ตัวอ่อนมีการแบ่งออกเป็นตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดกับตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลัง ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจะแข็งแกร่งกว่าตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลัง แต่ว่าตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจะได้รับการยกย่องโดยอาศัยทักษะที่มีอยู่ในตัว ขณะที่ชั้นคุณภาพต่ำสุดจะอยู่ที่ชั้นเลี่ยมทอง
ข้อแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดกับตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังก็คือ ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดมีการครอบครองกลิ่นอายขมุกขมัว และพลังของโลกดึกดำบรรพ์ก่อนที่ฟ้าดินจะแยกออกเป็นสองส่วนในตัวอยู่แล้ว หรือพูดง่ายๆ ก็คือตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดมีระดับความสามารถอยู่ในตัวอยู่แล้ว
ขณะที่ตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังจะเริ่มต้นด้วยระดับความสามารถที่ศูนย์ หลังจากที่ตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังได้มีการหลอมรวมกับโลหะศักดิ์สิทธิ์และแร่เซียนแล้ว หลังจากผ่านการหลอมสร้างโดยผู้บำเพ็ญตนจนกลายเป็นศาสตราวุธเต๋าแล้ว มันจะยกระดับของตนเองขึ้นไปตามระดับการฝึกของผู้บำเพ็ญตนผู้นั้น
ดังนั้น เมื่อผู้บำเพ็ญตนฝึกยุทธถึงระดับทิพยสัจธรรมแล้วนั้น ศาสตราวุธเต๋าชิ้นนี้ของเขาก็จะปรับระดับตามขึ้นไปอยู่ที่ทิพยสัจธรรมด้วย และมีพลังของระดับทิพยสัจธรรมในครอบครองด้วยเช่นกัน
ขณะที่ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจะแตกต่างกัน พลันที่ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดถูกผ่าออกมา ตัวของมันเองก็มีพลังระดับนี้อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว หลังจากที่ถูกสร้างให้เป็นศาสตราวุธเต๋าแล้ว มันก็สามารถปรับระดับตามผู้บำเพ็ญตนผู้เป็นเจ้าของขึ้นไปได้เองเช่นกัน
เป็นต้นว่า ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดซึ่งมีระดับทิพยสัจธรรมอยู่ในตัว หลังจากที่ถูกสร้างให้เป็นศาสตราวุธเต๋าแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญตนที่เป็นเจ้าของผู้ครอบครองมีพลังอยู่ในระดับที่ต่ำชั้นกว่าทิพยสัจธรรม มันก็ยังคงมีพลังอยู่ในระดับทิพยสัจธรรมเหมือนเดิม
ต่อเมื่อผู้บำเพ็ญตนผู้นั้นสามารถฝึกจนก้าวไปถึงระดับทิพยสัจธรรมแล้ว กำลังของศาสตราวุธเต๋าชิ้นนั้นก็จะปรับระดับตามไปด้วย
ศาสตราวุธเต๋าที่สร้างขึ้นโดยอาศัยตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดนั้น ไม่เพียงแต่ตัวของมันเองที่มีระดับพลังอยู่ในตัวตั้งแต่แรกเท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ขั้นตอนระหว่างที่มีการปรับระดับพลังของตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดพลังดั้งเดิมที่ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดติดตัวมายังจะซ้อนกับพลังของผู้บำเพ็ญตนผู้นั้นอีกด้วย
เป็นต้นว่า ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดซึ่งมีพลังระดับทิพยสัจธรรมติดตัวมา หลังจากที่มันถูกสร้างให้เป็นศาสตราวุธเต๋าที่มีพลังอยู่ในระดับทิพยสัจธรรมแล้ว ขณะที่พลังของผู้บำเพ็ญตนก็ฝึกจนก้าวขึ้นไปยังระดับทิพยสัจธรรมได้เช่นกันนั้น
เมื่อเป็นดังนี้ ศาสตราวุธเต๋าที่สร้างขึ้นจากตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดชิ้นนี้ก็จะมีพลังระดับทิพยสัจธรรมมากกว่าศาสตราวุธเต๋าที่สร้างขึ้นโดยตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังเท่าตัว หรือก็คือ พลังของศาสตราวุธเต๋าที่สร้างขึ้นจากตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดกับพลังของศาสตราวุธเต๋าที่สร้างขึ้นจากตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังจะต่างกันหนึ่งเท่าตัว
ต่อเมื่อพลังของผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ก้าวสูงขึ้นไปถึงระดับธรรมมังสัจธรรมแล้ว ศาสตราวุธเต๋าที่มีพลังมาแต่กำเนิดชิ้นนี้ก็จะมีพลังปรับขึ้นตามผู้บำเพ็ญตนผู้นั้นไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็จะมีพลังเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับศาสตราวุธเต๋าที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังในระดับพลังเดียวกัน
จุดนี้แหละคือจุดที่ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดเหนือกว่าตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลัง และด้วยเหตุนี้ ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจึงล้ำค่ามากกว่าตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังมาก ผู้บำเพ็ญตนที่มีกำลังทรัพย์ก็จะต้องเลือกตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิด
นอกเหนือจากความแตกต่างในด้านของพลังแล้ว ระดับพลังขั้นต่ำจะเริ่มต้นที่ทิพยสัจธรรม หรือก็คือตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจะไม่มีต่ำกว่าระดับทิพยสัจธรรม ขณะที่ชั้นคุณภาพของตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดขั้นต่ำสุดก็จะเริ่มต้นที่ชั้นคุณภาพเลี่ยมทอง
กล่าวคือ ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดที่จัดว่ามีคุณภาพต่ำสุดจะต้องมีพลังอยู่ในระดับทิพยสัจธรรม ชั้นคุณภาพเลี่ยมทอง
เวลานี้ ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดของหลี่ชิเย่ชิ้นนี้มีพลังอยู่ในระดับทิพยสัจธรรม ชั้นคุณภาพแสดสามัญ ซึ่งตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดลักษณะเช่นนี้ถือว่ามีคุณภาพดีกว่าระดับต่ำสุดของตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดขึ้นมานิดหนึ่งเท่านั้น
“สายตาของท่านปราศจากผู้เทียบเทียม ล่างซวนนับถือ” หลี่ล่างซวนถึงกับนับถือด้วยความจริงใจ กล่าวพร้อมกับแสดงคารวะแบบจีน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับสามารถผ่าเอาตัวอ่อนที่มีพลังระดับทิพยสัจธรรมมาแต่กำเนิด ชั้นคุณภาพแสดสามัญจากวัตถุให้กำเนิดตัวอ่อนที่เป็นต้นเถี่ยซันมาได้
การที่สามารถผ่าตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจากต้นเถี่ยซันได้หาใช่อาศัยการเสี่ยงดวงแล้ว แต่เป็นฝีมือล้วนๆ เลยหละ
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งกับคำพูดของหลี่ล่างซวน ถือโอกาสกวาดเอาอาวุธระดับธรรมมังสัจธรรมสามชิ้นที่วางเดิมพันไว้บนโต๊ะพนันตามอารมณ์เข้ามา
“ช้าก่อน” รัชทายาทเทียนหวงร้องเสียงดังออกมาพร้อมกับยื่นมือกดอาวุธระดับธรรมมังสัจธรรมทั้งสามเอาไว้
หลี่ชิเย่มองหน้ารัชทายาทเทียนหวงทีหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ทำไม แพ้ไม่เป็นหรือไง? ถ้าหากแพ้ไม่เป็นก็ไม่ต้องมาหากินกับโต๊ะพนัน”
“ใครบอกว่าเจ้าเป็นฝ่ายชนะ!” รัชทายาทเทียนหวงพูดน้ำเสียงเย็นชาว่า “พูดถึงคุณภาพ สวรรค์ตราตั้งสูงกว่าแสดสามัญ ต่อให้ของเจ้าเป็นตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิด รอให้ศาสตราวุธเต๋าที่เป็นชั้นคุณภาพสวรรค์ตราตั้งปรับพลังขึ้นไปจนถึงระดับทิพยสัจธรรมแล้ว ความอ่อนด้อยของศาสตราวุธเต๋าทั้งสองยังยากจะสรุปได้เลย!”
หากจะว่ากันถึงด้านของคุณภาพ แน่นอนชั้นสวรรค์ตราตั้งย่อมจะสูงกว่าแสดสามัญ แต่หากพูดถึงศาสตราวุธเต๋า ชิ้นหนึ่งคือศาสตราวุธเต๋ามาจากตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลังระดับพลังทิพยสัจธรรม ชั้นคุณภาพสวรรค์ตราตั้ง เทียบกับศาสตราวุธเต๋าที่มาจากตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดในระดับพลังเดียวกัน แต่ชั้นคุณภาพคือแสดสามัญ ศาสตราวุธเต๋าทั้งสองชิ้นไหนจะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยกว่ากันนั้น เกรงว่าคงสรุปได้ยาก ขึ้นอยู่กับเจ้าของศาสตราวุธเต๋าว่าใครเหนือกว่าใครแล้ว
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หากอยู่ในระดับเดียวกันละก็ เทียบกันระหว่างศาสตราวุธเต๋าแล้วใครเหนือกว่าใครพูดได้ยากจริงๆ แต่ เวลานี้พวกเราพนันกันที่ตัวอ่อน ไม่ใช่ศาสตราวุธเต๋า ถ้าความรู้แค่นี้ยังไม่เข้าใจล่ะก็ อย่าออกมาพนันกับใครเขาเลย ขายหน้าเปล่าๆ”
“เจ้า” หน้าของรัชทายาทเทียนหวงปั้นยากถึงขีดสุดเมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดเยาะเย้ย เนื่องจากเขาพ่ายแพ้จนลนลาน เดิมทีเรียกได้ว่ากำไพ่เหนือกว่าอยู่แล้ว จะได้ทรมานเจ้ามนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อยู่ตรงหน้าสักที ไม่นึกเลยว่าแพ้อีกแล้ว ดังนั้นภายใต้จิตใจที่ร้อนรนจึงลืมนึกถึงจุดนี้ไป
“ฝ่าบาท หากจะเทียบกันแล้ว ในร้านศิลาแห่งนี้ตัวอ่อนที่มีพลังมาแต่กำเนิดจะมีราคาขายที่สูงกว่าตัวอ่อนที่มีพลังจากการสร้างขึ้นภายหลัง” หลี่ล่างซวนรีบกล่าวเตือนต่อรัชทายาทเทียนหวง
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของสายสำนักราชันเซียน รัชทายาทเทียนหวงย่อมไม่ต้องการนำหัวของตนไปลงเดิมพันด้วย เขามองว่าตัวของเขามากมีเงินทอง ขอเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาผู้นี้กล้าพนันด้วย เขาก็รับราคาได้
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา เมื่อปลาฮุบเหยื่อแล้วใยเขาจะต้องไปกลัวว่าปลาจะหนีไปได้รึ? เขายิ้มเอ้อระเหยพูดกับหลี่ล่างซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าถูกทุกคนยกย่องว่าเป็นดาวรุ่งผู้ชำนาญการศิลา เช่นนั้นแล้ว เจ้าคิดว่าชีวิตของเจ้ามีค่าเท่าไรกัน?”
หลี่ล่างซวนถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อถูกหลี่ชิเย่ถามเช่นนี้ เมื่อได้สติกลับมาจึงได้แต่ตอบไปตามตรงว่า “ส่วนตัวข้ามองว่าชีวิตข้าประเมินไม่ได้ แต่หากต้องการซื้อชีวิตข้าจริงๆ ข้าประเมินของข้าเองราวศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมห้าสิบล้านเม็ด!”
ศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมห้าสิบล้านเม็ดย่อมเป็นตัวเลขมโหฬารอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นแคว้นเจ้าลัทธิก็ไม่แน่ว่าสามารถนำเงินจำนวนนี้ออกมาได้ แน่นอน หลี่ล่างซวนมีค่าตามนี้จริงหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่า ในฐานะที่เขาเป็นถึงดาวรุ่งผู้ชำนาญการศิลา เขาย่อมมีสิทธิ์เรียกค่าตัวขนาดนี้ได้โดยแท้
“เอาเถอะ ไม่ง่ายนักกว่าจะมีอารมณ์อยากจะพนันสักเกม ข้าก็ลดตัวลงให้กับตัวเองก็แล้วกัน หากเจ้าสามารถวางเดิมพันด้วยศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมสิบล้านเม็ดบนโต๊ะ ข้าก็จะเดิมพันกับเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทียิ้มแต้
สิ่งนี้พลันทำให้บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องเสียวสันหลังวาบบ สำหรับระดับเจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิสักแห่ง ศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมสิบล้านเม็ดก็เป็นตัวเลขจำนวนมโหฬารมาก จำนวนนี้สามารถทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องช็อกตายได้แน่นอน
สำหรับพวกของเสิ่นเสี่ยวซันที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักขนาดเล็ก เรียกว่าไม่กล้าแม้แต่จะคิด ศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมสิบล้านเม็ดคือเงินจำนวนมหาศาลแน่นอน เงินจำนวนขนาดนี้ห่างไกลจากตัวของพวกเขามากเหลือเกิน
“เจ้าให้ความสำคัญตัวเองขนาดนี้เลยรึ? ศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมสิบล้านเม็ด? ฮึ แค่ศิลาขมุกขมัวระดับทิพยสัจธรรมสิบล้านเม็ดก็นับว่าประเมินเจ้าสูงเกินไปแล้ว!”
“ข้ามีค่าเท่ากับศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมสิบล้านเม็ดหรือไม่นั้นมันเป็นเรื่องของข้า ใครไม่รู้ว่าที่เมื่อครู่พูดว่าขอเพียงข้าเสนอราคามาเขาก็จะลงเดิมพันด้วย เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันที่แท้ก็แค่โอ้อวดเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “คนเราจนไม่ใช่ความผิด แต่จนแล้วยังมาทำเป็นอวดอ้าง น่าขายหน้าจริงๆ…”
“…แค่ศิลาขมุกขมัวระดับสวรรค์สัจธรรมสิบล้านเม็ดยังควักออกมาไม่ได้ แคว้นหงส์ฟ้าอะไรนั่นมันก็แค่เล้าไก่เท่านั้นเอง ยากจนมากกระทั่งเงินสิบล้านยังไม่มี นักเลงหัวไม้ที่ยากจนขนาดนี้กลับไปขลุกอยู่ในบ้านเถอะอย่าได้ออกมาอีกเลย”
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีตามอารมณ์ คำพูดของเขาเป็นการนตบหน้ารัชทายาทเทียนหวงอย่างแรงเข้าไปฉาดใหญ่
รัชทายาทเทียนหวงพลันมีสีหน้าที่แดงก่ำเมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดจากเยาะเย้ยเช่นนี้ ก่อนหน้าเขาพ่ายแพ้เจนลนลานด้วยความโกรธจึงได้พูดวาจาที่โอหังอวดดีออกมา แต่ว่า เขาไม่นึกเลยว่ามนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อยู่ตรงหน้าจะเสนอราคาที่สูงลิบลิ่วถึงเพียงนี้ขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...