เมื่อถึงตลาดกลางคืน ซูเหวินฉีก็ยังคงสวมแว่นกันแดด หมวก และเสื้อกันลมเหมือนเดิม ไม่มีใครจำได้ว่านี่คือราชินีผู้โด่งดัง
ทั้งสองหาร้านอาหารง่ายๆริมทางเพื่อกินอะไรนิดหน่อย
อารมณ์ของซูเหวินฉีก็ดูงั้นๆ คอนเสิร์ตของเธอก็โดนคนอื่นแย่งไป และนั่นก็ยังเป็นศัตรูตัวของเธออีกด้วย ทำให้ในใจของเธอตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
เพิ่งจะได้นั่งกินข้าวกับฉินจุนไปไม่กี่คำ ผู้จัดการก็โทรมาแล้ว
ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว ถ้าตามปกติแล้วเธอจะไม่มีทางรับแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้อาจจะมีเรื่องอะไรก็ได้
เธอทำท่าทางส่งสัญญาณบอกให้ฉินจุนเงียบ ๆ แล้วเธอก็รับรับสายนั้น
“มีอะไรเหรอค่ะ พี่เถียน”
เมื่อเธอฟังมาสักพัก ซูเหวินฉีก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันไปค่ะ”
เมื่อวางสายแล้ว ซูเหวินฉีก็พูดอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยนะ พี่เถียนบอกว่ามีผู้บริหารหลายคนนัดดินเนอร์กับพวกเรา ต้องการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างฉันกับเถียนอิง”
ฉินจุนพยักหน้า เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เจอได้บ่อยๆ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นซูเหวินฉีหรือเถียนอิง ก็ล้วนแต่เป็นเหมือนกับต้นไม้ขุมทรัพย์ ขอเพียงมีพวกเธออยู่ ก็จะมีเงินและพวกแฟนคลับอยู่นั้นเอง
และถ้าจู่ๆพวกเธอสองคนทะเลาะกันขึ้นมา ก็จะเกิดผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกผู้บริหารจึงต้องจัดการเครียปัญหาพวกนี้ให้เรียบร้อย ให้โอกาสพวกเธอได้เจรจากัน และนี่มันก็เป็นเรื่องปกติ
ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว “ยัยเถียนอิงนั่นเป็นคนมณฑลฮั่นตง อยู่ที่นี่เครือข่ายของเธอก็มีไม่น้อย ฉันรู้สึกว่านี่คืองานเลี้ยงที่มีเจตนาฆ่าแอบแฝง”
ฉินจุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้น ให้ฉันไปเป็นเธอด้วยไหมล่ะ”
ซูเหวินฉีชะงักไปครู่หนึ่ง “จริงเหรอ? โอเคเลย งั้นนายก็ปลอมเป็นผู้ช่วยของฉัน”
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จแล้ว ฉินจุนและซูเหวินฉีก็ออกเดินทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงแรมจื่อจิงฮวา ภายในห้องส่วนตัวเบอร์2 เถียนอิงและผู้บริหารบางคนกำลังนั่งพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ที่โต๊ะ
เถียนอิงถามขึ้นว่า “ทำไมโรงแรมจื่อจิงฮวาแห่งนี้นับวันยังไม่ได้เรื่องเลย มีผู้บริหารมากมายขนาดนี้ แต่พวกเขากลับจัดห้องส่วนตัวเบอร์2ให้เพียงแค่ห้องเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
แม้ว่าห้องเบอร์1และห้องเบอร์ 2 จะเป็นห้องส่วนตัวที่หรูหราเอามากๆ และสามารถพูดได้ว่าเป็นห้องที่มีข้อกำหนดสูงสุดในเมืองนี้ แต่ก็มีช่องว่างเล็กน้อยเช่นนี้อยู่เสมอถ้าจะให้พูดมันก็ไม่ค่อยจะดีนัก
ชายวัยกลางคนที่เอวใหญ่และเอวกลมๆดูอ้วนท้วมได้กล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ห้องเบอร์1 และห้องเบอร์ 2 ก็เหมือนๆกันนั่นแหละ เพราะจุดประสงค์ของพวกเราในวันนี้ก็ไม่ได้มานั่งกินข้าวกันอยู่แล้ว”
เถียนอิงพยักหน้า “สักพักถ้ายัยผู้หญิงสกุลซูมาถึงแล้ว ไม่ต้องไว้หน้านางนะ นางเป็นแค่ดาวรุ่ง แต่ดันไม่รู้ว่าท้องฟ้านี้มันสูงแค่ไหน ถ้าทำให้ฉันรำคาญละก็ อะไรฉันก็ทำได้ทั้งนั้น!”
เถียนอิงเพิ่งจะพูดจบไปหยกๆ ทันใดนั้นประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออก และซูเหวินฉี ผู้จัดการเทียน และฉินจุนก็ได้เดินเข้ามา
ปกติน่าจะมีบอดี้การ์ดมาด้วย แต่การมาในวันนี้มาเป็นการมาแบบสมานฉันท์ อีกทั้งยังพาฉินจุนมาด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พาบอดี้การ์ดมาด้วย
พอเข้ามา บรรยากาศในห้องส่วนตัวก็แปลกไปทันที สองพี่น้องราชินีแห่งวงการดนตรีมาเจอกัน ฉากนั้นค่อนข้างน่าอึดอัดแบบนี้อยู่เสมอ
ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว ผู้จัการเทียนก็ได้พาพวกเขาไปนั่งและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ดูสิ พวกเราทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ยังจะหาเรื่องให้ท่านผู้บริหารออกมาจัดการอีก รบกวนเกินไปแล้วค่ะ”
เถียนอิงถอนหายใจอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “แค่นามสกุลเถียนเหมือนกันก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วงั้นเหรอ?
ผู้จัดการเถียนสีหน้าดูจะอึดอัดเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าเธอเองจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาในวงการนี้เหมือนกัน แต่ทว่าเถียนอิงก็ถือเป็นนักร้องรุ่นพี่ที่โด่งดัง ไม่สามารถไปยั่วโมโหเธอได้ ทำได้แค่เพียงยิ้มรับเท่านั้น
“เหอะๆ สายอาชีพเดียวกันก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วค่ะ”
บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้ง
หลังจากที่ซูเหวินฉีเข้ามา เธอยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย แม้แต่แว่นกันแดดเธอก็ยังไม่ได้ถอดออก เธอนั่งบนเก้าอี้และมองดูด้วยใบหน้าที่ดูเย็นชา
ในเวลานี้ ในที่สุดชายรูปร่างอ้วนท้วมคนเมื่อกี้ก็พูดได้พูดขึ้นอีกครั้ง
“ทั้งคู่ต่างก็เป็นพี่น้องในวงการเพลงเหมือนกัน ควรที่จะเป็นมิตรกันไว้ถึงจะทำเงินได้มากๆ เอาแบบนี้ ยังไงวันนี้ทั้งสองคนก็เห็นแก่หน้าฉันเสี่ยวเหอคนนี้ละกัน พวกเรามามาดื่มพูดคุยกันอย่างมีความสุข จับมือสมานฉันกันแบบนี้ดีไหม?”
เมื่อเสียงเงียบลง ทุกคนก็ต่างไม่ได้พูดอะไร ส่วนซูเหวินฉีปกติเธอก็ดูเย็นชาและมีเสน่ห์อยู่แล้ว ทุกคนก็ต่างชินไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้รักษาสุดแกร่ง