ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 1992

หลังจากที่หลี่ชิเย่ท่องเมืองเล็กๆ แห่งนี้จนทั่วแล้ว เขายิ้มนิดหนึ่ง เหล่ามอสามารถทำได้ถึงขั้นไม่ให้ตนต้องเสียเปรียบ ไม่เอาเปรียบฟ้าดิน นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยแท้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมราชันเซียนหวังอื่นๆ ไม่สามารถกระทำได้

แน่นอน เรื่องเหตุผลใครๆ ก็รับรู้เข้าใจได้ แต่ทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลี่ชิเย่ไม่ได้เสาะแสวงหาสภาพที่เป็นอยู่เช่นนี้ของเหล่ามอ จะอย่างไรเสียเส้นทางที่เข้าก้าวเดินแตกต่างจากของเหล่ามอ ชีวิตที่เขาเสาะแสวงหาก็แตกต่างกัน

เหล่ามอนั้นจะก้าวเดินบนเส้นทางอย่างสงบ ด้วยจิตใจที่สงบและสบายทุกย่างก้าว ขณะที่ตัวเขาเกรียงไกรไปทั่วหล้าสู้รบจนถึงที่สุด ดังนั้น ต่อให้หลี่ชิเย่เข้าใจถึงสัจธรรมที่ลึกซึ้งพิสดารของเหล่ามออย่างลึกซึ้ง เขาก็จะไม่ก้าวเดินบนเส้นทางเช่นนี้

สุดท้าย หลี่ชิเย่เตรียมจะออกเดินทางไปจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แต่ทว่า ขณะเขากำลังจะก้าวเท้าอยู่นั้นมีผู้ไล่ติดตามมาทันพอดี

ท่านผู้อาวุโส…เสียงใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมผู้นั้น ผู้ที่เพิ่งจะไปคารวะเหล่ามอมาได้เหินฟ้าเข้ามา นางไล่ติดตามหลี่ชิเย่จนทัน

แน่นอน หลี่ชิเย่แค่เดินไปช้าๆ อย่างมีความสุขเท่านั้นเอง หากเขาต้องการเหินฟ้าไปจริงๆ หละก็ ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมผู้นี้ย่อมไม่สามารถตามได้ทัน

“ผู้เยาว์อวี่เชียนเสวียน คารวะท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยความรู้ตื้นเขินโง่เขลา ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีฉายาราชันว่ากระใด” หลังจากที่ผู้หญิงยอดเยี่ยมผู้นี้ตามหลี่ชิเย่จนทันได้โค้งคำนับและกล่าวด้วยท่าทีที่ให้ความเคารพยิ่ง

อวี่เชียนเสวียนเป็นผู้หญิงที่มีความยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง นางได้รับการไหว้วานจากผู้อาวุโสให้ไปคารวะต่อเหล่ามอ นางเข้าใจทันทีว่าได้พบเจอผู้ที่ยอดเยี่ยมในหล้าเมื่อได้พบกับหลี่ชิเย่ เกรงว่าต้องเป็นจอมราชันเซียนหวังที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง

เพียงแต่มันทำให้อวี่เชียนเสวียน รู้สึกอึดอัดในใจเป็นอันมากก็คือ นางได้พิจารณาและนึกเท่าไรก็ไม่สามารถวางตัวของหลี่ชิเย่ให้เข้ากับจอมราชันเซียนหวังคนหนึ่งคนใดได้

ถึงแม้ว่าอวี่เชียนเสวียนไม่สามารถคาดเดาได้ถึงฐานะที่แท้จริงของหลี่ชิเย่ แต่ว่าอวี่เชียนเสวียนไม่กล้าที่จะไม่ให้ความเคารพแม้แต่น้อย การที่สามารถลุกนั่งเสมอด้วยเหล่ามอได้ ย่อมต้องเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมหนึ่งไม่มีสองในเหล้าแน่นอน

หลี่ชิเย่จ้องมองดูอวี่เชียนเสวียนทีหนึ่ง ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ข้าเป็นเพียงคนว่างงานคนหนึ่ง เป็นแขกที่เดินทางผ่านมาบนโลกใบนี้เท่านั้น หาใช่จอมราชันเซียนหวังอะไรหรอกนะ”

อวี่เชียนเสวียนไม่กล้าถามมากความ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ไม่ยอมเปิดเผยตัว ผู้ที่ก้าวมาถึงระดับนี้และท่องไปบนโลกแห่งนี้ได้ ย่อมมีเหตุผลของเขาเอง

“ผู้น้อยเพิ่งออกมาท่องยุทธภพได้ไม่นาน สอนหนังสืออยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า มีความรู้ตื้นเขิน หากมีสิ่งใดล่วงเกินหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะให้อภัย” อวี่เชียนเสวียนกล่าวด้วยท่าทีที่ให้ความเคารพยิ่ง

หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและกล่าวว่า “นับว่าหาได้ยากยิ่ง ทายาทของจวนกู่ถึงกับไปเป็นอาจารย์ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเป็นประวัติการณ์มาก่อน เคล็ดลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ใครสามารถถ่ายทอดให้กับเจ้าได้ เท่ากับให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดจวนกู่ มาวันนี้กลับเข้าไปเป็นอาจารย์อยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า มันมีเหตุผลใดกันเล่า?”

