรุ่งหามค่ำตามพร 996[1] เพื่อสนองพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ

จากสองวันก่อนจวบจนบัดนี้ พวกเขายังคงล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า

“ไฉ่เวย ศิษย์น้องไฉ่เวย” มีคนตะโกนเรียกนางด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ

ใบหน้าซีดเผือดหันกลับมาพร้อมกับปรากฏดวงตาเปล่งประกายขึ้นในทันใด

“ศิษย์น้องไฉ่เวย เงินปลอมเหล่านี้ทำขึ้นมาได้อย่างไร”

“ศิษย์น้องไฉ่เวย เจ้ามากับข้าสักประเดี๋ยว ช่วยข้าดูทีว่ามีข้อผิดพลาดตรงขั้นตอนไหน มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหลอมเงินปลอมได้สำเร็จ”

เขาพูดหว่านล้อมหญิงสาวในชุดกระโปรงเหลือง

ไฉ่เวยจึงต้องเข้าไปยังห้องเล่นแร่แปรธาตุเพื่อดูกระบวนการหลอมเงินปลอมของเหล่าศิษย์พี่

“ล้มเหลวอีกจนได้” นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวที่ทำงานอยู่ในห้องคร่ำครวญ

“ศิษย์น้องไฉ่เวย เจ้าว่ามันผิดพลาดตรงไหนหรือ” เหล่าคนชุดขาวแสดงท่าทีขอคำปรึกษาอย่างนอบน้อมถ่อมตน

‘ไม่มีข้อผิดพลาดอันใด ในตอนแรกข้าก็ใช้วิธีหลอมแบบเดียวกัน…’

ฉู่ไฉ่เวยครุ่นคิดแล้วจึงตอบ “นี่คือการเล่นแร่แปรธาตุที่สืบทอดมาแต่โบราณ ทั้งลึกซึ้งและคลุมเครือ มิใช่ว่าอยากเรียนก็จะเรียนได้ ต้องเรียนรู้อย่างลึกซึ้งจึงจะหยั่งรากลึก ข้าจะสอนสูตรให้เจ้าบทหนึ่ง จงจำให้ขึ้นใจ”

เหล่าศิษย์พี่มีท่าทีตั้งใจฟัง

“ไฮโดรเจน ฮีเลียม ลิเทียม เบริลเลียม โบรอน คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน ฟลูออรีน นีออน โซเดียม แมกนีเซียม อะลูมิเนียม ซิลิคอน และฟอสฟอรัส”

ฉู่ไฉ่เวยดึงพลังลมปราณไปที่จุดตันเถียน[2] นางกล่าวสูตรที่น่าอัศจรรย์นี้ออกมาทีละคำ

“สูตรนี้ประนีประนอมแล้วหรือ” เหล่าศิษย์พี่ไม่เข้าใจแต่รู้สึกว่าสุดยอด[3] สิ่งที่นางพูดพวกเขาฟังออกทุกคำ ทว่ากลับรู้สึกสับสนเมื่อเอามารวมกัน

‘ข้าก็ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้คืออะไร…’ ฉู่ไฉ่เวยแสร้งยิ้มอย่างมีเงื่อนงำโดยไม่เอ่ยคำใด

“ปัญญาล้ำเลิศๆ ผู้ที่เขียนสูตรเล่นแร่แปรธาตุนี้ขึ้นมาต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้” ศิษย์พี่ชุดขาวท่านหนึ่งถอนหายใจ

‘ปัญญาล้ำเลิศที่ไหนกัน ศิษย์พี่อย่าพูดเพ้อเจ้อ!’ รอยยิ้มของฉู่ไฉ่เวยยังคงไม่เปลี่ยน

“ศิษย์น้องไฉ่เวย ผู้ใดบอกสูตรนี้แก่เจ้า หรือศิษย์น้องได้พบกับปรมาจารย์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุ จึงขอคำแนะนำจากท่านใช่หรือไม่”

ฉู่ไฉ่เวยกล่าวในใจ ‘ถามได้ดี’ นางจะได้ปัดความรับผิดชอบออกไป

“เขาผู้นั้นมีนามว่าสวี่ชีอัน เป็นหลานชายของสวี่ผิงจื้อที่เป็นขุนนางชุดเขียวระดับเจ็ดของกองดาบหลวง พวกเจ้าแค่ตามหาเขาก็พอ”

เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นทหาร เหล่าคนชุดขาวเริ่มไม่พอใจ

“น่าขันสิ้นดี สำนักโหราจารย์อันมีเกียรติและมากด้วยพรสวรรค์ แค่เรื่องหลอมเงินปลอมยังต้องไปถามคนนอกเช่นนั้นหรือ”

“ทั้งยังเป็นทหารอีก”

“หากแพร่งพรายออกไปคงเป็นเรื่องน่าขัน”

