หลังจากที่หลี่ชิเย่ท่องเมืองเล็กๆ แห่งนี้จนทั่วแล้ว เขายิ้มนิดหนึ่ง เหล่ามอสามารถทำได้ถึงขั้นไม่ให้ตนต้องเสียเปรียบ ไม่เอาเปรียบฟ้าดิน นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยแท้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมราชันเซียนหวังอื่นๆ ไม่สามารถกระทำได้
แน่นอน เรื่องเหตุผลใครๆ ก็รับรู้เข้าใจได้ แต่ทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลี่ชิเย่ไม่ได้เสาะแสวงหาสภาพที่เป็นอยู่เช่นนี้ของเหล่ามอ จะอย่างไรเสียเส้นทางที่เข้าก้าวเดินแตกต่างจากของเหล่ามอ ชีวิตที่เขาเสาะแสวงหาก็แตกต่างกัน
เหล่ามอนั้นจะก้าวเดินบนเส้นทางอย่างสงบ ด้วยจิตใจที่สงบและสบายทุกย่างก้าว ขณะที่ตัวเขาเกรียงไกรไปทั่วหล้าสู้รบจนถึงที่สุด ดังนั้น ต่อให้หลี่ชิเย่เข้าใจถึงสัจธรรมที่ลึกซึ้งพิสดารของเหล่ามออย่างลึกซึ้ง เขาก็จะไม่ก้าวเดินบนเส้นทางเช่นนี้
สุดท้าย หลี่ชิเย่เตรียมจะออกเดินทางไปจากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ แต่ทว่า ขณะเขากำลังจะก้าวเท้าอยู่นั้นมีผู้ไล่ติดตามมาทันพอดี
ท่านผู้อาวุโส…เสียงใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมผู้นั้น ผู้ที่เพิ่งจะไปคารวะเหล่ามอมาได้เหินฟ้าเข้ามา นางไล่ติดตามหลี่ชิเย่จนทัน
แน่นอน หลี่ชิเย่แค่เดินไปช้าๆ อย่างมีความสุขเท่านั้นเอง หากเขาต้องการเหินฟ้าไปจริงๆ หละก็ ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมผู้นี้ย่อมไม่สามารถตามได้ทัน
“ผู้เยาว์อวี่เชียนเสวียน คารวะท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยความรู้ตื้นเขินโง่เขลา ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีฉายาราชันว่ากระใด” หลังจากที่ผู้หญิงยอดเยี่ยมผู้นี้ตามหลี่ชิเย่จนทันได้โค้งคำนับและกล่าวด้วยท่าทีที่ให้ความเคารพยิ่ง
อวี่เชียนเสวียนเป็นผู้หญิงที่มีความยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง นางได้รับการไหว้วานจากผู้อาวุโสให้ไปคารวะต่อเหล่ามอ นางเข้าใจทันทีว่าได้พบเจอผู้ที่ยอดเยี่ยมในหล้าเมื่อได้พบกับหลี่ชิเย่ เกรงว่าต้องเป็นจอมราชันเซียนหวังที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง
เพียงแต่มันทำให้อวี่เชียนเสวียน รู้สึกอึดอัดในใจเป็นอันมากก็คือ นางได้พิจารณาและนึกเท่าไรก็ไม่สามารถวางตัวของหลี่ชิเย่ให้เข้ากับจอมราชันเซียนหวังคนหนึ่งคนใดได้
ถึงแม้ว่าอวี่เชียนเสวียนไม่สามารถคาดเดาได้ถึงฐานะที่แท้จริงของหลี่ชิเย่ แต่ว่าอวี่เชียนเสวียนไม่กล้าที่จะไม่ให้ความเคารพแม้แต่น้อย การที่สามารถลุกนั่งเสมอด้วยเหล่ามอได้ ย่อมต้องเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมหนึ่งไม่มีสองในเหล้าแน่นอน
หลี่ชิเย่จ้องมองดูอวี่เชียนเสวียนทีหนึ่ง ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ข้าเป็นเพียงคนว่างงานคนหนึ่ง เป็นแขกที่เดินทางผ่านมาบนโลกใบนี้เท่านั้น หาใช่จอมราชันเซียนหวังอะไรหรอกนะ”
อวี่เชียนเสวียนไม่กล้าถามมากความ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ไม่ยอมเปิดเผยตัว ผู้ที่ก้าวมาถึงระดับนี้และท่องไปบนโลกแห่งนี้ได้ ย่อมมีเหตุผลของเขาเอง
“ผู้น้อยเพิ่งออกมาท่องยุทธภพได้ไม่นาน สอนหนังสืออยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า มีความรู้ตื้นเขิน หากมีสิ่งใดล่วงเกินหวังว่าท่านผู้อาวุโสจะให้อภัย” อวี่เชียนเสวียนกล่าวด้วยท่าทีที่ให้ความเคารพยิ่ง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและกล่าวว่า “นับว่าหาได้ยากยิ่ง ทายาทของจวนกู่ถึงกับไปเป็นอาจารย์ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเป็นประวัติการณ์มาก่อน เคล็ดลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ใครสามารถถ่ายทอดให้กับเจ้าได้ เท่ากับให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดจวนกู่ มาวันนี้กลับเข้าไปเป็นอาจารย์อยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า มันมีเหตุผลใดกันเล่า?”
คำพูดที่พูดไปตามอารมณ์คำหนึ่งของหลี่ชิเย่ สร้างความสะเทือนหวั่นไหวภายในใจอย่างยิ่งให้กับอวี่เชียนเสวียน หลี่ชิเย่แค่มองดูนางแวบหนึ่งก็สามารถรู้ถึงประวัติความเป็นมาและชาติกำเนิดของนางได้ เสมือนว่านางมีสภาพโปร่งใสไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังซ่อนเร้นได้เมื่ออยู่ต่อหน้าของเขาอย่างนั้น
“ข้าน้อยมีความรู้ตื้นเขิน ต้องการเรียนรู้อะไรให้มากขึ้น ได้รับการเชื้อเชิญจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าให้เป็นอาจารย์ พูดไปแล้วก็น่าละอาย ข้าน้อยเองเกรงว่าจะทำให้ลูกหลานผู้อื่นต้องเสียหาย” อวี่เชียนเสวียนเก็บงำจิตใจ กล่าวด้วยความเคารพ
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าลึกล้ำสุดจะหยั่งถึง แต่จวนกู่ของพวกเจ้าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก สิ่งที่สมควรจะมีก็ได้มี การที่จวนกู่ให้เจ้าไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าย่อมต้องมีความหมาย”
นั่นเป็นเพียงคำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลี่ชิเย่ แต่กลับพูดความลับออกมา ทำให้อวี่เชียนเสวียนต้องสะท้านภายในใจ บุรุษที่มองดูแล้วธรรมดามากตรงหน้าช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
ในเวลานี้ทำให้อวี่เชียนเสวียนไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีกต่อไป เนื่องจากหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าน่ากลัวเหลือเกิน
“ช่างเถอะ ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องนำมาใส่ใจ ข้ากับบรรพบุรุษของพวกเจ้ามีวาสนาลึกซึ้งต่อกันมาก” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และไม่ทำให้อวี่เชียนเสวียนต้องลำบากใจ เอ่ยถามสารทุกข์สุขเรียบเฉยว่า “จวนกู่ของพวกเจ้ายังอยู่ดีกันนะ”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เป็นห่วง จวนกู่ไม่เป็นอะไร” อวี่เชียนเสวียนรีบกล่าวตอบ
“หากหมิงเหรินยังอยู่ จวนกู่เพียงพอที่จะหมางเมินสิบสามทวีป ตระกูลเฉี่ยนก็ดี สวรรค์ก็ช่าง ไหนเลยจะได้ครองผู้นำของใต้หล้า” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
พลันที่หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ก็คือ “หมิงเหริน” ทำเอาอวี่เชียนเสวียนตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นี่มันคือคำพูดที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่ดำรงอยู่ในสถานะพิเศษยิ่งแล้ว จวนกู่คือสายสำนักราชันเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเจียวเหิงโจว เรียกได้ว่าทอดสายตามองออกไปทั่วทั้งทวีปเจียวเหิงโจว มีสำนักอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่กล้าไปท้าทายฐานะของจวนกู่
กระทั่งกล่าวได้ว่า ทอดสายตาไปทั่วสิบสามทวีป ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับจวนกู่ได้ก็มีอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้น
จวนกู่เคยดำรงอยู่ในฐานะที่มีราชันเซียนและเซียนหวังถึงเจ็ดองค์ มันก่อตั้งขึ้นมาโดยราชันเซียนหมิงเหริน ภายหลังจากการเข้าร่วมของราชันเซียนทุนเย่อ ราชันเซียนเชียนอวี่ รวมทั้งเซียนหวังที่มีการถือกำเนิดขึ้นมาภายหลัง ในยุคที่จวนกู่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดนั้น มีจอมราชันเซียนหวังที่นั่งบัญชาการอยู่ถึงเจ็ดองค์ด้วยกัน เรียกว่าหาได้ยากในโลกทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...