ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 11

การตรวจสอบข้าราชสำนักเป็นระบบการประเมินข้าราชสำนักต้าฟ่งที่จะดำเนินการทุกๆ สามปี โดยใช้ ‘สี่รูปแบบและแปดวิธี’[1] เป็นมาตรฐานของการเลื่อนขั้นและลดขั้น

ขุนนางที่ไม่ผ่านเกณฑ์จะถูกลดตำแหน่ง หรือถึงขนาดถูกลดขั้นเป็นสามัญชน

พอเรื่องเกี่ยวพันถึงอนาคตก็เข้าใจได้ง่ายแล้ว อีกฝ่ายยังมีญาติห่างๆ คนหนึ่งเป็นขุนนางใกล้ชิดอีก หากกลับลำมากล่าวโทษก็จบเห่แล้ว

คดีฆาตกรรมที่ค้างอยู่ในอำเภอฉางเล่อก็สามารถกลายเป็นสาเหตุให้ศัตรูทางการเมืองโจมตีได้

“ตายอย่างไร” สวี่ชีอันเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

“ไปเก็บค่าเช่าที่ชนบท กลับมาตอนกลางดึกก็เจอหัวขโมยอยู่ในลานบ้านตัวเองพอดี จากนั้นก็โดนฆ่า” สหายร่วมงานคนหนึ่งพูดเสียงเบา

“มีพยานหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ย

“ตอนที่ฮูหยินได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้วออกไปดู คนก็ตายอยู่ที่ลานบ้านแล้ว เราพบรอยเท้าที่กำแพงด้านนอก”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจเป็นศัตรูที่แสร้งทำเป็นขโมยแล้วก่อเหตุ” สวี่ชีอันรินชาให้ตนเอง เขาหยิบผลไม้แช่อิ่มสองสามชิ้นมาจากเพื่อนร่วมงานแล้วโยนลงไปในถ้วยชา

น้ำเสียงของเขาเหมือนยามที่คุยเรื่องคดีฆาตกรรมกับเพื่อนร่วมงานในสถานีตำรวจเมื่อชาติก่อน

“สอบถามฮูหยิน คนใช้และเพื่อนบ้านในละแวกนั้นแล้ว ช่วงนี้ผู้ตายไม่มีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด”

“ได้ถามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรึเปล่า”

“กองดาบบอกว่าคืนนั้นไม่มีคนน่าสงสัยอยู่ใกล้ๆ”

เมืองจิงจ้าวมีกำแพงสามแห่ง ได้แก่ กำแพงพระราชวัง เมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก

ถึงแม้เมืองชั้นนอกจะมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่เพราะไม่จำกัดช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ประตูเมืองจึงเปิดตลอดสิบสองชั่วยาม (1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง) ขอเพียงพวกพ่อค้ารายงานล่วงหน้าและถือหนังสือรับรองมาก็สามารถเข้าออกประตูเมืองได้อย่างอิสระ

ระบบนี้ยกระดับธุรกิจการค้าของเมืองจิงจ้าวและกระตุ้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างมาก

สวี่ชีอันพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าหากเป็นโจรก็น่าจะเป็นคนที่รู้จักถนนคังผิงดีประดุจนิ้วบนฝ่ามือ”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” เจ้าหน้าที่ทุกคนชะงัก

“คนร้ายเข้าออกจวนในยามกลางคืนได้โดยไม่ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพบเห็น แสดงว่าคงดูลาดเลามาก่อนและรู้ระเบียบเวรยามของกองดาบเป็นอย่างดี” สวี่ชีอันวิเคราะห์พลางคลำหาบุหรี่ในกระเป๋าตามนิสัยเดิม

เขาคลำเจอความว่างเปล่าด้วยความผิดหวัง

อดนึกถึงตอนเข้าเวรอยู่ที่สถานีตำรวจในสมัยก่อนไม่ได้ ตอนนั้นทุกคนจะนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มๆ สูบบุหรี่ไปพลางคุยเรื่องคดีไปพลาง

เพราะเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นพวกใกล้หมึกติดดำ[2] และติดบุหรี่

เพื่อนร่วมงานหลายคนตะลึง พากันพินิจมองสวี่ชีอัน

“เจ้าพูดมีเหตุผล”

“เหตุใดพวกเราจึงคิดไม่ถึง”

“หนิงเยี่ยน เจ้าติดคุกคราหนึ่งก็ฉลาดขึ้นมาเลย”

สมัยนี้ไม่มีการเรียนการสอนที่เป็นระบบ มือปราบจึงอาศัยประสบการณ์มาทำคดีล้วนๆ คนที่ผลงานดีที่สุดจึงจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้า

“พวกเจ้าคาดไม่ถึง แต่หัวหน้าหวังจะต้องคิดได้แน่ แล้วไปสอบถามทางฝั่งตะวันตกของเมืองหรือยัง” สวี่ชีอันถ่อมตัวไม่โอ้อวด

สหายร่วมงานตอบกลับ “สอบถามมาแล้วสองวัน แต่ก็ไม่ได้ผู้ต้องสงสัย”

ทางตะวันตกของเมืองเป็นเขตชุมชนแออัด มีแต่พวกที่ชอบลักเล็กขโมยน้อย ดีเลวปะปนกันไป มักจะเกิดปัญหาความวุ่นวาย พวกเจ้าหน้าที่ก็มักจะพาเจ้าหน้าที่พลเรือนวิ่งไปจับกุมคนที่นั่น

“เงินหายไปเท่าไร” สวี่ชีอันที่เริ่มวิเคราะห์อยู่ในใจโดยไม่รู้ตัวเอ่ยถามขึ้น

สหายร่วมงานคนหนึ่งชำเลืองมองสวี่ชีอัน รู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาคล้ายกับท่านนายอำเภออยู่เล็กน้อย เขาตอบกลับว่า “ไม่ได้หาย ผู้ตายเพิ่งเก็บค่าเช่ากลับมา สิ่งที่เก็บกลับมาล้วนเป็นเศษเงิน เหรียญทองแดง และธัญพืช หลังคนร้ายฆ่าคนแล้วจะนำหีบเงินขนาดใหญ่หนีไปด้วยได้อย่างไร”

ไม่ถูกต้องสิ

สวี่ชีอันหรี่ตาลง ถ้าข้าเป็นคนร้ายและเคยดูลาดเลามาก่อน เช่นนั้นข้าจะเลือกขโมยวันอื่น ไม่ใช่วันนี้

เขาไม่ได้กล่าวข้อสงสัยนี้ออกมา แต่นั่งแทะเมล็ดแตงโมฟังเพื่อนร่วมงานคุยสัพเพเหระต่อไป

“น่าเสียดายฮูหยินคนงามเช่นนั้น อายุยังน้อยก็ต้องเป็นม่ายแต่ยังสาว ไหนจะรูปร่างนั่นอีก จิ๊ๆ ในหอคณิกาก็หามีผู้หญิงที่โดดเด่นเช่นนี้ไม่ แม้ต้องจ่ายสักสองเหรียญเงินสำหรับหนึ่งคืนข้าก็เต็มใจ”

“นางก็อายุไม่น้อยแล้ว แค่อ่อนกว่าคนแซ่จางยี่สิบปี เหมือนจะอายุสามสิบต้นๆ ผู้หญิงวัยนี้เป็นม่ายดีที่สุดแล้ว”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ฮูหยินวัยสามสิบก็ดีเลยน่ะสิ รู้ความ เอาอกเอาใจเป็น”

คำกล่าวแบบผู้ใหญ่มากประสบการณ์แต่สหายร่วมงานกลับไม่ยอมรับ ทุกคนมองเขาแล้วหัวเราะเยาะยกใหญ่

การเดินเส้นทางสายยุทธ์นั้น หากยังไม่ทะลวงระดับฝึกลมปราณก็ไม่อาจทลายพรหมจรรย์ได้ หากปราณหยางกระจัดกระจายก็ยากจะเปิดประตูสวรรค์

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงยังไม่เคยยอมจำนนต่อเสน่หาของหญิงสาวมาก่อน

ห้องโถงด้านหลังที่พักท่านนายอำเภอ

หัวหน้าหวังเป็นชายผิวคล้ำ เขาก้มหน้าต่ำราวกับชาวนาแก่ๆ บนคันนาขณะรับฟังคำตำหนิของท่านนายอำเภออย่างไร้จิตวิญญาณ

ท่านนายอำเภอมีแซ่จู เป็นชายรูปร่างอวบขาวร่ำรวย พื้นเพเป็นคนเยี่ยนโจว และเป็นบัณฑิตขั้นสูงของซานเจี๋ย[3]สมัยหยวนจิ่งในรอบยี่สิบปี เก่งเรื่องเอาตัวรอดแต่ไม่เชี่ยวชาญงานราชการ ด้านธุรกิจไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง แต่เป็นบัณฑิตที่รู้จักหนทางการเป็นขุนนางได้อย่างดีเยี่ยม

ข้อดีคือนับว่ามีมโนธรรม ไม่โลภมาก แม้ไร้ความสามารถแต่ก็ไม่เดือดร้อนประชาชน

ข้อเสียคือปฏิบัติกับลูกน้องไม่ดี มักจะหยาบคายใส่ได้ง่ายๆ

“อ่อนหัด ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก”

ดังนั้นจึงเรียกว่าจับปลา

หลังจากได้ตัวผู้เคราะห์ร้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะไปจับคน ก่อนพากลับมายังกระบวนการที่เรียกว่า ‘ทรมานจนรับสารภาพ’ ในที่ว่าการต่อไป คนกระดูกแข็งแค่ไหนก็ยังต้องยอมรับผิด

เบื้องบนพอใจ เจ้าหน้าที่ชั้นกลางได้คำชื่นชม เหล่าเจ้าหน้าที่ได้บำเหน็จ เจ้านายได้ดี ข้ารับใช้ก็ได้ดี ทุกคนได้ดี

แพะรับบาปก็ไม่ใช่ว่าไร้ความยุติธรรม ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นอันธพาล ส่งเขาไปเวียนว่ายตายเกิดเร็วขึ้นก็เพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้านใกล้เคียงด้วย

เรื่องสกปรกประเภทนี้เกิดขึ้นในแวดวงขุนนางมากมายเหลือเกิน

หัวหน้าหวังพยักหน้า “มีแต่ต้องทำแบบนี้แล้ว เสียวหลี่ เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการ เลือกพวกที่ชั่วๆ อายุเยอะๆ มาสักสองสามคน”

เสียวหลี่กำลังจะพยักหน้า สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ช้าก่อน หัวหน้า คดีนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่มาก ยังไม่ถึงทางตันหรอกขอรับ”

สวี่ชีอันไม่ยอมรับตรรกะเช่นนี้

ถึงจะไม่ได้เป็นตำรวจมาหลายปี แต่ปรัชญาสามทัศน์[5]ที่สร้างขึ้นตอนนั้นก็ยังคงอยู่

แม้คนผู้นั้นจะเป็นอันธพาลที่เคยกระทำความผิด แต่ก็ไม่ได้ผิดจนต้องตาย แม้ตายไปก็สาสม แต่มันก็คนละเรื่องกัน

ทางนี้หาคนมารับผิดแทน ไม่ใช่ว่าเป็นการยกผลประโยชน์ให้คนร้ายตัวจริงหรืออย่างไร

หัวหน้ามือปราบหวังหน้าบึ้งตึง ไม่พูดอะไร แต่มองเขาด้วยความไม่พอใจ

ทุกคนพากันโน้มน้าว

“หนิงเยี่ยน เจ้าอย่ามากเรื่อง”

“หัวหน้าโดนด่าทุกวัน แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ด้วย อีกอย่างนั่นก็เป็นแค่อันธพาลที่มักจะทำผิดอยู่บ่อยๆ”

คนที่มีความสัมพันธ์ด้วยดีหน่อยก็กล่าวว่า “หัวหน้า ครอบครัวของหนิงเยี่ยนเพิ่งจะประสบเรื่องร้ายมา จึงค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องประเภทนี้อยู่สักหน่อยน่ะขอรับ”

หัวหน้าฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เขาจดจ้องอยู่ที่สวี่ชีอัน หน้าตาบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ “เจ้าบอกมาสิว่าจะสืบคดีอย่างไร”

“เอาสำนวนคดีมาให้ข้า” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม

……………………………………………..

[1] สี่รูปแบบและแปดวิธี เป็นระบบตรวจสอบเจ้าหน้าที่ในสมัยโบราณ โดย ‘สี่รูปแบบ’ เป็นเนื้อหาการประเมินเจ้าหน้าที่ และ ‘แปดวิธี’ เป็นเกณฑ์แปดประเภทสำหรับการตรวจสอบเจ้าหน้าที่

[2] ใกล้หมึกติดดำ หมายถึง เข้าใกล้คนแบบไหนก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น เป็นการกล่าวว่าสภาพแวดล้อมมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้คน

[3] ซานเจี๋ย คือ ระดับขั้นที่สามของระบบการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการของจักรพรรดิในสมัยโบราณ

[4] หนึ่งเค่อ เทียบเท่ากับเวลา 15 นาที

[5] ปรัชญาสามทัศน์ หมายถึง ทัศนคติสามด้าน ความเข้าใจใน ‘ปรัชญาสามทัศน์’ จะทำให้คนในองค์กรสามารถพิจารณาความเห็นที่ต่างกันได้ง่ายขึ้น โดยการแบ่งมุมมองด้านต่างๆ ประกอบด้วย 1) โลกทัศน์ หมายถึง มุมมองที่มีต่อ สิ่งรอบตัว ผู้คนรอบตัว สังคม โลก และจักรวาล ทั้งที่มีและไม่มีตัวตน 2) ชีวทัศน์ หมายถึง มุมมองที่มีต่อชีวิต ความเชื่อ สิ่งที่ยึดถือ ของคนเรา และ 3) ค่านิยม หมายถึง มุมมองในการให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง