ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 96

ขณะนี้เป็นเวลาก่อนรุ่งสาง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท

ลมหนาวยามรุ่งอรุณกระทบใบหน้าราวกับใบมีดกรีด สวี่ชีอันสูดอากาศเย็นเข้าปอด กระตุ้นจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า

ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ซ่งถิงเฟิงกล่าว “หลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเสร็จสิ้น พวกเราไปสำนักสังคีตกันดีไหม”

จูกว่างเสี้ยวที่อยู่อีกฝั่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีปฏิกิริยาออกมา

จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมถึงกับทนไม่ได้ ต้องประณามความคิดบัดสีผิดครรลองคลองธรรมเช่นนี้อย่างเกรี้ยวกราด

เสร็จเรื่องก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน

“ค่อยว่ากัน” สวี่ชีอันกล่าว

“เจ้ามันน่าเบื่อจริง” ซ่งถิงเฟิงกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ข้าเป็นเจ้ามือได้นะ” สวี่ชีอันกล่าว

“ไม่ได้ เจ้าก็ต้องมาเล่นสนุกด้วยกัน ถึงจะพิสูจน์ความแน่นแฟ้นของเราได้” ซ่งถิงเฟิงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง

“เขาอยากให้เจ้าพร่ำเรียกชื่อแม่นางฝูเซียง” จูกว่างเสี้ยวเปิดเผยความคิดอันแสนสกปรกของสหายที่คบกันมาหลายปีดีดัก

ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ซ่งถิงเฟิงก็ขมวดคิ้ว “เจ้าเอาแต่มองทะเลสาบข้างหน้าอยู่นั่น มองอะไรหรือ”

สวี่ชีอันตอบตามความจริง “รู้สึกว่าทะเลสาบซังผอดูมืดมน มันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล”

“หุบปากเสีย!” ซ่งถิงเฟิงกระซิบ “เจ้าถูกลมพัดใส่จนหนาวสั่นแล้วน่ะสิ ซังผอเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของต้าฟ่ง และยังเป็นสถานที่ที่องค์จักรพรรดิผู้สถาปนาตรัสรู้ อย่าพูดจาไร้สาระ”

จูกว่างเสี้ยวกล่าวเตือนอีกเสียง “พวกทหารยอดฝีมือหูไวตาไว หากได้ยินคำพูดของเจ้าเข้า เจ้าต้องถูกลงโทษ”

สวี่ชีอันนิ่งเงียบทันที

ในตอนนั้นเองเสียงระฆังและกลองหนักๆ ก็ดังขึ้น กึกก้องในโสตประสาทของทุกคน บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามา

พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เคยพูดคุยกันอย่างสบายใจก่อนหน้านี้ เงียบเสียงลงทันใด และชักสีหน้าขึงขัง

ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงสำหรับงานบวงสรวง ขบวนอันยิ่งใหญ่เคลื่อนตัวจากเขตพระราชฐานมุ่งหน้าสู่ซังผอ

ไม่มีการเดินทางด้วยม้าหรือรถม้า ทุกคนล้วนเดินเท้า

ในขบวนผู้เข้าร่วมการบวงสรวงบรรพบุรุษ คับคั่งด้วยสมาชิกราชวงศ์ รวมทั้งขุนนางและทหารทุกระดับ เป็นจำนวนหลายร้อยคน

ดูเหมือนว่ามหาอำนาจแห่งราชวงศ์ต้าฟ่งแทบจะรวมตัวกันในขบวนนี้ที่เดียว

นำโดยจักรพรรดิหยวนจิ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋าเรียบง่าย พระเกศาดำสนิทถูกเกล้าขึ้นและปักด้วยปิ่นไม้ พระองค์มีพระชนมายุห้าสิบกว่าพรรษา ไว้เครายาวไหวๆ พระพักตร์หล่อเหลา วางตนสูงส่งและสมณะ ตามแบบฉบับผู้บำเพ็ญเพียรในลัทธิเต๋า

ตามหลังมาด้วยฮองเฮาผู้สง่างามและพระสนมรูปร่างอวบอัดเดินเคียงกันมา

ตามด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา

จักรพรรดิหยวนจิ่งมีทายาทหลายพระองค์ มีพระราชโอรสสิบสองพระองค์ ทว่ามีพระราชธิดาเพียงสี่พระองค์เท่านั้น ปีนี้องค์หญิงใหญ่ทรงเจริญพระชันษาได้ยี่สิบห้าพรรษา ซึ่งห่างจากองค์รัชทายาทประมาณสิบปี

องค์หญิงใหญ่ผู้เป็นที่รู้จักในเมืองหลวงทั้งในด้านพรสวรรค์และรูปลักษณ์อันงดงาม ดวงตาส่องประกายราวกับสระน้ำ ใบหน้าขาวใส บุคลิกเยือกเย็น ทรงดำเนินไปตามขบวนอย่างเงียบงัน

ขบวนพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเคลื่อนมาถึงยังหน้ากระโจมสีเหลืองสว่างสดใส ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลง จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้มีจิตอันสูงส่งและสมณะนำสองขันทีผู้ยิ่งใหญ่เข้าไปยังกระโจมของพระองค์

ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือรออยู่ข้างนอก

บรรดาอัครมหาเสนาบดีที่รับผิดชอบการบวงสรวงต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการอัญเชิญทวยเทพ และจัดแถว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิในลำดับถัดไป

สวี่ชีอันยังคงนิ่งไม่ไหวติง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะหันหัวไป และลอบมองพิธีบวงสรวงจากหางตา

เขาเห็นขบวนแถวกำลังถือป้ายบูชาผู้ล่วงลับที่คลุมไปด้วยผ้าไหมสีเหลืองเดินไปตามทางเหนือผิวน้ำอันคดเคี้ยวขึ้นไปยังแท่นศิลาสูง เพื่อวางป้ายบูชาผู้ล่วงลับไว้บนโต๊ะบูชาตัวใหญ่หน้าพระอาราม

เมื่อขบวนนี้กลับมา อีกขบวนหนึ่งนำโดยข้าราชบริพารแห่งวัดไท่ชางก็นำเครื่องเซ่นไหว้และสังเวยต่างๆ ไปบวงสรวง มีเครื่องเซ่นไหว้มากมายหลายประเภท จำนวนอย่างต่ำสองถึงสามร้อยอย่าง

เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ ข้าราชบริพารระดับสูงของวัดไท่ชางที่อยู่นอกกระโจมขององค์จักรพรรดิจึงตะโกนเสียงดังขึ้น “เสร็จสิ้นการสงบจิต ขอเดชะฝ่าพระบาท”

พระราชโอรส พระราชธิดา ขุนนางเหล่าทัพ รวมทั้งอัครมหาเสนาบดีคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง

ขันทีผู้ยิ่งใหญ่เปิดม่านออก จากนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งในชุดสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏกายต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม

ณ เวลานี้ พระองค์สลัดคราบสมถะของผู้บำเพ็ญเต๋า เหลือเพียงภาพจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์

“ท่าทางแบบนี้ ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าประชุมสุดยอดผู้นำในชาติที่แล้วเสียอีก…การเดินทางครั้งนี้ถือว่าไม่สูญเปล่า…” ขณะที่สวี่ชีอันกำลังเพลิดเพลินกับการรับชม หัวใจเขาก็สั่นไหว เนื่องจากมีคนในกลุ่มหนังสือปฐพีกำลังส่งข้อความมา

เขารออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้กลุ่มลาดตระเวนผ่านไป จากนั้นสอดมือเข้าไปในอกเสื้อและหยิบกระจกหยกออกมาแค่ครึ่งอัน แอบอ่านผ่านๆ ไม่ให้ใครจับได้

‘สอง: ข้าจำได้ว่าวันนี้เป็นวันบวงสรวงบรรพบุรุษของราชวงศ์ต้าฟ่ง ใช่หรือไม่ หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสาม’

‘สี่: ลองมานับเวลาดูแล้ว วันนี้น่าจะเป็นวันบวงสรวงบรรพบุรุษอย่างเจ้าว่าจริงๆ เมื่อก่อนข้าก็เคยเข้าร่วมพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษด้วยนะ’

‘สอง: เมื่อก่อนงั้นหรือ หมายเลขสี่ เมื่อก่อนเจ้าเคยเป็นขุนนาง และมียศพอตัวเลยใช่ไหม’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง