การที่ธิดาราชันฉีหลินหลุดปากพูดคำๆ นี้ออกมาไม่นับเป็นเรื่องแปลก เป็นเรื่องปรกติของมนุษย์เท่านั้นเอง เปลี่ยนเป็นคนหนึ่งคนใดก็ตาม วินาทีแรกต้องพบกับมหันตภัย สิ่งที่คิดถึงก็คือรักษาชีวิต การกระทำในลักษณะเช่นนี้ไม่มีอะไรน่าตำหนิอยู่แล้ว
“ถูกต้อง รักษาชีวิต” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นี่คือเรื่องปรกติของมนุษย์ เปลี่ยนเป็นคนอื่นๆ ก็จะทำเช่นนี้กันเป็นจำนวนมาก”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับนิ่งเงียบ ท่าทางดูจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
ธิดาราชันฉีหลินที่มองเห็นท่าทีของหลี่ชิเย่แล้วรู้สึกรู้สึกกังวลไม่เป็นสุข เอ่ยถามเบาๆ ว่า “คุณชาย หรือว่าข้าพูดอะไรผิดหรือ?” หลี่ชิเย่เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มเฉยเมย ส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่ เจ้าพูดไม่ผิด ในยามที่เกิดภัยพิบัติการรักษาชีวิตรอดเป็นสัญชาตญาณ สิ่งมีชีวิตล้วนแล้วแต่ทำเช่นนี้ สิ่งนี้ไม่มีอะไรต้องตำหนิ แต่ว่า ถ้าหากภัยพิบัติมาถึงจริงๆ ล่ะก็ การรักษาชีวิตรอดจะไม่ง่ายดายเพียงนั้น คิดจะรักษาตนเองให้รอดปลอดภัยไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทน”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้ ได้มองออกไประยะห่างไกล แววตาของเขากลับกลายเป็นล้ำลึกยิ่งนัก
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความงงงวยให้กับธิดาราชันฉีหลินอยู่บ้าง คำพูดนี้ลึกซึ้งมากเกินไปกระทั่งนางไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลี่ชิเย่มองดูธิดาราชันฉีหลินทีหนึ่ง และกล่าวว่า “อย่าได้เฝ้าปรารถนาว่าจะมีพระเจ้าช่วยโลกอะไร โดยเฉพาะช่วงที่โลกแตก ประเภทที่เรียกว่าพระเจ้าช่วยโลกมักจะเป็นเพียงสู้เพื่อตัวเองเสมอๆ คนที่ไม่บูชายันต์ฟ้า ไม่บูชายันต์ดิน ไม่บูชาสิ่งมีชีวิตต้องนับว่าสุดยอดมากแล้ว คนประเภทนี้เรียกได้ว่ามีคุณธรรมสูงส่งและบริสุทธิ์แล้ว”
“บูชายันต์ฟ้า บูชายันต์ดิน บูชายันต์สิ่งมีชีวิต!” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพึมพำเสียงแผ่วเบาออกมา พยายยามทบทวนคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด แล้วนึกไปถึงเรื่องที่หลี่ชิเย่ได้เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้า นางคาดเดาถึงความน่าจะเป็นที่สยดสยองยิ่งเรื่องหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาแล้ว นางถึงกับมีร่างที่สั่นเทาทีหนึ่ง
ในพริบตาเดียวนี้เอง ธิดาราชันฉีหลินจึงเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วว่า เพราะอะไรหลี่ชิเย่จึงได้พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “อย่าได้คาดหวังว่าจะมีพระเจ้าช่วยโลกอะไรนั่น!” พริบตาเดียวนี่เอง ธิดาราชันฉีหลินได้นึกถึงเรื่องราวที่น่าสยดสยองยิ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ทำให้ถึงกับต้องตัวสั่นดั่งลูกนกเลยทีเดียว
“เอาหละ พวกเราอย่านอกเรื่องไปไกลนัก” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “การที่สามารถเกิดต้นหญ้าที่เหลืองเฉาในฝอเหย่นั้น เป็นเพราะเคยมีผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแต่ละคนคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ที่ตรงนี้ มีสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ ที่มีความศรัทธาที่มั่นคงอยู่ที่ตรงนี้ พลังปกป้องบวกกับพลังศรัทธามหาศาล ทำให้ที่ตรงนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา…
“…แต่ว่า พลังทำลายล้างนั้นไม่สามารถจินตนาการได้ และไม่สามารถทำลายแก้ไขได้ ต่อให้มีพลังปกป้องที่แข็งแกร่งมากกว่านั้น ความศรัทธาที่มหาศาลมากกว่านั้น ก็ไม่สามารถรักษาโลกนี้เอาไว้ได้ ต่อให้ต้นหญ้านั่นก็เป็นการฝืนมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง ต้นหญ้าพวกนี้เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ดังนั้น จึงมีลักษณะที่แตกต่างจากโลกภายนอก พวกมันเกิดมาพร้อมกับความไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด ถูกลงโทษ”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับจินตนาการไปไกล นี่เป็นยุคสมัยที่แข็งแกร่งเพียงใด บนผืนแผ่นดินแห่งนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเช่นใดอาศัยอยู่ แต่ สุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นผืนแผ่นดินที่ไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง
“ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปยังสันเขาถัวหลิ่งกัน” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ กับธิดาราชันฉีหลิน และเดินหน้าต่อไป
สันเขาถัวหลิ่งถือว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองตี้ฮว่ามากนัก แค่หนึ่งแสนลี้เท่านั้นเอง แต่ว่า สันเขาถัวหลิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝอเหย่เท่านั้น ต้องข้ามสันเขาถัวหลิ่งไปแล้วจึงจะถือว่าได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของฝอเหย่ได้อย่างแท้จริง
สันเขาถัวหลิ่งเป็นภูเขาสูงลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีความยิ่งใหญ่มาก ทอดยาวต่อเนื่องนับพันลี้ ที่ทำให้ผู้คนต้องหวั่นไหวมากไปกว่านั้นหาใช่ความยิ่งใหญ่ของสันเขาถัวหลิ่ง แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนสันเขาถัวหลิ่ง
บนสันเขาถัวหลิ่งมีเศษซากปรักหักพังของผนังจำนวนนับไม่ถ้วน ทอดสายตามองออกไป สุดลูกหูลูกตา วิหารวัดเก่าแก่โบราณแต่ละหลัง ซึ่งอดีตเคยกว้างขวางโอ่อ่ายากจะหาใดเทียม เจดีย์บางแห่งกระทั่งมีความสูงถึงเหมื่นจ้าง แค่เสาต้นหนึ่งก็ทะลุไปถึงสวรรค์
เพียงแต่วิหารวัดโบราณเหล่านี้ได้พังครืนลงมาแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงผนัง และซากปรักหักพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง อิฐและกระเบื้องแตกหักมีอยู่ทุกพื้นที่ ภาพที่ปรากฎอยูตรงหน้าเป็นเพียงโลกที่แตกหักโลกหนึ่งเท่านั้นเอง
เมื่อมองดูโลกที่แตกหักตรงหน้านี้แล้ว สามารถจินตนาการได้ว่ามันเคยยิ่งใหญ่เพียงใด มันเคยมีความคึกคักเช่นใด บางทีสถานที่แห่งนี้อาจะเคยเป็นโลกของแคว้นพระพุทธมาก่อน ที่ตรงนี้เคยมีภิกษุจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ที่ตรงนี้ เสียดาย ท้ายที่สุดแล้วยังคงกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกเลย
ที่สันเขาถัวหลิ่งมีทางที่เป็นบันไดหินทอดยาวจากด้านล่างของสันเขาถัวหลิ่งต่อเนื่องขึ้นไปจนถึงยอดเขา
ขณะที่หลี่ชิเย่พาธิดาราชันฉีหลินมาถึงด้านล่างของสันเขาถัวหลิ่ง ขณะยืนอยู่ด้านหน้าบริเวณบันไดหินที่ทอดยาวต่อเนื่องขึ้นไปด้านบน มองดูบันไดหินแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปถึงสวรรค์อย่างนั้น แม้ว่าบันไดหินนี้จะไม่ได้มีประกายเซียนและเสียงเทศนาธรรม แต่ว่า เมื่อมองดูบันไดหินแล้ว ทันใดนั้นได้บังเกิดมโนภาพขึ้นมา เหมือนว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ตรงนี้กราบสามครั้งคำนับเก้าครั้ง คุกเข่าคำนับแล้วก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ
“ข้า ข้าเหมือนมองเห็นมโนภาพ” ธิดาราชันฉีหลินพูดอย่างไม่มั่นใจอะไรนัก เนื่องจากนางที่ก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเกิดมโนภาพได้โดยง่ายดาย จะอย่างไรเสียจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนางจะมั่นคงมาก ไม่ถูกมโนภาพอะไรมาทำให้สับสนได้โดยง่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...