‘เนื่องจากระบบการปฏิบัติที่แตกต่างกันจึงเกิดเป็นวงจรการดูถูกเหยียดหยามที่น่าสนใจยิ่ง

ลัทธิเต๋าดูหมิ่นศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธก็ประณามการดูหมิ่นนั้น

โหรดูหมิ่นพ่อมด พ่อมดดูหมิ่นหมอผี และหมอผีก็ดูหมิ่นพวกโหรเช่นเดียวกัน

ต่อมาทั้งลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ โหร พ่อมดและหมอผีต่างร่วมกันดูหมิ่นทหาร

สำหรับลัทธิขงจื๊อนั้นข้าต้องขออภัย ด้วยความเคารพพวกเจ้าทุกคนมันเศษสวะ’ ทว่าลัทธิขงจื๊อในยุคสมัยใหม่กลับอ่อนแอลง

“มาเถิดศิษย์น้องไฉ่เวย โปรดชี้แนะพวกข้าด้วยเถิด”

ไฉ่เวยส่งเสียง ‘อืม’ “คราหน้าข้าจะชี้แนะพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

นางเดินฝ่ากลุ่มศิษย์พี่ชุดขาวออกไป จากนั้นจึงก้าวขึ้นบันไดต่อไป

ความจริงแล้วนางก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

คราวก่อนที่หน่วยงานราชการสามารถหลอมเงินปลอมได้สำเร็จเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นไฉ่เวยได้ทำการทดลองขึ้นอีกครั้งตามลำพัง ทว่ากลับล้มเหลว

กระบวนการก่อนหน้านี้ถูกทำซ้ำอย่างสมบูรณ์แต่มันล้มเหลว นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

หลังคาของหอดูดาวไม่ใช่ชายคารูปแบบธรรมดา แต่เป็นฐานทรงแปดเหลี่ยมที่มีความหมายตรงกับสัญลักษณ์ปากั้ว[4] หรือแปดทิศ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าแท่นแปดทิศ

ตรงขอบของแท่นแปดทิศปรากฏร่างชายชราในชุดขาวเอนกายอยู่หน้าโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา มืออีกข้างหนึ่งใช้พิงศีรษะ ท่าทางมึนๆ มองลงไปยังเมืองหลวงเบื้องล่าง

หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองฉลาดพอที่จะไม่รบกวนเขา ‘ท่านอาจารย์ไม่ทำงานในวันธรรมดา เขาชอบนั่งดื่มสุราอยู่บนแท่นแปดทิศพลางชมวิวทิวทัศน์ และไม่ชอบให้ใครมารบกวน’

มือคว้าจอกเหล้าหรี่ตาและกล่าวว่าเขามองดูมนุษย์อย่างจดจ่อ

“ไฉ่เวยมาแล้วหรือ” ชายชราชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ท่านอาจารย์” หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองยิ้มแย้ม นางวิ่งเหยาะๆ ไปยืนตรงขอบแท่นแปดทิศ กระโปรงของนางพลิ้วไหวไปกับสายลม

“จักรพรรดิเฒ่าทรงประทานสิ่งใดเป็นของตอบแทน”

“เงินไม่กี่ร้อยตำลึงกับผ้าไหมไม่กี่ผืนเจ้าค่ะ” หญิงสาวในชุดกระโปรงเหลืองกล่าว “ท่านอาจารย์ แท้จริงแล้วเงินปลอมคือสิ่งใดกันแน่”

“อาจารย์ไม่รู้”

“บนโลกใบนี้ยังมีอะไรที่ท่านอาจารย์ไม่รู้ด้วยหรือเจ้าคะ”

“มากมายนักๆ” ชายชราชุดขาวหัวเราะฮ่าๆ และกล่าวว่า “อาจารย์ไม่รู้ว่าพวกโจรเมื่อสิบเก้าปีก่อนไปอยู่ที่ใด”

“ท่านมักพูดเสมอว่าหัวขโมยเมื่อสิบเก้าปีก่อนเป็นที่เกลียดชัง ทว่าท่านไม่บอกว่าพวกเขาเป็นใครและขโมยสิ่งใดไป”

ชายชราชุดขาวลุกขึ้นยืนบนแท่นแปดทิศและถอนหายใจ “ขโมยสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนหลอมเงินปลอมขึ้นมา”

สำนักโหราจารย์เป็นต้นกำเนิดของระบบโหร นักเล่นแร่แปรธาตุทั่วใต้หล้าต่างก็มีความเกี่ยวพันกับสำนักโหราจารย์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาจากสำนักโหราจารย์ก็ตาม

เบื้องหลังคดีเงินภาษีมีนักเล่นแร่แปรธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง และคนผู้นั้นได้พัฒนาสิ่งแปลกประหลาดนี้ขึ้นมา จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

“อาจารย์ทราบเรื่องนี้ดีเป็นแน่แท้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง