“พี่น้องของข้าบอกว่าได้พบผู้มีฝีมือสูงส่งเสียแล้ว ข้าเหล่าลิ่วไร้ความสามารถจึงมาขอพบเจอผู้มีฝีมือสูงส่งว่ามีหน้าตาเช่นใด” ชายหนุ่มพุงป่องผู้นี้กล่าวยิ้มตาหยีขึ้นมา
“เจ้าคิดจะทำอะไร!” เวลานี้ พวกของสือโส่วรู้สึกเย็นวาบในใจ รู้ว่าเรื่องนี้ยากจะจบลงด้วยดี แต่สือโส่วก็ไม่ต้องการแสดงท่าทีที่อ่อนแอกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมา
“ไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร” ชายหนุ่มทำยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “พรรคอันธพาลพวกเราอาศัยที่ดินน้อยนิดในเมืองฉีหลินทำมาหากินเล็กๆ น้อยๆ พี่น้องทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นล่างที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก การจะหากินไม่ง่าย ไม่ง่ายนัก ช่วงเวลาที่ลำบากยังต้องแย่งกระดูกกับสุนัขที่หิวโหย”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้พวกของสือโส่วถึงกับมองหน้ากันและกัน มีใครกันนะที่ตั้งชื่อพรรคของตนว่าพรรคอันธพาล? ฟังดูแล้วไม่สามารถนำมาอวดอ้างแม้แต่น้อย หัวมังกุท้ายมังกรชัดๆ
แต่ทว่า พวกของสือโส่วสามคนในเวลานี้ก็ไม่กล้าประมาท แม้ว่าหลายสิบคนที่ล้อมพวกเขาเอาไว้จะแต่งกายด้วยชุดของพ่อค้าและสมุนรับใช้ แต่รับรองว่าต้องเป็นผู้บำเพ็ญตนของแท้แน่นอน
“จากนั้นหละ” เฮ่อเฉินระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นขณะที่ชายหนุ่มไม่พูดต่อ
“พรรคอันธพาลของพวกเราได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้ในเมืองฉีหลินอย่างยากเย็น ในเมืองฉีหลินขื่อเสียงพรรคอันธพาลพวกเรานับว่ายอดเยี่ยมมาก ความน่าเชื่อถือที่ยาวนานมาห้าหมื่นปีทุกคนต่างให้ความเชื่อถือ เรียกได้ว่าไม่มีการหลอกลวงใดๆ ทั้งสิ้น” ชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มตาหยี และกล่าวว่า “แต่ว่า พวกเจ้ากลับใส่ร้ายพี่น้องของข้าว่าขายของปลอม ทำให้ชือเสียงของพรรคอันธพาลเสียหาย และทำให้พี่น้องข้าต้องเสียความรู้สึก ดังนั้น เรื่องนี้ข้าเซิ่นเหล่าลิ่วอยู่เฉยไม่ได้”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” สือโส่วกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมา
“ไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร” เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “พรรคอันธพาลพวกเราเปิดประตูก็เพื่อทำการค้า คนทำการค้าหน่ะปรองดองบังเกิดทรัพย์ การตีรันฟันแทงไม่ใช่ลักษณะของพวกเรา พวกเราว่างั้นมั้ย ข้า เซิ่นเหล่าลิ่วเป็นคนที่มีความเป็นธรรม พวกเจ้าทำให้ชื่อเสียงของพรรคอันธพาลข้าเสียหาย ทำให้พี่น้องข้าเสียความรู้สึก พวกเจ้าก็ควรต้องชดใช้…”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซิ่นเหล่าลิ่วไอออกมาคำหนึ่ง และกล่าวว่า “พวกเจ้าก็ซื้อสินค้าชิ้นนั้นของพี่น้องข้าเอาไว้ก็แล้วกัน ราคาศิลาขมุกขมัวระดับพระยาสัจธรรมแปดพันเม็ด ส่วนต่างที่เกินนั้นถือเสียว่าให้พี่น้องข้าดื่มน้ำชา เพื่อชดเชยจิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนนั่น”
เฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันถึงกับโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเซิ่นเหล่าลิ่ว พวกเขาต่างจ้องมองตาเฒ่าเซิ่นด้วยความโกรธแค้น
“พวกเจ้ากำลังขู่กรรโชกนี่!” เฮ่อเฉินร้องเสียงแหลมดังออกมา
ก่อนหน้านั้น ราคาสินค้าชิ้นนี้ยังอยู่ที่ศิลาขมุกขมัวระดับครุสัจธรรมห้าร้อยเม็ดเท่านั้นเอง เวลานี้ ตาเฒ่าเซิ่นเปิดราคาที่ศิลาขมุกขมัวระดับพระยาสัจธรรมแปดพันเม็ด ภายในเวลาสั่นๆ เพียงครึ่งวัน ราคาถึงกับพุ่งขึ้นจนนับไม่ถ้วนว่ากี่เท่าตัว
“เรื่องนี้จะบอกว่าขู่กรรโชกได้อย่างไรกันเล่า” เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ชื่อเสียงของพ่อค้าประเมินค่าไม่ได้ พวกเราคนทำการค้าถือว่าปรองดองบังเกิดทรัพย์ นี่นับว่าเป็นราคาที่ถูกมากๆ แล้ว”
“ถ้าหากพวกเราไม่ให้หละ?” เฮ่อเฉินที่เป็นคนหนุ่มเลือดร้อน ถึงกับกล่าวน่าเกรงขามด้วยความไม่พอใจออกมา
“จริงอยู่ ทำการค้าต้องปรองดองจึงจะบังเกิดทรัพย์ แต่ว่า หากมีใครคิดอยากจะทำลายชื่อเสียงของพวกเรามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว” เวลานี้ เซิ่นเหล่าลิ่วหัวเราะแหะแหะ แม้ว่าเขายังคงมีท่าทียิ้มตาหยี แต่เขากำลังทำท่าลูบหมัดถูมือแล้ว
ในขณะนี้ คนที่ทำท่าลูบหมัดถูมือไม่ได้มีเพียงตาเฒ่าเซิ่นเท่านั้น หลายสิบคนที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ก็ทำท่าเช่นเดียวกัน ท่าทีของพวกเขาชัดเจนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด
ในเวลานี้ พวกของเฮ่อเฉินต่างอยู่ในอาการตึงเครียด ทยอยกันหยิบเอาอาวุธของตนออกมา เพื่อเตรียมรับศึก
“ท่านคิดเห็นประการใด?”ในเวลานี้ สือโส่วมองไปที่หลี่ชิเย่ มีท่าทีต้องการให้หลี่ชิเย่เป็นผู้นำ แม้ว่าสือโส่วเองไม่ต้องการให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องการก่อเรื่องขึ้นที่เมืองฉีหลิน แต่ว่าศิลาขมุกขมัวระดับพระยาสัจธรรมแปดพันเม็ด กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย มองดูตาเฒ่าเซิ่นทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าจะถลกหนังของเจ้ามาเช็ดเท้าของข้า แม้ว่าหนังของเจ้าจะอ่อนสักหน่อย ลอกออกมาทำเป็นรองเท้าบู๊ธจะดูฝืนๆ ไปนิด แต่ท่าเอามาเช็ดเท้านับว่าพอทน”
“หึ หึ ท่านผู้นี้พูดจาพาลดีนี่” เซิ่นเหล่าลิ่วยังคงยิ้มตาหยีมีเลศนัย แม้ว่าก่อนหน้าเขาจะพูดคุยอยู่กับพวกสือโส่วตลอด แต่ว่าเขาได้พิจารณาตัวของหลี่ชิเย่มากกว่า โดยการจับจ้องบนตัวของหลี่ชิเย่ตลอดเวลา
เวลานี้ เซิ่นเหล่าลิ่วยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังท่านผู้นี้ หนังของข้าหยาบกร้านยิ่งนัก มีแต่คนที่ต้องการถลกหนังของข้ามาโดยตลอด แต่ก็ลอกออกไม่ได้ หากท่านผู้นี้ต้องการลอกหนังแก่ๆ บนตัวของข้าล่ะก็ เกรงว่าจะทิ่มแทงมือเข้าได้ หากทำให้มือที่อ่อนนุ่มของท่านต้องบาดเจ็บล่ะก็จะไม่เป็นการดี”
“นี่นับว่าเป็นหนังแก่อะไรกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “หนังแบบนี้สองสามทีก็ลอกออกมาได้แล้ว หนังแก่ที่อยู่ในถ้ำศิลาเฒ่าอาจจะบาดมือนิดหน่อย จะอย่างไรเสียหนังแก่ผืนนั้นนับว่ามีอายุไม่น้อยจริงๆ”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พลันทำให้สีหน้าของเซิ่นเหล่าลิ่วเปลี่ยนไปมากทีเดียว ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้น ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องจริงจังไปที่หลี่ชิเย่ เหมือนว่าประกายตาของเขาสามารถตรึงหลี่ชิเย่ให้ตายได้อย่างนั้น
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย สำหรับแววตาของเซิ่นเหล่าลิ่วที่จ้องเขม็งเข้ามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...