คำพูดที่พูดไปตามอารมณ์คำหนึ่งของหลี่ชิเย่ สร้างความสะเทือนหวั่นไหวภายในใจอย่างยิ่งให้กับอวี่เชียนเสวียน หลี่ชิเย่แค่มองดูนางแวบหนึ่งก็สามารถรู้ถึงประวัติความเป็นมาและชาติกำเนิดของนางได้ เสมือนว่านางมีสภาพโปร่งใสไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังซ่อนเร้นได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของเขาอย่างนั้น

“ข้าน้อยมีความรู้ตื้นเขิน ต้องการเรียนรู้อะไรให้มากขึ้น ได้รับการเชื้อเชิญจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าให้เป็นอาจารย์ พูดไปแล้วก็น่าละอาย ข้าน้อยเองเกรงว่าจะทำให้ลูกหลานผู้อื่นต้องเสียหาย” อวี่เชียนเสวียนเก็บงำจิตใจ กล่าวด้วยความเคารพ

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าลึกล้ำสุดจะหยั่งถึง แต่จวนกู่ของพวกเจ้าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก สิ่งที่สมควรจะมีก็ได้มี การที่จวนกู่ให้เจ้าไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าย่อมต้องมีความหมาย”

นั่นเป็นเพียงคำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลี่ชิเย่ แต่กลับพูดความลับออกมา ทำให้อวี่เชียนเสวียนต้องสะท้านภายในใจ บุรุษที่มองดูแล้วธรรมดามากตรงหน้าช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน

ในเวลานี้ทำให้อวี่เชียนเสวียนไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีกต่อไป เนื่องจากหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าน่ากลัวเหลือเกิน

“ช่างเถอะ ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องนำมาใส่ใจ ข้ากับบรรพบุรุษของพวกเจ้ามีวาสนาลึกซึ้งต่อกันมาก” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และไม่ทำให้อวี่เชียนเสวียนต้องลำบากใจ เอ่ยถามสารทุกข์สุขเรียบเฉยว่า “จวนกู่ของพวกเจ้ายังอยู่ดีกันนะ”

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เป็นห่วง จวนกู่ไม่เป็นอะไร” อวี่เชียนเสวียนรีบกล่าวตอบ

“หากหมิงเหรินยังอยู่ จวนกู่เพียงพอที่จะหมางเมินสิบสามทวีป ตระกูลเฉี่ยนก็ดี สวรรค์ก็ช่าง ไหนเลยจะได้ครองผู้นำของใต้หล้า” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ

พลันที่หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ก็คือ “หมิงเหริน” ทำเอาอวี่เชียนเสวียนตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นี่มันคือคำพูดที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง

นอกเหนือจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่ดำรงอยู่ในสถานะพิเศษยิ่งแล้ว จวนกู่คือสายสำนักราชันเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเจียวเหิงโจว เรียกได้ว่าทอดสายตามองออกไปทั่วทั้งทวีปเจียวเหิงโจว มีสำนักอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่กล้าไปท้าทายฐานะของจวนกู่

กระทั่งกล่าวได้ว่า ทอดสายตาไปทั่วสิบสามทวีป ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับจวนกู่ได้ก็มีอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้น

จวนกู่เคยดำรงอยู่ในฐานะที่มีราชันเซียนและเซียนหวังถึงเจ็ดองค์ มันก่อตั้งขึ้นมาโดยราชันเซียนหมิงเหริน ภายหลังจากการเข้าร่วมของราชันเซียนทุนเย่อ ราชันเซียนเชียนอวี่ รวมทั้งเซียนหวังที่มีการถือกำเนิดขึ้นมาภายหลัง ในยุคที่จวนกู่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดนั้น มีจอมราชันเซียนหวังที่นั่งบัญชาการอยู่ถึงเจ็ดองค์ด้วยกัน เรียกว่าหาได้ยากในโลกทีเดียว

อวี่เชียนเสวียนมองว่า การที่ผู้ดำรงยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่มาท่องอยู่บนโลกมนุษย์ ย่อมต้องมีเรื่องที่สะเทือนฟ้าแน่นอน

“แค่เดินเล่นไปตามอารมณ์” หลี่ชิเย่กล่าวออกมาตามอารมณ์ว่า “เจ้าก็พูดเองไม่ใช่รึ? สถาบันศึกษาเทพเจ้ายิ่งใหญ่ยากจะหาผู้ใดเทียบเทียม ข้าเริ่มตามยุคสมัยไม่ทันเสียแล้ว กำลังจะไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสักครั้งพอดี ไปตั้งใจศึกษาให้ดี อ่านหนังสือมากหน่อย ดื่มน้ำหมึกเข้าไปสักหลายๆ หยด ย่อมต้องได้ประโยชน์แน่นอน”

แน่นอนที่สุด การไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าของหลี่ชิเย่ย่อมไม่ใช่เพื่อเรียนหนังสือเพิ่มเติมอะไรง่ายดายปานนั้น เขาไปสถาบันศึกษาเทพเจ้าเพราะมีจุดประสงค์อยู่แล้ว

คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้อวี่เชียนเสวียนถึงกับไปต่อไม่ถูก นางถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ ถ้าหากแม้ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่ยังต้องเรียนหนังสือเพิ่มเติม ดื่มน้ำหมึกสักหลายหยด เช่นนั้นแล้ว พวกเขาที่เป็นผู้เยาว์มิต้องมุมานะขยันขันแข็งชนิดไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันแล้ว

“ถ้าหากคุณชายไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า พวกเราที่เป็นผู้เยาว์ล้วนแล้วแต่เป็นนักเรียนแล้วหละ” อวี่เชียนเสวียนได้แต่กล่าวพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ

ถ้าหากผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่ไปเรียนอะไรที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าจริงหละก็ ทอดสายตามองออกไปทั่วสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะมีใครกล้าสอนเขารึ? นี่คือผู้ดำรงอยู่ในระดับจอมราชันเซียนหวัง กระทั่งคือผู้ดำรงอยู่ในตำแหน่งสูงสุด เกรงว่าต่อให้เป็นอาจารย์ที่แข็งแกร่งและมีความรู้มากที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้ว ก็เป็นได้แค่นักเรียนคนหนึ่งเท่านั้น

สอนหนังสือนะเนี่ย…เมื่ออวี่เชียนเสวียนเอ่ยขึ้นมา ทำให้หลี่ชิเย่ต้องทอดถอนใจ จะว่าไปแล้วเขาเคยสอนหนังสืออยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามาแล้วจริงๆ เพียงแต่เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว

“นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวจริงๆ” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และ*กล่าวว่า “ไปกินฟรีดื่มฟรีที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าดูจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสักครั้ง เช่นนั้นแล้วข้าก็ไปสอนหนังสือสักสองวันก็แล้วกัน ไปเป็นอาจารย์โง่ๆ สักสองวันก็นับว่าไม่เลวนัก เจ้ากลับไปก็เกริ่นกับบรรดาตาเฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าสักคำ บอกพวกเขาว่าข้าจะไปกินฟรีอยู่ฟรีหลายวัน ถือโอกาสไปเป็นอาจารย์โง่ๆ สักหน่อย”

คราวนี้ ทำเอาอวี่เชียนเสวียนงงงันอย่างสิ้นเชิง นางไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง แรกทีเดียวนางยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่แค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่นึกว่าเขาจะเล่นของจริง

“เรื่อง เรื่องนี้จะได้รึ?” เมื่ออวี่เชียนเสวียนได้สติกลับมาแล้ว พูดด้วยความไม่แน่ใจขึ้นมา

“ไปเถอะ ไปเกริ่นกับเหล่าตาเฒ่าสักคำ บอกพวกเขาว่าข้าต้องการอาศัยที่เรือนตำราสักหลายวัน สอนบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาไปตามอารมณ์” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “แจ้งต่อพวกเขาว่า อย่ามารบกวนข้าก็พอแล้ว”

อวี่เชียนเสวียนไม่กล้าทำให้เสียงาน โค้งคำนับอย่างงาม และกล่าวว่า “ข้าจะกลับไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเดี๋ยวนี้ และบอกกล่าวต่อบรรดาระดับอาวุโสของสถานศึกษา”

เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะอย่างหลี่ชิเย่ถึงกับจะไปสอนหนังสือที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเขา ทั้งยังเลือกสอนที่เรือนตำรา เกรงว่าคงไม่ง่ายดายเพียงนั้น แต่ทว่า อวี่เชียนเสวียนไม่กล้าถามมากความ ทำตามที่หลี่ชิเย่สั่ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล